Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
เพื่อการรักษา เป็นการให้ยาเพื่อรักษาตามสาเหตุของโรค หรือช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทา ทุเลา และหายจากอาการหรือโรคที่เป็นอยู่
รักษาตามอาการ
รักษาเฉพาะโรค
ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขาด
ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
ระบบการตวงวัดยา
ระบบอโพทีคารี
ถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็นปอนด์ ออนซ์ เกรน
20 เกรน (grain) = 1 สครูเปิล (scruple)
3 สครูเปิล (scruple) = 1 แดรม (dram)
8 แดรม (dram) = 1 ออนซ์ (ounce)
12 ออนซ์ (ounce) = 1 ปอนด์ (pound)
ระบบเมตริก
ถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็น กรัม มิลลิกรัม ลิตร มิลลิลิตร
1 ลิตร = 1000 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 กิโลกรัม = 1000 กรัม (gm)
1 กรัม = 1000 มิลลิกรัม (mg)
1 มิลลิกรัม = 1000 ไมโครกรัม (mcg)
1 กรัม = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
ระบบมาตราตวงวัดประจำบ้าน
หน่วยที่ใช้เป็น หยด ช้อนชา ช้อนโต๊ะ ถ้วยชา และถ้วยแก้วสามารถเทียบได้กับระบบเมตริก
15 หยด = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนชา= 5 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนหวาน =8 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนโต๊ะ= 15 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยชา =180 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยแก้ว= 240 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
ความถี่การให้ยา
ตัวย่อ OD ภาษาลาติน omni die วันละ 1 ครั้ง
ตัวย่อ bid ภาษาลาติน bis in die วันละ 2 ครั้ง
ตัวย่อ tid ภาษาลาติน ter in die วันละ 3 ครั้ง
ตัวย่อ qid ภาษาลาติน quarter in die วันละ 4 ครั้ง
ตัวย่อ q 6 hrs ภาษาลาติน quaque 6 hora ทุก 6 ชั่วโมง
วิถีทางการให้ยา
O รับประทานทางปาก
M เข้ากล้ามเนื้อ
SC เข้าชั้นใต้ผิวหนัง
V เข้าหลอดเลือดดำ
ID เข้าชั้นระหว่างผิวหนัง
subling อมใต้ลิ้น
Inhal ทางสูดดม
Nebul พ่นให้สูดดม
Supp เหน็บ / สอด
instill หยอด
เวลาการให้ยา
ตัวย่อ a.c. ภาษาลาติน ante cibum ก่อนอาหาร
ตัวย่อ p.c. ภาษาลาติน post cibum หลังอาหาร
ตัวย่อ h.s. ภาษาลาติน hora somni ก่อนนอน
ตัวย่อ p.r.n. ภาษาลาติน pro re nata เมื่อจำเป็น
ตัวย่อ stat ภาษาลาติน statim ทันทีทันใด
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
อายุและน้ำหนักตัว
เด็กเล็ก ๆ ตับและไตยังเจริญไม่เต็มที่ ผู้สูงอายุมาก ๆ การทำงานของตับและไตลดลง จึงทำให้ยามีปฏิกิริยามากขึ้น ขนาดของยาที่ให้จึงต้องน้อยกว่าคนปกติ
คนที่มีน้ำหนักตัวมากต้องได้รับขนาดของยาเพิ่มสูงขึ้น
เพศ
ผู้ชายมีขนาดตัวใหญ่กว่าผู้หญิง ถ้าได้รับยาขนาดเท่ากัน ยาจะมีปฏิกิริยาต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
กรรมพันธุ์
บางคนอาจมีความไวผิดปกติต่อยาบางชนิด บางคนแพ้ยาง่าย ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม
ภาวะจิตใจ
ได้รับยาเคมีบำบัดบางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนมาก โดยมีสาเหตุมาจากจิตใจ เป็นการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขจากการเรียนรู้และจดจำประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการได้รับยาเคมีบำบัดครั้งก่อน
ภาวะสุขภาพ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีอาการป่วย เมื่อได้รับยำจะมีผลต่อการแสดงออกของฤทธิ์ยาต่างจากคนปกติ
ทางที่ให้ยา
ยาที่ให้ทางหลอดเลือดจะดูดซึมได้เร็วกว่ายาที่ให้รับประทานทางปาก
เวลาที่ให้ยา
ยาบางชนิดต้องให้เวลาที่ถูกต้องยาจึงออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ
สิ่งแวดล้อม
ยาที่รักษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางชนิด ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ เพื่อจะได้พักผ่อน
