Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4.1การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
4.1การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
ระบบการตวงวัดยา
ระบบเมตริก
1 กรัม*= 1000มิลลิกรัม (mg)
1 มิลลิกรัม*= 1000 ไมโครกรัม (mcg)
1 กิโลกรัม*= 1000 กรัม (gm)
1 กรัม = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ลิตร =1000 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
ระบบมาตรตวงวัดประจำบ้าน
1 ช้อนหวาน = 8มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนโต๊ะ*=15มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนชา *=5มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยชา= 180 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
15 หยด*=1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยแก้ว = 240 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
ระบบอโพทีคารี
3สครูเปิล(scruple) = 1 แดรม (dram)
8 แดรม (dram) = 1 ออนซ์(ounce)
20เกรน (grain) =1 สครูเปิล(scruple)
12 ออนซ์ (ounce)= 1 ปอนด์ (pound)
การเปลี่ยนหน่วยระบบอโพทีคารี เป็นระบบเมตริก
1 แดรม=4กรัม
1 ออนซ์*=30กรัม (30 ซี.ซี.)
1 แดรม (dram)=4 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ปอนด์=450กรัม
1 เกรน (grain)*=60 มิลลิกรัม (mg)
2.2 ปอนด์=1000กรัม (1 กิโลกรัม)
15 เกรน (grain)=1กรัม (gram) gm
กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่
การวางแผนการพยาบาล
การประเมินผล
การวินิจฉัยการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล
การประเมินสภาพ
การได้รับสารน้ำเพียงพอหรือไม่
ความรู้ความเข้าใจเรื่องยาที่ได้รับ
ประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ประวัติการแพ้ยา
ประเมินดูว่าผู้ป่วยมีข้อห้ามในการให้ยาทางปากหรือไม่
การปฏิบัติตัวในการได้รับยา
คำสั่งแพทย์คำนวณขนาดยา
คำสั่งแพทย์
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
ชื่อของยา
ขนาดของยา
วันที่เขียนคำสั่งการรักษา
วิถีทางการให้ยา
ชื่อ-สกุล ของผู้ป่วย
เวลาและความถี่ในการให้ยา
ลายมือผู้สั่งยา
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
ทางผิวหนัง skin
ครีม cream
ยาถูนวด inunction
ชนิดโลชั่น lotion
ทางกล้ามเนื้อ intramuscular
ละลายในน้ำ aqueous solution
ทางเยื่อบุ mucous
aqueous solution ละลายในน้ำ
instillate ใช้หยอด
Suppository ใช้สอด
ทางชั้นผิวหนัง intradermal
ละลายในน้ำ Aqueous solution
ทางสูดดม inhalation
spray ชนิดสเปรย์
nebulae พ่นทางสายให้ออกซิเจน
ทางหลอดเลือดดำ intravenous
ละลายในน้ำ aqueous solution
ทางใต้ผิวหนัง subcutaneous
สารละลาย Aqueous solution
ทางปาก oral
capsule ยาแคปซูล
tablet ยาเม็ด
syrup ยาน้ำ
การเขียนคำสั่งแพทย์มี4ชนิด
คำสั่งใช้ภายในวันเดียว
เช่น MOM 30 cc. 16.00 น. วันที่ 24 ตุลาคม 2557เป็นการให้ยาในวัน เวลาที่แพทย์มีคำสั่งครั้งเดียว
คำสั่งที่ต้องให้ทันที
เช่น Diclofenac 1 amp Mstat เมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วยกเลิกได้
คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะมีคำสั่งระงับ
