Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
ฉีดวัคซีนบีซีจีเพื่อป้องกันวัณโรค
ให้วิตามินเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
ให้กลืนแป้งเบเรี่ยม ซัลเฟตแล้วเอ็กซเรย์ เพื่อตรวจดูสภาพของกระเพาะอาหารและลำไส้
เพื่อการรักษา เป็นการให้ยาเพื่อรักษาตามสาเหตุของโรคหรือช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทา
2) รักษาเฉพาะโรค เช่นยาฆ่าเชื้อในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อ
3) ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขาด เช่นผู้ป่วยเป็นโลหิตจางเพราะขาดธาตุเหล็ก ให้ได้รับเฟอรัส ซัลเฟต
1) รักษาตามอากการ เช่น อาการปวด ให้ได้รับยาบรรเทาอาการปวด
4) ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เช่นหัวใจเต้นเร็วเกินไปอาจได้รับยาดิจิทาลิส
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
การให้ยาทางปาก การให้ยาที่สามารถรับประทานทางปากได้ซึ่งอาจเป็นชนิดยาเม็ด ยาแคปซูล ยาผง หรือยาน้ำ นับว่าเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกและปลอดภัยที่สุดไม่ควรให้ยาทางปากในผู้ป่วยที่คาสายให้อาหารสู่กระเพาะหรือผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน ไม่รู้สึกตัว และกลืนลำบาก
การให้ยาเฉพาะที่ เป็นการให้ยาภายนอกเฉพาะตำแหน่งเพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่
กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่
การวินิจฉัยการพยาบาล เมื่อรวบรวมข้อมูลจากการประเมินสภาพได้ทั้งหมดแล้วนำมาจัดหมวดหมู่ข้อมูลที่เป็นปัญหา ดูว่าผู้ป่วยมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาที่จะได้รับยาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประเมินมาได้ในขั้นตอนแรก แล้วให้การวินิจฉัยพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล หลังจากได้ข้อมูลและปัญหาหรือข้อบ่งชี้ในการให้ยาแล้วทำการวางแผนหาวิธีการว่าจะให้ยาอย่างไร ผู้ป่วยจึงจะได้ยาถูกต้อง ครบถ้วน ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดหรือได้รับอันตรายโดยการตั้งเกณฑ์การประเมินของแต่ละข้อวินิจฉัยการพยาบาล
การประเมินสภาพ ก่อนให้ยาต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ป่วยและยาที่จะให้ผู้ป่วยต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับกำรแพ้ยาภาวะขณะที่จะให้ยา
การปฏิบัติการพยาบาล เป็นการปฏิบัติการให้ยาตามแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติโดยยึดหลักความถูกต้อง 7 ประการและคำนึงถึงบทบาทพยาบาลในการให้ยารวมไปถึงการบันทึกหลังการให้ยา
การประเมินผล เนื่องจากยาที่ให้นอกจากจะมีผลทางการรักษา แล้วยังอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ หลังจากให้แล้วต้องกลับมาตามผลทุกครั้งเพื่อดูผลของยาต่อผู้ป่วยทั้งด้านการรักษาและผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
4.ภาวะจิตใจ
5.ภาวะสุขภาพ
3.กรรมพันธุ์
6.ทางที่ให้ยา
2.เพศ
7.เวลาที่ให้ยา
1.อายุและน้ำหนักตัว
8.สิ่งแวดล้อม
ระบบการตวงวัดยา
ระบบเมตริก ถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็น กรัม มิลลิกรัม ลิตร มิลลิลิตร
1 ลิตร = 1000 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 กิโลกรัม = 1000 กรัม (gm)
1 กรัม = 1000 มิลลิกรัม (mg)
1 มิลลิกรัม = 1000 ไมโครกรัม (mcg)
1 กรัม = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
ระบบมาตราตวงวัดประจำบ้าน มีหน่วยที่ใช้เป็น หยด ช้อนชา ช้อนโต๊ะ ถ้วยชา และถ้วยแก้ว
15 หยด = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนชา = 5 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนหวาน = 8 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนโต๊ะ = 15 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยชา = 180 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยแก้ว = 240 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
ระบบอโพทีคารี ถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็นปอนด์ ออนซ์ เกรน
20 เกรน (grain) = 1 สครูเปิล (scruple)
3 สครูเปิล (scruple) = 1 แดรม (dram)
8 แดรม (dram) = 1 ออนซ์ (ounce)
12 ออนซ์ (ounce) = 1 ปอนด์ (pound)
คำสั่งแพทย์ คำนวณขนาดยา
คำสั่งแพทย์
คำสั่งที่ต้องให้ทันที (Stat order) เป็นคำสั่งการให้ยาครั้งเดียวและต้องให้ทันที
คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น (prn order) เป็นคำสั่งที่กำหนดไว้ให้ปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีอาการบางอย่ำงเกิดขึ้น
คำสั่งใช้ภายในวันเดียว (Single order of order for one day) เป็นคำสั่งที่ใช้ได้ใน 1 วันเมื่อได้ให้ยาไปแล้วเมื่อครบก็ระงับไปได้เลย
คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป (Standing order / order for continuous) เป็นคำสั่งที่สั่งครั้งเดียวและใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะมีคำสั่งระงับ (discontinue)หรือบางครั่งแพทย์อาจระบุวันที่ระงับยาไว้เลยก็ได้
คำนวณขนาดยา
ความเข้มข้นของยา(ในแต่ละส่วน) = ขนาดความเข้มข้นของยาที่มี / ปริมาณยาที่มี
คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
ความถี่การให้ยา
tid (วันละ3ครั้ง)
qid (วันละ4ครั้ง)
bid (วันละ2ครั้ง)
q 6 hrs (ทุก6ชั่วโมง)
OD (วันละ1ครั้ง)
วิถีทางการให้ยา
ID (เข้าชั้นระหว่างผิวหนัง)
subling (อมใต้ลิ้น)
V (เข้าหลอดเลือดดำ)
Inhal (ทางสูดดม)
SC (เข้าชั้นใต้ผิวหนัง)
Nebul (พ่นให้สูดดม)
M (เข้ากล้ามเนื้อ)
Supp (เหน็บ / สอด)
O (รับประทานทางปาก)
instill (หยอด)
เวลาการให้ยา
p.c. (หลังอาหาร)
h.s. (ก่อนนอน)
a.c. (ก่อนอาหาร)
p.r.n. (เมื่อจำเป็น)
stat (ทันทีทันใด)
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา (Transcribing error)
2.ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ หมายถึง เจ้าหน้าที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่คัดกรองการลงข้อมูลยาในคอมพิวเตอร์ไม่ครอบคลุมหรือคัดกรองข้อมูลผิดพลาด ทำให้ข้อมูลการรักษาของผู้ป่วยมีความคลาดเคลื่อน
ที่เภสัชกรรม หมายถึง เจ้าหน้าที่ห้องยา/เภสัชกร อ่านคำสั่งแพทย์ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามแพทย์สั่ง ส่งผลถึงการส่งต่อข้อมูลและการจ่ายยามีความคลาดเคลื่อน
1.ที่หอผู้ป่วย หมายถึง พยาบาลลอกคำสั่งแพทย์หรืออ่านคำสั่งแพทย์ไม่ถูกต้องไม่ตรงตามแพทย์สั่งทำให้ข้อมูลที่คัดลอกไว้นั้นมีความคลาดเคลื่อน
ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา (Dispensing Error)
ความคลาดเคลื่อนในกระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา ความคลาดเคลื่อนนี้ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับยาที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม
1.ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา (Prescription error)
(3) ผิดวิถีทาง หมายถึงเขียนใบสั่งยา สั่งใช้ยาผิดวิถีทางทำให้ใช้ยาไม่ถูกวิธี
(4) ผิดความถี่ หมายถึงเขียนใบสั่งยาวิธีรับประทานผิดหรือระบุวิธีรับประทานที่ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยคนนั้น
(2) สั่งยาผิดชนิด หมายถึงเขียนใบสั่งยา สั่งยาคนละชนิดกับที่ควรจะเป็น
(5) สั่งยาที่มีประวัติแพ้ หมายถึงแพทย์สั่งยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการแพ้ยาซ้ำ
(1) สั่งยาผิดขนาด หมายถึง แพทย์สั่งใช้ยาที่มีขนาดมากเกิน Maximum dose หรือ สั่งยาในขนาดที่ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วย
(6) ลายมือไม่ชัดเจน หมายถึงเขียนใบสั่งยาด้วยลายมือที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด อ่านผิด
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา (Administration error)
5.การให้ยาผิดขนาด (Wrong-dose or Wrong-strength error) หมายถึง เป็นความคลาดเคลื่อนจากการให้ยาในขนาดที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าขนาดยาที่ผู้สั่งใช้ยาสั่ง
6.การให้ยาผิดวิถีทาง (Wrong-route error)
4.การให้ยาผู้ป่วยผิดคน (Wrong patient)
7.การให้ยาผิดเวลา (Wrong-time error) หมายถึงการให้ยาผู้ป่วยผิดเวลาไปจากที่กำหนดไว้ในนโยบายการให้ยาของโรงพยาบาล
3.การให้ยาซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง (Unordered or unauthorized drug)
8.การให้ยามากกว่าจำนวนครั้งที่สั่ง (Extra-dose error)
9.การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด (Wrong rate of administration error) เป็นควำมคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการใช้ยาโดยเฉพาะยาฉีดในอัตราเร็วที่ผิดไปจากที่ผู้สั่งใช้ยาสั่งหรือผิดไปจากวิธีปฏิบัติมาตรฐานที่โรงพยาบาลกำหนดไว้
10.การให้ยาผิดเทคนิค (Wrong technique error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการให้ยาผิดเทคนิคแม้จะถูกชนิดถูกขนาด
2.การให้ยาผิดชนิด (Wrong drug error)