คำสั่งแพทย์คำนวณขนาดยา
คำสั่งแพทย์
การเขียนคำสั่งแพทย์มี4 ชนิด
คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น (prn order)
เป็นคำสั่งที่กำหนดไว้ให้ปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีอาการบางอย่างเกิดขึ้น
คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป (Standing order / order for continuous)
เป็นคำสั่งที่สั่งครั้งเดียวและใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะมีคำสั่งระงับ หรือบางครั้งแพทย์อาจระบุวันที่ระงับยาไว้เลยก็ได้
การให้ยาปฎิชีวนะ
คำสั่งใช้ภายในวันเดียว (Single order of order for one day)
เป็นคำสั่งที่ใช้ได้ใน 1วัน เมื่อได้ให้ยาไปแล้วเมื่อครบก็ระงับไปได้เลย
คำสั่งที่ต้องให้ทันที (Stat order)
เป็นคำสั่งการให้ยาครั้งเดียวและต้องให้ทันที
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
ชื่อของผู้ป่วย
ต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุลของผู้ป่วยห้ามเขียนแต่ชื่อเพียงอย่างเดียวเพราะว่าอาจเกิดความผิดพลาดเกิดขึ้นได้หากมีชื่อซ้ำกัน
วันที่เขียนคำสั่งการรักษา
ชื่อของยา
ขนาดของยา
วิถีทางการให้ยา
เวลาและความถี่ในการให้ยา
ลายมือผู้สั่งยา
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
ทางปาก (oral)
ยาที่ให้ผู้ป่วยรับประทานทางปาก
ยาอม (lozenge)
ยาผง (powder)
ยาน้ำเชื่อม (syrup)
ยาเม็ด (tablet)
ยาแคปซูล (capsule)
อีลิกเซอร์ (elixir)
ยาน้ำผสม (mixture)
ทางสูดดม (inhalation)
ยาที่ใช้พ่นให้ผู้ป่วยสูดดมทางปากหรือจมูก
ชนิดสเปรย์ (spray)
พ่นทางสายให้ออกซิเจน (nebulae)
ทางเยื่อบุ (mucous)
ยาที่ใช้สอดใส่หรือหยอดทางอวัยวะต่างๆ ของผู้ป่วย
ชนิดเม็ด (tablet)
ใช้สอด (suppository) ทางช่องคลอด/ทวารหนัก
อมใต้ลิ้น (sublingual)
ยาที่ละลายในน้ำ (aqueous solution)
ใช้หยอด (instillate)
ทางผิวหนัง (skin)
ยาที่ใช้ทาบริเวณผิวหนังของผู้ป่วย
ชนิดโลชั่น (lotion)
ครีม (cream)
ยาขี้ผึ้ง (ointment)
ยาเปียก (paste)
ยาถูนวด (inunction)
ยาผงใช้โรย (powder)
ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อของผู้ป่วย
ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะยาที่ละลายในน้ำ(aqueous solution) เท่านั้น
ทางชั้นผิวหนัง (intradermal)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางชั้นผิวหนังของผู้ป่วย
ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะยาที่ละลายในน้ำ(Aqueous solution) เท่านั้น
ทางหลอดเลือดดำ (intravenous)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วย
เป็นลักษณะยาที่ละลายในน้ำ (aqueous solution) เท่านั้น
ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous / hypodermal)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าที่ใต้ผิวหนังของผู้ป่วย
เป็นลักษณะสารละลาย (Aqueous
solution) เท่านั้น
คำนวณขนาดยา
การคำนวณยาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา
ความเข้มข้นของยา(ในแต่ละส่วน) = ขนาดความเข้มข้นของยาที่มี/ปริมาณยาที่มี
รูปแบบการบริหารยา
หลักถึง 11 ข้อ
Right patient/client (ถูกคน)
การให้ยาถูกคน หรือถูกตัวผู้ป่วย โดยการเช็คชื่อผู้ป่วยทุกครั้งก่อนให้ยาหรือก่อนฉีดยา
Right drug (ถูกยา)
การให้ยาถูกชนิด โดยการอ่านชื่อยาอย่างน้อย 3 ครั้ง
Right dose (ถูกขนาด)
การให้ยาถูกขนาด โดยการจัดยาหรือคำนวณยาให้มีขนาดและความเข้มข้นของยาตามคำสั่งการให้ยา
Right time (ถูกเวลา)
การให้ยาถูกหรือตรงเวลา โดยการให้ยาตรงตามเวลาหรือความถี่ตามคำสั่งการให้ยา
Right route (ถูกวิถีทาง)
การให้ยาถูกทาง โดยการให้ยาแก่ผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่งการรักษาเป็นการประกันว่าผู้ป่วยได้รับยาสอดคล้องกับวิถีการบริหารยา
Right technique (ถูกเทคนิค)
การให้ยาถูกตามวิธีการ ใช้เทคนิคที่เหมาะสม
Right documentation (ถูกการบันทึก)
การบันทึกการให้ยาที่ถูกต้อง โดยพยาบาลลง
นามในเวลาเดียวกับที่ให้ยากับผู้ป่วยในเอกสารที่ได้กำหนดไว้
Right to refuse
การตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในการจัดการยาผู้ป่วยมีสิทธิที่จะปฏิเสธการใช้ยาหากเขามีความสามารถในการทำเช่นนั้น
Right History and assessment
การซักประวัติและการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา
โดยการสอบถามข้อมูล/ ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนการให้ยา
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation
การที่จะต้องให้ยาร่วมกัน จะต้องดูก่อนว่ายานั้นสามารถให้ร่วมกันได้ไหม เมื่อให้ร่วมกันจะมีผลทำให้ยาออกฤทธิ์มากขึ้นหรือน้อยลง หรือมีผลต่อประสิทธิภาพยา ระยะเวลาที่ยาคงอยู่ในร่างกายเป็นอย่างไร
Right to Education and Information
ก่อนที่พยาบาลจะให้ยาผู้ป่วยทุกครั้งต้องแจ้ง ชื่อยาที่จะให้ ทางที่จะให้ยา ผลการรักษา ผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิด และอาการที่ต้องเฝ้าระวัง ก่อนการให้ยาทุกครั้ง
หลักสำคัญในการให้ยา
การให้ยาทางปากใช้หลักสะอาด และการฉีดยาใช้หลัก aseptic technique
ตรวจสอบคำสั่งแพทย์ก่อนให้ยาทุกครั้ง
ก่อนให้ยาต้องทราบวัตถุประสงค์การให้ยา กำรวินิจฉัยโรค ผลของยาที่ต้องการให้เกิดและฤทธิ์ข้างเคียงของยา
ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาจากตัวผู้ป่วยและญาติในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวและทดสอบการแพ้ของยาบางชนิด
ตรวจสอบวันหมดอายุของยาปกติแล้วยาเม็ดจะมีอายุอยู่ได้5 ปีและยาน้ำจะมีอายุได้3 ปีแต่หากเปิดขวดแล้วนิยมใช้เพียง 6 เดือนเท่านั้น
ไม่ควรเตรียมยาค้างไว้ บริเวณที่เตรียมยาต้องสะอาดและมีแสงสว่างเพียงพอ ไม่ควรพูดคุยขณะเตรียมยา
ไม่ให้ยาที่ฉลากมีการลบเลือนไม่ชัดเจน หากมีการเทยาออกมาแล้วไม่ควรเทยากลับไปในขวดเดิมอีก และไม่ควรเทยาที่เหลือจากอีกขวดไปอีกขวดหนึ่ง
ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครั้งหากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือไม่รู้เรื่องต้องทำการตรวจชื่อผู้ป่วยกับป้ายข้อมือก่อนให้ยาทุกครั้ง
บอกให้ผู้ป่วยทรบบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยที่จะกลับบ้านต้องมีการอธิบายให้ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ยาผิด
ต้องให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาลเพื่อป้องกันผู้ป่วยไม่ได้รับยา
ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันที
มีการประเมินประสิทธิภาพของยาที่ให้
สังเกตอาการก่อนและหลังการให้ยาถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์ทันที
ในกรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาลหัวหน้าเวรรับทราบเพื่อหาทางแก้ไข
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
การให้ยาทางปาก
การให้ยาที่สามารถรับประทานทางปากได้
ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม (ยกเว้นยาพวก Tetracycline ไม่ควรให้ผู้ป่วยรับประทานพร้อมนม)
การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้ ส่วนยาน้ำให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ดแล้วเพื่อให้ยาค้างอยู่ที่คอไม่ถูกน้ำล้างออก
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้ายเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองและเคลือบผนังของหลอดอาหารและกระเพาะ
ยาอมใต้ลิ้น ควรให้หลังจากรับประทานยาทุกชนิด
แล้ว และแนะนำให้ห้ามกลืนหรือเคี้ยวยา รอจนกว่ายาละลายหรือดูดซึมเข้าใต้ลิ้นเอง
การเตรียมยาตามขั้นตอน
ยาชนิด Unit dose (ยาที่จัดมาเป็นแบบวันต่อวัน) หยิบยาใส่ถ้วยยาจำนวนตามที่แพทย์สั่ง ยาที่หุ้มมาด้วย Foil ให้แกะยาที่เตียงของผู้ป่วย
ยาชนิด Multidose ค่อยๆ เทยาจากซองยา หรือขวดที่บรรจุยาหรือ Foil โดยที่ไม่ให้มือสัมผัสยา
ยาน้ำ ให้หันป้ายยาหรือฉลากยาเข้าหาฝ่ามือ
ดูชื่อ ขนาดยาให้ตรงกับใบ MAR อีกครั้งก่อนเก็บยาเข้าที่
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาตรงตามเวลาในใบ MAR
ดูเบอร์เตียง ถามชื่อ -สกุลผู้ป่วยให้ตรงกับใบ MAR ของผู้ป่วยแต่ละรายตรวจดูป้ายชื่อที่ข้อมือ เพื่อระบุตัวผู้ป่วยเป็นการตรวจสอบว่าผู้ป่วยได้รับยาถูกคน
แจกยาให้ผู้ป่วยรับประทานภายในเวลาที่กำหนด
ประเมินสัญญาณชีพผู้ป่วยก่อนให้ยา
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาล
สังเกตการเปลี่ยนแปลงหลังรับประทำนยาเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที และเป็นการประเมินผลการรักษาหลังจากที่ได้รับยา
บันทึกในแผนการพยาบาลและในใบ MAR ทุกครั้งหลังให้ยา
การให้ยาเฉพาะที่
หลักการบริหารยา 6 Rights
การสูดดม (Inhalation)
เป็นการให้ยาในรูปของก๊าซ (Gas) ไอระเหย (Vapor) หรือละออง (Aerosol) สามารถให้โดยการพ่นยาเข้ำสู่ทางเดินหายใจ เพื่อให้ยาไปสู่บริเวณที่ต้องการให้ยาออกฤทธิ์
การให้ยาทางตา (Eye instillation)
ยาหยอดตา
ยาป้ายตา
ยาล้างตา
การให้ยาทางหู(Ear instillation)
เป็นการหยอดยาเข้าไปในช่องหูชั้นนอก ยาที่ใช้
เป็นยาน้ำ ออกฤทธิ์เฉพาะเยื่อบุในช่องหู มักเป็นยาชาหรือยาฆ่าเชื้อโรคเฉพาะที่
การหยอดยาจมูก(Nose instillation)
ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น และพยาบำลยกปีกจมูกผู้ป่วยข้ำงที่จะหยอดยำขึ้นเบำๆ
การเหน็บยา
การให้ยาที่มีลักษณะเป็นเม็ด เข้าทางเยื่อบุตามอวัยวะต่าง ๆเพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่
วิธีการเหน็บยาทางทวารหนัก (Rectum suppository)
วิธีการเหน็บยาทางช่องคลอด (Vaginal suppository)
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา (Prescription error)
สั่งยาผิดขนาด
สั่งยาผิดชนิด
ผิดวิถีทาง
ผิดความถี่
สั่งยาที่มีประวัติแพ้
ลายมือไม่ชัดเจน
ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา (Transcribing error)
ที่หอผู้ป่วย
พยาบาลลอกคำสั่งแพทย์หรืออ่านคำสั่งแพทย์ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามแพทย์สั่ง ทำให้ข้อมูลที่คัดลอกไว้นั้นมีความคลาดเคลื่อน
ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์
เจ้าหน้าที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่คัดกรองการลงข้อมูลยาในคอมพิวเตอร์ไม่ครอบคลุม หรือคัดกรองข้อมูลผิดพลาด
ที่เภสัชกรรม
เจ้าหน้าที่ห้องยา/เภสัชกร อ่านคำสั่งแพทย์ ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามแพทย์สั่ง
ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา (Dispensing Error)
ความคลาดเคลื่อนในกระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา
ผิดชนิดยา
ความแรงยา
จำนวนยาที่สั่งจ่าย
จ่ายยาผิดตัวผู้ป่วย
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา (Administration error)
การให้ยาไม่ครบ (Omission error)
การให้ยาผิดชนิด
(Wrong drug error)
การให้ยาซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง (Unordered or unauthorized drug)
การให้ยาผู้ป่วยผิดคน (Wrong patient)
การให้ยาผิดขนาด
(Wrong-dose or Wrong-strength error)
การให้ยาผิดวิถีทาง
(Wrong-route error)
การให้ยาผิดเวลา
(Wrong-time error)
การให้ยามากกว่าจำนวนครั้งที่สั่ง (Extra-dose error)
การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด
(Wrong rate of administration error)
การให้ยาผิดเทคนิค
(Wrong technique error)
การให้ยาผิดรูปแบบยา
(Wrong dosage-form error)
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
เมื่อผู้ป่วยเข้ามานอนรักษาในครั้งแรก พยาบาลตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์พร้อมกับเช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยา หากไม่ตรงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