เช่น Ofloxacin (200) 2 tab bid.pc x 5 days จะหยุดการให้ยาได้เมื่อถึงวันที่5
คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น
เช่น มีไข้ ปวดแผล ชัก
คำนวณขนาดยา
Clindamycin 1เม็ดมี 150มิลลิกรัม แพทย์มีคำสั่งให้ Clindamycin (300mg)1X3 pcจะให้อย่างไร
วิธีทำยา Clindamycin150mg=1เม็ด
ต้องการยา300mg=300x 1/150= 2 เม็ด
ตอบ=ให้ยาClindamycin (150mg)= 2 เม็ด วันละ 3ครั้งหลังอาหาร
Paracetamol syrup 120 mg/ccแพทย์มีคำสั่งให้Paracetamol syr 2 dram PRN for feverq 4-6 hrs ผู้ป่วยรายนี้ได้รับปริมาณความเข้มข้นของยากี่มิลลิกรัมต่อครั้ง
วิธีทำยา 1cc=120mg
ต้องการยา8 cc=8 x 120/1
ตอบ=960mg
HCTZ 1 เม็ดมี 50มิลลิกรัม แพทย์มีคำสั่งให้ HCTZ25mg1x1 OD.PC เช้าจะให้อย่ํางไร
วิธีทำยา HCTZ50mg = 1เม็ด
ต้องการยา25mg =25 x 1เม็ด/50
ตอบ= 1/2เม็ดหลังอําหํารเช้ํา
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา (Transcribing error)
ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์
ที่เภสัชกรรม
ที่หอผู้ป่วย
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา (Administration error)
การให้ยาไม่ครบ
ให้ยาผิดชนิด
ให้ยาเกินขนาด
ให้ยาซึ่งผู้ใช้ยาไม่ได้สั่ง
ให้ยาผู้ป่วยผิดคน
ให้ยาผิดวิถีทาง
ให้ยาผิดเวลา
ให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด
ให้ยามากกว่าจำนวนครั้งที่สั่ง
ให้ยาผิดเทคนิค
ให้ยาผิดรูปแบบยา
ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา (Prescription error)
ผิดวิถีทาง
ผิดความถี่
สั่งยาผิดชนิด
สั่งยาที่มีประวัติแพ้
สั่งยาผิดขนาด
ลายมือไม่ชัดเจน
ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา (Dispensing Error)
หลักการบริหารยา 6 R
หลักการที่ 4 การประกันว่า ผู้ป่วยจะได้รับยาถูกต้องตามเวลาที่เหมาะสม (Right time)
หลักการที่ 3 การประกันว่าผู้ป่วยจะได้รับยาที่มี ความแรง ความเข้มข้น ขนาดยาตามความเหมาะสมและเป็น ไปตามที่แพทย์ต้องการ(Right dose)
หลักการที่ 5 การประกันว่าผู้ป่วยจะได้รับยาถูกช่องทาง หรือวิธีบริหารยาที่เหมาะสม (Right route)
หลักการที่ 2 การประกันว่าผู้ป่วยจะได้รับยาที่ มีคุณภาพ เป็นไปตามเงื่อนไขผู้ป่วยหรือถูกต้องตามที่แพทย์ต้องการ (Right drug)
หลักการที่6 การประกันว่า ผู้ป่วยจะได้รับการบริหารยา ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม (Right technique)
หลักการที่ 1การประกันควํามถูกต้องด้านผู้ป่วย (Right patient)
รูปแบบการบริหารยา
ควรยึดหลักการพื้นฐาน 11 ประการ
Right techniqueถูกเทคนิค
Right to refuse ตรวจสอบให้แน่ใจว่ําได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในการจัดการยา
Rightroute ถูกวิถีทาง
Right History and assessment การซักประวัติและการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา
Right documentation ถูกการบันทึก
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation การที่จะต้องให้ยาร่วมกันจะต้องดูก่อนว่ายานั้นสามารถให้ร่วมกันได้ไหม
Rightdose ถูกขนาด
