Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
เพื่อการรักษา
รักษาตามอาการ
รักษาเฉพาะโรค
ทดแทนสิ่งที่ร่ํางกายขาด
ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
ฉีดวัคซีนบีซีจีเพื่อป้องกันวัณโรค
ให้วิตามินเพื่อ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง
เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
ให้กลืนแป้งเบเรี่ยม ซัลเฟต แล้วเอ็กซเรย์เพื่อตรวจดูสภาพของ กระเพาะอาหารและลำไส้
การฉีดไอโอดีนทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดํา เพื่อถ่ายภาพเอ็กซเรย์ดูการเคลื่อนขับสารทึบรังสีที่ออกจากไตแต่ละข้าง
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
อายุและน้ำหนักตัว
เพศ
กรรมพันธุ์
ภาวะจิตใจ
ภาวะสุขภาพ
ทางที่ให้ยา
เวลาที่ให้ยา
สิ่งแวดล้อม
ระบบการตวงวัดยา
ระบบอโพทีคารี
ใช้หน่วยเป็นปอนด์
ออนซ์
เกรน
ระบบเมตริก
ใช้หน่วยเป็น กรัม
มิลลิกรัม
ลิตร
มิลลิลิตร
ระบบมาตราตวงวัดประจําบ้าน
หยด
ช้อนชา
ช้อนโต๊ะ
ถ้วยชา
ถ้วยแก้ว
คําย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคําสั่งการให้ยา
ความถี่การให้ยา
OD. วันละ 1 ครั้ง
bid. วันละ 2 ครั้ง
tid วันละ 3 ครั้ง
qid วันละ 4 ครั้ง
q 6 hrs ทุก6ชั่วโมง
วิถีทางการให้ยา
O รับประทานทางปาก
M เข้ากล้ามเนื้อ
SC เข้าชั้นใต้ผิวหนัง
V เข้าหลอดเลือดดํา
ID เข้ําชั้นระหว่ํางผิวหนัง
subling อมใต้ลิ้น
Inhal ทางสูดดม
Nebul พ่นให้สูดดม
Supp เหน็บ / สอด
instill หยอด
เวลาการให้ยา
a.c. ก่อนอาหาร
p.c. หลังอาหาร
h.s. ก่อนนอน
p.r.n. เมื่อจําเป็น
stat ทันทีทันใด
คําสั่งแพทย์ คํานวณขนาดยา
คำสั่งแพทย์
การเขียนคําสั่งแพทย์มี 4 ชนิด
คําสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป
คําสั่งใช้ภายในวันเดียว
คําสั่งที่ต้องให้ทันที
คําสั่งที่ให้เมื่อจําเป็น
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
ชื่อของผู้ป่วย จะต้องเขียนทั้งชื่อและนํามสกุลของผู้ป่วย
วันที่เขียนคําสั่งการรักษา
ชื่อของยา
ขนาดของยา
วิถีทางการให้ยา
เวลาและความถี่ในการให้ยา
ลายมือผู้สั่งยา
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
รูปแบบ
ชื่อยา–ขนาด–จํานวน–ทางที่ให้–ความถี่
ชนิดของการปรุงยา
ทางปาก (oral)
ยาเม็ด
ยาแคปซูล
ยาน้ำเชื่อม
อีลิกเซอร์
อีมัลชั่น
ยาผง
ยาน้ำผสม
ยาอม
ทางสูดดม (inhalation)
ชนิดสเปรย์
พ่นทางสายให้ออกซิเจน
ทางเยื่อบุ (mucous)
ชนิด เม็ด
ใช้สอด(suppository)ทางช่องคลอด/ทวารหนัก
อมใต้ลิ้น
ยาที่ละลายในน้ำ (aqueous solution) ใช้หยอด (instillate) ใช้ล้าง (irrigate)
ทางผิวหนัง (skin)
ชนิดโลชั่น
ครีม
ยาขี้ผึ้ง
ยาเปียก
ยาถูนวด
ยาผงใช้โรย
ยาที่ละลายในน้ำเท่านั้น
ทางชั้นผิวหนัง (intradermal)
ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular)
ทางหลอดเลือดดา (intravenous)
ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous / hypodermal)
คำนวณขนาดยา
ความเข้มข้นของยา (ในแต่ละส่วน) = ขนาดความเข้มข้นของยาที่มี
ปริมาณยาที่มี
รูปแบบการบริหารยา
หลักการให้ยา
2.Right drug (ถูกยา) คือการให้ยาถูกชนิด โดยการอ่านชื่อยาอย่างน้อย 3 ครั้ง
ครั้งแรก ก่อนหยิบภาชนะใส่ยาออกจากที่เก็บ
ครั้งที่สอง ก่อนเอายาออกจากภาชนะใส่ยา
ครั้งที่สาม ก่อนเก็บภาชนะใส่ยาเข้าที่หรือก่อนทิ้งภาชนะใส่ยา
Right dose (ถูกขนาด) คือการให้ยาถูกขนาด โดยการจัดยาหรือคํานวณยาให้มีขนาดและ ความเข้มข้นของยาตามคําสั่งการให้ยา
Right time (ถูกเวลา) คือการให้ยาถูกหรือตรงเวลา