การซักประวัติจะถามเรื่องการแพ้ยาทุกครั้งดูสติ๊กเกอร์สีแสดงแพ้ยาที่ติดอยู่ขอบ OPD cardและดูรายละเอียดใน OPD card ร่วมด้วยทุกครั้ง
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร ลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาเนื่องจากความผิดพลาดด้านบุคคลโดยเฉพาะยาน้ำ
เวรบ่าย พยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกัน และดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
กรณีผู้ป่วยที่ NPO ให้มีป้าย NPO และเขียนระบุว่า NPO เพื่อผ่าตัดหรือเจาะเลือดเช้า ให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
กรณีคำสั่งสารน้ำ+ยา B co 2 ml ให้เขียนคำว่า +ยา B co 2 ml ด้วยปากกาเมจิก อักษรตัวใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจนเพื่อสังเกตได้ง่าย
การจัดยาจะจัดตามหน้าชองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้องแล้ว
ผู้จัด-ผู้ตรวจสอบ คนละคนกันตรวจสอบช้ำก่อนให้ยา ให้ตรวจสอบ 100% เช็คดูตามใบMAR ทุกครั้ง
การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยาและให้พยาบาลตรวจดูยาในลิ้นชักของผู้ป่วยทุกเตียงจนเป็นนิสัยและดูผู้ป่วยประจำเตียงว่ามีหรือไม่ และตามผู้ป่วยมารับยาให้กินยาเลยและสอบถามคู่เวรว่าแจกยาหมดหรือยังให้เป็นนิสัย
ให้ยึดหลัก 6R ตำมที่กล่าวมาข้างต้น
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Competencies of nurses for Rational
Drug Use)
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา หรือมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น (Consider the options)
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา โดยพิจารณาจากข้อมูลทางเลือกที่ถูกต้องเหมาะสมกับบริบทและเคารพในมุมมองของผู้ป่วย (Reach a shared decision)
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ (Provide information)
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้(Monitor and
review)
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribe safely)
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์ (Prescribe professionally)
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเนื่อง(Improve prescribing practice)
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Prescribe as part of a team)
กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที
การประเมินสภาพ
ก่อนให้ยาต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ป่วยและยาที่จะให้ผู้ป่วย ต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับการแพ้ยา ภาวะขณะที่จะให้ยา
การวินิจฉัยการพยาบาล
เมื่อรวบรวมข้อมูลจากการประเมินสภาพได้ทั้งหมดแล้วนำมาจัดหมวดหมู่ข้อมูลที่เป็นปัญหา ดูว่าผู้ป่วยมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาที่จะได้รับยาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประเมินมาได้ในขั้นตอนแรก แล้วให้การวินิจฉัยพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล
หลังจากได้ข้อมูลและปัญหาหรือข้อบ่งชี้ในการให้ยาแล้วทำการวางแผนหาวิธีการว่าจะให้ยาอย่างไร ผู้ป่วยจึงจะได้ยาถูกต้อง ครบถ้วน ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดหรือได้รับอันตราย
การปฏิบัติการพยาบาล
เป็นการปฏิบัติการให้ยาตามแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติ โดยยึดหลักความถูกต้อง 7 ประการ และคำนึงถึงบทบาทพยาบาลในการให้ยาตามที่ได้กล่าวข้ำงต้น รวมไปถึงการบันทึกหลังการให้ยาด้วย ปฏิบัติตามหลักการบริหารยาที่ลงมือปฏิบัติจริง
การประเมินผล
หลังจากให้ยาแล้วต้องกลับมาตามผลทุกครั้ง เพื่อดูผลของยาต่อผู้ป่วยทั้งด้านการรักษา และผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงการแพ้ยาด้วย โดยประเมินดูว่าเป็นไปตามเกณฑ์การประเมินที่ตั้งไว้ในขั้นตอนการวางแผนหรือไม่