Right to Education and Information ก่อนที่พยาบาลจะให้ยาผู้ป่วยทุกครั้งต้องแจ้งชื่อยาที่จะให้ ทางที่จะให้ยา ผลการรักษา ผลข้ํางเคียงของยาที่อาจจะเกิดและอาการที่ต้องเฝ้ําระวังก่อนการให้ยาทุกครั้ง
Right drug ถูกยา
Right time ถูกเวลา
Right patient/client ถูกคน
หลักสำคัญในการให้ยา
ไม่ให้ยาที่ฉลากมีการลบเลือนไม่ชัดเจนหากมีการเทยาออกมาแล้วไม่ควรเทยากลับไปในขวดเดิมอีก และไม่ควรเทยาที่เหลือจากอีกขวดไปอีกขวดหนึ่ง
ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครั้งหากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือไม่รู้เรื่องต้องทำการตรวจชื่อผู้ป่วยกับป้ายข้อมือก่อนให้ยาทุกครั้ง
ไม่ควรเตรียมยาค้างไว้บริเวณที่เตรียมยาต้องสะอาดและมีแสงสว่ํางเพียงพอ
บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
ตรวจสอบวันหมดอายุของยา
ต้องให้ผู้ป่วยรับประทํานยาต่อหน้าพยาบาลเพื่อป้องกันผู้ป่วยไม่ได้รับยา
ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาจากตัวผู้ป่วยและญาติในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวและทดสอบการแพ้ของยาบางชนิด
ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันที
ก่อนให้ยาต้องทราบวัตถุประสงค์การให้ยา การวินิจฉัยโรค ผลของยาที่ต้องการให้เกิด และฤทธิ์ข้างเคียงของยา
มีการประเมินประสิทธิภาพของยาที่ให้หากยาไม่มีฤทธิ์ตามต้องการอาจต้องหาสาเหตุอื่นเพื่อช่วยบรรเทาหรือรักษาอาการนั้นๆด้วย
ตรวจสอบคำสั่งแพทย์ก่อนให้ยาทุกครั้ง ไม่แน่ใจให้ถามแพทย์
สังเกตอาการก่อนและหลังการให้ยาถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์ทันที
การให้ยาทางปากใช้หลักสะอาดและการฉีดยาใช้หลักaseptic technique
ในกรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาลหัวหน้าเวรรับทราบเพื่อหาทางแก้ไข
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
เวรบ่ํายพยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกันและดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
กรณีผู้ป่วยที่NPO ให้มีป้ํายNPO และเขียนระบุว่ําNPO เพื่อผ่าตัดหรือเจาะเลือดเช้าให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
จัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาเนื่องจากความผิดพลาดด้านบุคคลโดยเฉพําะยาน้ำ
กรณีคำสั่งสารน้ำ+ยาB co 2 mlให้เขียนคำว่า+ยําB co 2 ml ด้วยปากกาเมจิกอักษรตัวใหญ่บนป้ํายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจนเพื่อสังเกตได้ง่าย
พยาบาลตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์พร้อมกับเช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยาหากไม่ตรงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
จัดยาจะจัดตามหน้าชองยา คำสั่งใหม่ผู้จัดจะดูวันที่ที่สั่งยาใหม่หน้าซองยาในการเริ่มยาใหม่ในครั้งแรกพร้อมตรวจดูยากับใบMARอีกครั้งว่ํามีตรงกันหรือไม่กรณีพบปัญหาไม่ตรงกันจะไปดูคำสั่งแพทย์อีกครั้ง
เมื่อมีคำสั่งใหม่หัวหน้าเวรลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบคนละคนกันตรวจสอบช้ำก่อนให้ยาให้ตรวจสอบ100% เช็คดูตามใบMAR ทุกครั้ง
การซักประวัติ จะถามเรื่องการแพ้ยาทุกครั้งดูสติ๊กเกอร์สีแสดงแพ้ยาที่ติดอยู่ขอบOPD card และดูรายละเอียดในOPD card ร่วมด้วยทุกครั้ง
การแจกยา ไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยาและให้พยาบาลตรวจดูยาในลิ้นชักของผู้ป่วยทุกเตียงจนเป็นนิสัยและดูผู้ป่วยประจำเตียงว่ํามีหรือไม่
คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
วิถีทางการให้ยา
ID=เข้าชั้นระหว่างผิวหนัง
subling=อมใต้ลิ้น
V=เข้าหลอดเลือดดำ
Inhal=ทางสูดดม
SC=เข้าชั้นใต้ผิวหนัง
Nebul=พ่นให้สูดดม
M=เข้ากล้ามเนื้อ
Supp=เหน็บ / สอด
O=รับประทานทางปาก
instil=lหยอด
เวลาการให้ยา
h.s.=ก่อนนอน
p.r.n.=เมื่อจำเป็น
p.c.=หลังอาหาร
stat=ทันทีทันใด
a.c.=ก่อนอาหาร
ความถี่การให้ยา
tid=วันละ 3 ครั้ง
qid=วันละ 4 ครั้ง
bid=วันละ 2 ครั้ง
q 6 hrs=ทุก 6ชั่วโมง
OD=วันละ 1 ครั้ง
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
การให้ยาทางปาก
การให้ยาทางปากมีรายละเอียด
การพยาบาลเพื่อให้ยาได้ถูกหลักการ
เตรียมยาให้ตรงกับMAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
อ่านฉลากยาให้ตรงกับMAR ของผู้ป่วยแต่ละรายดูวันที่หมดอายุของยา
ดูชื่อยาขนาดยาเวลาที่ให้ในMAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
เทยาหรือรินยาให้ได้ตรงตามจำนวนกับขนาดของยาในMAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
ดูเบอร์เตียงชื่อนามสกุลผู้ป่วยในMAR ให้ตรงกัน
การเตรียมยาตามขั้นตอน
ดูเบอร์เตียงถามชื่อ-สกุลผู้ป่วยให้ตรงกับใบMAR ของผู้ป่วยแต่ละรายตรวจดูป้ายชื่อที่ข้อมือ
แจกยาให้ผู้ป่วยรับประทานภายในเวลาที่กำหนดไม่แจกยาก่อนหรือหลังเวลาที่กำหนดเกิน30 นาที
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาตรงตามเวลาในใบMAR
ประเมินสัญญาณชีพผู้ป่วยก่อนให้ยาในกรณีที่ยานั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ หรือประเมินระดับความปวดก่อนให้ยาแก้ปวด
ดูชื่อขนาดยาให้ตรงกับใบMAR อีกครั้งก่อนเก็บยาเข้าที่
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาลอยู่กับผู้ป่วยจนกลืนยาเรียบร้อยไม่วางยาไว้ที่ข้างเตียงผู้ป่วย
ยาน้ำาให้หันป้ํายยาหรือฉลากยาเข้าหาฝ่ามือ
สังเกตการเปลี่ยนแปลงหลังรับประทานยาเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงทีและเป็นการประเมินผลการรักษาหลังจากที่ได้รับยา
ยาชนิดMultidose ค่อยๆเทยาจากซองยาหรือขวดที่บรรจุยาหรือFoil โดยที่ไม่ให้มือสัมผัสยา
บันทึกในแผนการพยาบาลและในใบMAR ทุกครั้งหลังให้ยา
ยาชนิดUnit dose (ยาที่จัดมาเป็นแบบวันต่อวัน) หยิบยาใส่ถ้วยยาจำนวนตามที่แพทย์สั่งยาที่หุ้มมาด้วยFoil ให้แกะยาที่เตียงของผู้ป่วย
อุปกรณ์ในการให้ยาทางปาก
น้ำเปล่า
ถาดหรือรถใส่ยา
ถ้วยยาหรือSyringe
แบบบันทึกการให้ยา
ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ดแล้วเพื่อให้ยาค้างอยู่ที่คอไม่ถูกน้้ำล้างออก
การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้ ส่วนยาน้ำให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้ายเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองและเคลือบผนังของหลอดอาหารและกระเพาะ
ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม (ยกเว้นยาพวก Tetracycline ไม่ควรให้ผู้ป่วยรับประทานพร้อมนม)
ยาอมใต้ลิ้น
การให้ยาเฉพาะที่
การหยอดยาจมูก(Nose instillation)
หยดยาผ่านทางรูจมูกห่างประมาณ 1-2 นิ้ว
ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมประมาณ 5 -10 นาทีเพื่อป้องกันยาไหลย้อนออกมา
ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น และพยาบาลยกปีกจมูกผู้ป่วยข้างที่จะหยอดยาขึ้นเบาๆ
การให้ยาทางหู(Ear instillation)
ล้างมือและทำความสะอาดใบหูด้วยผ้าชุบน้ำ เช็ดให้แห้ง
เอียงหู หรือนอนตะแคง ให้หูข้างที่จะหยอดอยู่ด้านบน
อุ่นยาให้มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิกายโดยหมุนขวดหรือหลอดยาไปมาระหว่างอุ้งมือทั้ง 2 ข้าง นาน 2 นาที หากเก็บยาไว้ในที่เย็น
ดูดยาและหยอดยาตามจำนวนหยด
ถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย ตรวจสอบให้ตรงกับใบ MARแจ้งผู้ป่วยให้ทราบเกี่ยวกับยาที่ผู้ป่วยจะได้รับ ข้อปฏิบัติที่ผู้ป่วยต้องกระทำ ฤทธิ์ข้างเคียงและอาการแพ้ยา
เอียงหูข้างนั้นไว้ 2-3นาที หรือใช้สำลีอุดหูไว้ 5นาที
การให้ยาทางตา(Eye instillation)
วิธีใช้ยาป้ายตา
นอนหรือนั่งแหงนหน้า เหลือบตาขึ้นข้างบน ใช้มือดึงหนังตาล่างให้เป็นกระพุ้ง
บีบยาลงในกระพุ้งตา โดยเริ่มจากหัวตา ระวังอย่าให้ปลายหลอดแตะกับตาหรือเปลือกตา
ล้างมือให้สะอาด
หลับตา กลอกตาไปมา หรือใช้นิ้วมือคลึงเบาๆ เพื่อให้ยากระจายได้ทั่ว
ถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย ตรวจสอบให้ตรงกับใบ MARแจ้งผู้ป่วยให้ทราบเกี่ยวกับยาที่ผู้ป่วยจะได้รับ ข้อปฏิบัติที่ผู้ป่วยต้องกระทำ ฤทธิ์ข้างเคียงและอาการแพ้ยา
ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาป้ายตาร่วมกับยาหยอดตา ให้ใช้ยาหยอดตาก่อนยาป้ายตาประมาณ 5นาที
วิธีใช้ยาล้างตา
ล้างถ้วยล้างตาด้วยน้ำสบู่ เช็ดให้แห้ง หรือใช้น้ำร้อนลวกก็ได้
ตรวจดูเสียก่อนว่าน้ำายําล้างตาใสหรือขุ่น
ล้างมือ ล้างหน้าให้สะอาด
รินน้ำยาล้างตาเต็มถ้วย ก้มศีรษะเอาตาจุ่มลงถ้วยนั้น ใช้มือกดถ้วยให้แน่น เงยหน้าขึ้นโดยไม่ให้น้้ำยาหก
ลืมตาในน้ำยาล้างตา กลอกไปมาสักพัก ก้มศีรษะลง ยกถ้วยล้างตาออก
ถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย ตรวจสอบให้ตรงกับใบ MARแจ้งผู้ป่วยให้ทราบเกี่ยวกับยาที่ผู้ป่วยจะได้รับ ข้อปฏิบัติที่ผู้ป่วยต้องกระทำ ฤทธิ์ข้างเคียงและอาการแพ้ยา
วิธีใช้ยาหยอดตา
ให้ผู้ป่วยนอนหรือนั่งแหงนหน้ามองขึ้นข้างบนและพยาบาลดึงเปลือกตาล่างข้างที่จะหยอดยาลง
หยอดยาตาตามจำนวนหยดลงไปบริเวณ Conjunctiva sacห่างประมาณ 1-2 นิ้วระวังอย่าให้หลอดหยดแตะกับตาหรือขนตา
ล้างมือให้สะอาด ทำความสะอาดตาด้วยสำลีชุบ NSSโดยเช็ดจากหัวตาไปหางตา เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและยาเก่าออก โดยสำลี 1ก้อนเช็ดได้ครั้งเดียว แล้วล้างมือให้สะอาดอีกครั้ง
หลับตาพร้อมทั้งใช้มือกดเบาๆ ที่ข้างจมูกบริเวณหัวตาไว้ประมาณ 1-2นาที
อุ่นยาให้มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิกายโดยหมุนขวดหรือหลอดยาไปมําระหว่างอุ้งมือทั้ง 2 ข้าง นาน 2 นาที หากเก็บยาไว้ในที่เย็น
ซับส่วนที่เกินออก อย่าขยี้ตา
หํากจำเป็นต้องหยอดยาหลายชนิดในช่วงเวลาเดียวกันให้เว้นช่วงระยะเวลา 5นาทีเพื่อให้ยาแต่ละชนิดออกฤทธิ์ได้ดี
ถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย ตรวจสอบให้ตรงกับใบ MARแจ้งผู้ป่วยให้ทราบเกี่ยวกับยาที่ผู้ป่วยจะได้รับ ข้อปฏิบัติที่ผู้ป่วยต้องกระทำ ฤทธิ์ข้างเคียงและอาการแพ้ยา
การเหน็บยา
วิธีการเหน็บยาทางทวารหนัก (Rectum suppository)
วิธีการเหน็บยาทางช่องคลอด (Vaginal suppository)
การสูดดม (Inhalation)
ให้โดยการพ่นยาเข้าสู่ทางเดินหายใจ
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
เพื่อการรักษา
รักษาเฉพาะโรค
ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขาด
รักษาตามอาการ
ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้ํางเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่ํางเพียงพอ
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริยศําสตร์
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่ํางถูกต้อง
สํามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเนื่อง
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา
อธิบายเหตุผล และควํามเสี่ยง/ประโยชน์ของทางเลือกในการรักษาที่ผู้ป่วย/ผู้ดูแลเข้าใจได้
ประเมินความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยอย่ํางสม่่ำเสมอโดยไม่ด่วนตัดสิน
ระบุและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
ชี้แจงทางเลือกในการรักษา
ความเข้าใจกับการร่วมปรึกษาหารือก่อนใช้ยา
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น (Consider the options)
พิจารณาโรคร่วม ยาที่ใช้อยู่ การแพ้ยา ข้อห้ามการใช้ยา และคุณภาพชีวิตที่อาจส่งผลกระทบต่อการเลือกใช้ยา
คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วย
ใช้ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของยาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง
พัฒนาความรู้ให้เป็นปัจจุบัน
ประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาและไม่ใช้ยา
เข้าใจเรื่องเชื้อดื้อยา และแนวทางการป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยา
พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยเพื่อประกอบการปรับขนาดยา
พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้ยาหรือการรักษาแบบไม่ใช้ยาในการรักษาและการส่งเสริมสุขภาพ
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
หรือมีความจำเป็นต้องใช้ยาในกํารรักษา (Assess the patient)
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
ภาวะจิตใจ
จากการเรียนรู้และจดจำประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการได้รับยา
ภาวะสุขภาพ
ร่างกายจะแสดงออกของฤทธิ์ยาต่างจากคนปกติ
กรรมพันธุ์
บางคนแพ้ยาง่าย ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม
ทางที่ให้ยา
ยาที่ให้ทางหลอดเลือดจะดูดซึมได้เร็วกว่ายาที่ให้รับประทานทางปาก
เพศ
ยาจะมีปฏิกิริยาต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
เวลาที่ให้ยา
ยาบางชนิดต้องให้เวลาที่ถูกต้องยาจึงออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ
อายุและน้ำหนักตัว
เด็กเล็กๆ ตับและไตยังเจริญไม่เต็มที่
ผู้สูงอายุมากๆ การทำงานของตับและไตลดลง จึงทำให้ยามีปฏิกิริยามากขึ้น
สิ่งแวดล้อม
ยาบางชนิดต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ เพื่อจะได้พักผ่อน