การให้ยาก่อนอาหาร
การให้ยาหลังอาหาร
การให้ยาช่วงใดก็ได้
การให้แบบกําหนดเวลาหรือให้เฉพาะกับอาหารที่เฉพาะ
Right route (ถูกวิถีทาง) คือการให้ยาถูกทาง
Right technique (ถูกเทคนิค) คือการให้ยาถูกตามวิธีการ ใช้เทคนิคที่เหมาะสม
Right documentation (ถูกการบันทึก) คือการบันทึกการให้ยาที่ถูกต้อง
Right to refuse คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในการจัดการยา
Right History and assessment คือการซักประวัติ และการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา
ดังนี้ 1. Right patient/client (ถูกคน) คือการให้ยาถูกคน หรือถูกตัวผู้ป่วย
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation คือการที่จะต้องให้ยาร่วมกัน จะต้อง ดูก่อนว่ายานั้นสามารถให้ร่วมกันได้ไหม
Right to Education and Information คือก่อนที่พยาบาลจะให้ยาผู้ป่วยทุกครั้งต้องแจ้ง ชื่อยาที่จะให้ทางที่จะให้ยาผลการรักษาผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดและอาการที่ต้องเฝ้าระวังก่อน
หลักสำคัญในการให้ยา
การให้ยาทางปากใช้หลักสะอาด และการฉีดยาใช้หลัก aseptic technique
ตรวจสอบคําสั่งแพทย์ก่อนให้ยาทุกครั้ง หากมีข้อสงสัยให้ตรวจสอบจากใบสั่งยาทุกครั้งและหาก ไม่แน่ใจให้ซักถามจากแพทย์ผู้ทําการรักษา
ก่อนให้ยาต้องทราบวัตถุประสงค์การให้ยา การวินิจฉัยโรค ผลของยาที่ต้องการให้เกิดและฤทธิ์ ข้างเคียงของยา
ตรวจสอบประวัติกํารแพ้ยาจากตัวผู้ป่วยและญาติในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว
ตรวจสอบวันหมดอายุของยาปกติแล้วยาเม็ดจะมีอายุอยู่ได้ 5 ปีและยาน้ำจะมีอายุได้ 3 ปีแต่ หากเปิดขวดแล้วนิยมใช้เพียง 6 เดือนเท่ํานั้นเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคเมื่อเปิดขวด
ไม่ควรเตรียมยาค้ํางไว้ บริเวณที่เตรียมยาต้องสะอาดและมีแสงสว่ํางเพียงพอ
ไม่ให้ยาที่ฉลากมีการลบเลือนไม่ชัดเจน หากมีการเทยาออกมาแล้วไม่ควรเทยากลับไปในขวด เดิมอีก และไม่ควรเทยาที่เหลือจากอีกขวดไปอีกขวดหนึ่ง
ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครั้งหากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือไม่รู้ เรื่องต้องทําการตรวจชื่อผู้ป่วยกับป้ายข้อมือก่อนให้ยาทุกครั้ง
บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
ต้องให้ผู้ป่วยรับประทํานยาต่อหน้าพยาบาลเพื่อป้องกันผู้ป่วยไม่ได้รับยา ยกเว้นยาบางชนิดเช่น ยาจิบแก้ไอให้ผู้ป่วยได้จิบยาเพื่อบรรเทาไอที่เกิดขึ้น
ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันที
มีการประเมินประสิทธิภาพของยาที่ให้
สังเกตอาการก่อนและหลังการให้ยาถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์ทันที
ในกรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาลหัวหน้าเวรรับทราบเพื่อหาทางแก้ไข
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
การให้ยาทางปาก
ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม
การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้ ส่วนยาน้ำให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ดแล้วเพื่อให้ยาค้างอยู่ที่คอไม่ถูกน้ำล้างออก
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้ายเพื่อช่วยลดอาการระคายเคือง
ยาอมใต้ลิ้น เช่น ไนโตรกลีนเซอลีน (Nitroglycerine) ไอซอร์ดิล (Isodril) ที่ใช้รักษาอาการเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ
อุปกรณ์ในการให้ยาทางปาก
1) ถ้วยยาหรือSyringe
2) น้ำเปล่า หรือ น้ำส้ม หรือน้ำหวํานแทนน้ำ
3) ถาดหรือรถใส่ยา
4) แบบบันทึกการให้ยา
การพยาบาลเพื่อให้ยาได้ถูกหลักการ
1) ดูเบอร์เตียงชื่อนามสกุลผู้ป่วยในMARให้ตรงกัน
2) ดูชื่อยาขนาดยาเวลาที่ให้ในMARของผู้ป่วยแต่ละราย
3) เตรียมยาให้ตรงกับMARของผู้ป่วยแต่ละราย
4) อ่านฉลากยาให้ตรงกับMARของผู้ป่วยแต่ละรํายดูวันที่หมดอายุของยา
5) เทยา หรือรินยาให้ได้ตรงตามจํานวนกับขนาดของยาใน MAR ของผู้ป่วยแต่ละรายการเตรียมยาตามขั้นตอน
การเตรียมยาตามขั้นตอน
1) ยาชนิดUnitdose(ยาที่จัดมาเป็นแบบวันต่อวัน)หยิบยาใส่ถ้วยยาจํานวนตามที่แพทย์สั่ง ยาที่หุ้มมาด้วย Foil ให้แกะยาที่เตียงของผู้ป่วย Foil ที่ห่อหุ้มยาไว้จะช่วยป้องกันไม่ให้ยาโดน แสงเพื่อคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของยา
2) ยาชนิดMultidoseค่อยๆเทยาจากซองยาหรือขวดที่บรรจุยาหรือFoilโดยที่ไม่ให้ มือสัมผัสยา เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกจากมือปนเปื้อน
3) ยาน้ำให้หันป้ํายยาหรือฉลากยาเข้าหาฝ่ํามือ เพื่อป้องกันยาหกเปื้อนป้ํายยา
4) ดูชื่อขนาดยาให้ตรงกับใบMARอีกครั้งก่อนเก็บยาเข้าที่
5) ให้ผู้ป่วยรับประทานยาตรงตามเวลาในใบMAR
6) ดูเบอร์เตียงถามชื่อ-สกุลผู้ป่วยให้ตรงกับใบMARของผู้ป่วย
7) แจกยาให้ผู้ป่วยรับประทํานภายในเวลาที่กําหนด ไม่แจกยาก่อนหรือหลังเวลาที่ กําหนดเกิน 30 นาที
8) ประเมินสัญญาณชีพผู้ป่วยก่อนให้ยาในกรณีที่ยานั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ หรือประเมินระดับความปวดก่อนให้ยาแก้ปวด
9) ให้ผู้ป่วยรับประทํานยาต่อหน้าพยาบําลอยู่กับผู้ป่วยจนกลืนยาเรียบร้อยไม่วํางยาไว้ ที่ข้างเตียงผู้ป่วย
10) สังเกตการเปลี่ยนแปลงหลังรับประทํานยาเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที และเป็น การประเมินผลการรักษาหลังจากที่ได้รับยา
11) บันทึกในแผนการพยาบําลและในใบ MAR ทุกครั้งหลังให้ยา
การให้ยาเฉพาะที่
หลักการบริหารยา 6 Rights
(1) การสูดดม (Inhalation) เป็นการให้ยาในรูปของก๊าซ (Gas) ไอระเหย (Vapor) หรือ ละออง (Aerosol) สามารถให้โดยการพ่นยาเข้าสู่ทางเดินหายใจ
(2) การให้ยาทางตา (Eye instillation)
ยาหยอดตา
ป้ายตา
ยาล้างตา
(3) การให้ยาทางหู (Ear instillation) เป็นการหยอดยาเข้ําไปในช่องหูชั้นนอก
(4) การหยอดยาจมูก (Nose instillation) ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น และพยาบาลยกปีกจมูก ผู้ป่วยข้างที่จะหยอดยาขึ้นเบาๆ แล้วหยดยาผ่านทางรูจมูกห่างประมําณ 1-2 นิ้ว จากนั้นให้ผู้ป่วยอยู่ในท่า เดิมประมาณ 5 -10 นาที เพื่อป้องกันยาไหลย้อนออกมา
(5) การเหน็บยา เป็นการให้ยาที่มีลักษณะเป็นเม็ด เข้าทางเยื่อบุตามอวัยวะต่าง ๆเพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่
วิธีการเหน็บยาทางทวารหนัก (Rectum suppository) ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงข้ํางซ้าย และพยาบาลใส่ถุงมือสะอาด ยกแก้มก้นผู้ป่วยขึ้นจนเห็นรูทวารหนักชัดเจน จึงสอดใส่เม็ดยาเข้าไป แล้วใช้นิ้วชี้ดันยาพร้อมเขี่ยเม็ดยาให้กระดกขึ้นเพื่อชิดผนังทวารหนัก โดยให้ยาเข้าไปลึกประมาณ 3-4 นิ้ว หรือเข้าไปจนสุดนิ้วชี้
วิธีการเหน็บยาทางช่องคลอด (Vaginal suppository) ควรทําหลังจากการทํา ความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก แล้วให้ผู้ป่วยนอนหงาย และพยาบาลใส่ถุงมือปราศจากเชื้อแล้วสอด ใส่เม็ดยําหรือแทงเข้ําไปทางช่องคลอด แล้วใช้นิ้วชี้ดันยาเข้าไปลึกประมาณ 2-3 นิ้ว หรือจนเกือบสุดนิ้วชี้