11.การให้ยาผิดรูปแบบยา (Wrong dosage-form error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการให้ยาผิดรูปแบบจากที่ผู้สั่งใช้ยาสั่ง
1.การให้ยาไม่ครบ (Omission error) หมายถึงการให้ยาผู้ป่วยไม่ครบมื้อตามที่แพทย์สั่ง
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วยและไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา โดยพิจารณาจากข้อมูลทางเลือกที่ถูกต้อง เหมาะสมกับบริบทและเคารพในมุมมองของผู้ป่วย
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพและเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น
สามารถพัฒนำความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเนื่อง
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา หรือมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
รูปแบบการบริหารยา
Right time (ถูกเวลา) คือการให้ยาถูกหรือตรงเวลา โดยการให้ยาตรงตามเวลาหรือความถี่ตามคำสั่งกำรให้ยา
4.1 การให้ยาก่อนอาหาร ควรให้ยาก่อนอาหารอย่างน้อย ½ ชั่วโมงหรือรับประทานยาตอนท้องว่ำง
4.2 การให้ยาหลังอาหาร ต้องให้หลังอาหารทันทีจนถึง 2 ชั่วโมงหลังอาหาร
4.3 การให้ยาช่วงใดก็ได้คืออาหารไม่มีผลต่อการดูดซึม
4.4 การให้แบบกำหนดเวลาหรือให้เฉพาะกับอาหารที่เฉพาะ (ห้ามรับประทานพร้อมนม)
Right route (ถูกวิถีทาง) คือการให้ยาถูกทางโดยการให้ยาแก่ผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่งการรักษาเป็นการประกันว่าผู้ป่วยได้รับยาสอดคล้องกับวิถีการบริหารยา
Right dose (ถูกขนาด) คือการให้ยาถูกขนาด โดยการจัดยาหรือคำนวณยาให้มีขนาดและความเข้มข้นของยาตามคำสั่งการให้ยา
Right technique (ถูกเทคนิค) คือการให้ยาถูกตามวิธีการใช้เทคนิคที่เหมาะสม
Right drug (ถูกยา) คือการให้ยาถูกชนิด โดยการอ่านชื่อยาอย่างน้อย 3 ครั้ง
ครั้งแรก ก่อนหยิบภาชนะใส่ยาออกจากที่เก็บ
ครั้งที่สอง ก่อนเอายาออกจากภาชนะใส่ยา
ครั้งที่สาม ก่อนเก็บภาชนะใส่ยาเข้าที่หรือก่อนทิ้งภาชนะใส่ยา
Right documentation (ถูกการบันทึก)คือการบันทึกการให้ยาที่ถูกต้องโดยพยาบาลลงนามในเวลาเดียวกับที่ให้ยากับผู้ป่วยในเอกสารที่ได้กำหนดไว้
Right patient/client (ถูกคน) คือการให้ยาถูกคน หรือถูกตัวผู้ป่วย โดยการเช็คชื่อผู้ป่วยทุกครั้งก่อนให้ยาหรือก่อนฉีดยาเทียบกับใบ Medication administration record
Right to refuse คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย (กรณีที่ผู้ป่วยปฏิเสธการรับยา พยาบาลต้องให้คำอธิบายถึงผลที่เกิดขึ้นของการไม่รับยาและบันทึกการปฏิเสธการรับยาของผู้ป่วย)
Right History and assessment คือการซักประวัติและการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา โดยการสอบถามข้อมูล/ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนการให้ยา
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation คือการที่จะต้องให้ยาร่วมกัน
Right to Education and Information คือก่อนที่พยาบาลจะให้ยาผู้ป่วยทุกครั้งต้องแจ้งชื่อยาที่จะให้ ทางที่จะให้ยา ผลการรักษา ผลข้ำงเคียงของยาที่อาจจะเกิดและอาการที่ต้องเฝ้าระวังก่อนการให้ยาทุกครั้ง
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย เพื่อป้องกันการคลาดเคลื่อนทางการให้ยา
กรณีผู้ป่วยที่ NPO ให้มีป้าย NPO และเขียนระบุว่า NPO เพื่อผ่าตัดหรือเจาะเลือดเช้า ให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
กรณีคำสั่งสารน้ำ+ยา B co 2 ml ให้เขียนคำว่า +ยำ B co 2 ml ด้วยปากกาเมจิก อักษรตัวใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจนเพื่อสังเกตได้ง่าย
เวรบ่าย พยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกันและดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
การจัดยาจะจัดตามหน้าชองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้องแล้ว
การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาเนื่องจากความผิดพลาดด้านบุคคลโดยเฉพาะยาน้ำ
มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบ คนละคนกันตรวจสอบช้ำก่อนให้ยา
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร ลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยา
การซักประวัติ จะถามเรื่องการแพ้ยาทุกครั้ง
ให้ยึดหลัก 6R
เมื่อผู้ป่วยเข้านอนรักษาในครั้งแรก พยาบาลตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์ พร้อมกับเช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยา หากไม่ตรงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที