Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลสุขภาพ แบบข้ามวัฒนธรรม, 8F60D1F8-C5D9-434C-A32C-886DBBB0DF45,…
การดูแลสุขภาพ
แบบข้ามวัฒนธรรม
ความสำคัญของวัฒนธรรม
วัฒนธรรมเป็นเครื่องกำหนดความเจริญหรือความเสื่อมของสังคมและเป็นเครื่องกำหนดชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม
การศึกษาวัฒนธรรมจะทำให้เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ ค่านิยมของสังคมเจตคติความคิดเห็นแบะความเชื่อถือของบุคคลได้อย่างถูกต้อง
ทำให้มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันและให้ความร่วมมือกัน
ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคมเพราะวัฒนธรรมคือกรอบหรือแบบแผนของ การดำรงชีวิต
ทำให้พฤติกรรมเป็นแบบเดียวกัน
ทำให้เข้ากับคนพวกอื่นในสังคมเดียวกันได้
ทำให้มนุษย์มีสภาวะต่างจากสัตว์
ทางสังคมวิทยาได้จำแนกวัฒนธรรมออกเป็น 2 ประเภท
วัฒนธรรมทางวัตถุ (material culture) หมายถึง สิ่งของหรือวัตถุอันเกิดจากความคิดและการประดิษฐ์ขึ้นมาของมนุษย์เช่น ถ้วย ชาม
วัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ (non-material culture) หมายถึงวัฒนธรรมที่แสดงออกได้โดยทัศนะ ประเพณี ขนบธรรมเนียม การปฏิบัติสืบต่อกันมาเช่น ความคิด ความเชื่อ
ความหมายของวัฒนธรรม
ตาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2555
วัฒนธรรมเป็นความคิดร่วมและค่านิยมทางสังคมเป็นตัวกำหนัดมาตรฐานพฤติกรรม
วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้
วัฒนธรรมมีพื้นฐานมาจากการใช้สัญลักษณ์
วัฒนธรรมเป็นองค์รวมของความรู้และภูมิปัญญา
วัฒนธรรมคือกระบวนการที่มนุษย์นิยามความหมายให้กับชีวิตและสิ่งต่างๆ
วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
องค์ประกอบของวัฒนธรรม
องค์วัตถุทั้งที่เป็นเครื่องมือและสัญลักษณ์ หมายถึง วัฒนธรรมในด้านวัตถุที่มีรูปร่างจับต้องได้เช่น เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ
องค์การหรือสมาคม หมายถึง วัฒนธรรมในส่วนของการจัดระเบียบเป็นองค์การหรือสมาคม มีโครงสร้างซึ่งสามารถมองเห็นได้ มีระเบียบแบบแผนหรือกฏเกณฑ์ข้อบังคับ
องค์พิธีหรือพิธีการหมายถึง วัฒนธรรมในด้านความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับมาจากคำสอนทางศาสนา เช่น ความเชื่อในเรื่องบาปบุญ
วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพและการแสวงหาการรักษาประชาชนในภูมิภาคต่างๆของโลก
แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมกับการดูแลสุขภาพ
ส่งเสริมสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยหรือพิการ ดูแลรักษาสุขภาพเมื่ออยู่ในภาวะเจ็บป่วยเป็นโรค ฟื้นฟูสุขภาพให้เข้าสู่ภาวะปกติ
ประเภทของวัฒนธรรมกับการดูแลสุขภาพ
วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพในสภาวะปกติ หมายถึงแบบแผนทางวัฒนธรรมของสังคมที่มีกำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของคนในสังคม
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ เช่น การกินอาหารประเภทน้ำพริกผักจิ้มและอาหารจากธรรมชาติ
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการป้องกันโรค เช่น การบริโภคอาหารปรุงสุก การคว่ำกะลาหรือใส่ทรายอะเบทเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของยุงลายการรับวัคซีนภูมิคุ้มกันโรค
วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพในสภาวะเจ็บป่วย หมายถึงการรับรู้ของบุคคลที่มีต่อความผิดปกติของร่างกาย
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่น การดูแลการพักฟื้นของผู้ป่วยจากคนในครอบครัว
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการรักษาโรค
ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมกับการดูแลสุขภาพ
Awareness
การตระหนักรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม
หากบุคลากรสุขภาพ (พยาบาล) ยังไม่เข้าใจก็มีโอกาสที่จะเกิดพฤติกรรมการบริการที่ไม่เหมาะสมต่อผู้ใช้บริการต่างวัฒนธรรมได้
Skill
การมีทักษะเกี่ยวกับวัฒนธรรมความสามารถของบุคลากรสุขภาพในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติและปัญหาของผู้รับบริการ การมีความไวทางวัฒนธรรม
Knowledge
การมีองค์ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม คือ การแสวงหาความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับโลกทัศน์ ของบุคคลที่มีความแตกต่างกันทางวัฒนธรรม
องค์ความรู้เหล่านี้สามารถศึกษาได้จาก ศาสตร์ต่างๆ เช่น การบริการข้ามวัฒนธรรม
องค์ความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรมยังรวมไปถึงลักษณะเฉพาะ ทางร่างกาย
Encounter
ความสามารถในการเผชิญและจัดการกับวัฒนธรรม การที่บุคลากรสุขภาพมีความสามารถในการจัดบริการที่เหมาะสมสำหรับผู้รับบริการที่มีภูมิหลังทางวัฒนธรรม แตกต่างกัน
การหาประสบการณ์โดยการเข้าไปอยู่ร่วมกันในสังคมต่างวัฒนธรรม
Desire
ความปรารถนาที่จะมีสมรรถนะทางวัฒนธรรม ทำให้ต้องการเข้าไปสู่กระบวนการพัฒนาสมรรถนะทางวัฒนธรรม
เป็นชั้นที่สูงที่สุดของสมรรถนะทางวัฒนธรรม
ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมกับการดูแลสุขภาพสามารถจัดแบ่งได้ตามประโยชน์และโทษ
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น การทำให้ทารกกินนมแม่นานถึง 2 ปี
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่ได้ให้ประโยชน์ เช่น ห้ามหญิงมครรภ์กินกล้วยแฝด
ขนมธรรมเนียมประเพณีที่ให้โทษ เช่น การรับประทานอาหารสุกๆดิบๆ
แนวทางการดูแลสุขภาพที่เกิดขึ้นเป็นวัฒนธรรมของการดูแลสุขภาพของประชาชน
ระบบการดูแลสุขภาพวิชาชีพ
ระบบการดูแลสุขภาพภาคพื้นบ้าน
ระบบการดูแลสุขภาพภาคประชาชน
คุณค่า ความเชื่อ ค่านิยมทางสังคมที่มีผลต่อหลักการในการดำเนินชีวิตได้
ค่านิยมทางสังคม
ค่านิยมทางสังคมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมทางสังคมและวิถีชีวิตของบุคคลในสังคม ทั้งนี้เพราะว่าค่านิยมของสังคมนั้น เป็นสิ่งที่บุคคลในสังคมนั้นๆถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องกระทำต้องปฏิบัติเป็นสิ่งที่บุคคลยกย่องเขา ค่านิยมทางสังคมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความถูกต้อง
ค่านิยมทางสังคมจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัยทางสังคมหลายอย่างเข้ามาอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
: ครอบครัว เป็นสถาบันสังคมอันดับแรกที่มีอิทธิพลต่อการสร้างค่านิยมให้แก่บุคคลเพราะครอบครัวเป็นหน่วยแรกที่อบรมสั่งสอนพฤติกรรมสังคมให้แก่คนตั้งแต่เกิดจนโต
โรงเรียน คือสถาบันทางสังคมที่มีส่วนในการสร้างค่านิยมอันถูกต้องให้แก่เด็กเป็นอย่างมากในการสั่งสอนเด็กให้เกิดความคิด ความเชื่อ อันจะนำไปสู่แบบแผนการมีพฤติกรรมที่ดี การอบรมปลูกฝังค่านิยมจะต้องมีการติดตามอยู่ทุกระยะ
สถาบันศาสนา บุคคลและหน่วยงานของศาสนาต่างๆ ก็มีส่วนช่วยในการปลูกฝังค่านิยมและศีลธรรมอันถูกต้อง
สื่อมวลชนมักนำความคิดเช่นนี้ออกไปเผยแพร่ คนในสังคมโดยเฉพาะเด็กและวัยรุ่นจะรับเอาความคิดนี้เข้าไว้โดยไม่รู้ตัวในด้านความรู้และความคิดสื่อมวลชนย่อมมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ความคิดหลายๆอย่าง
สังคมวัยรุ่นและกลุ่มเพื่อน การคบหาสมาคมกับรุ่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนสนิท
องค์การของรัฐบาล รัฐย่อมมีส่วนในการปลูกฝังค่านิยมและศีลธรรมให้แก่สังคมตามปกติ รัฐจะควบคุมโรงเรียนและสนับสนุนสถาบันศาสนาให้ทำหน้าที่ในด้านนี้นอกจากนั้นรัฐยังตรากฏหมายให้สิทธิและอำนาจแก่ครอบครัวในการเลี้ยงดูและอบรมเด็ก
ประเภทของความเชื่อ
ความเชื่อขั้นพื้นฐานของบุคคลมี 2 ลักษณะ คือ เกิดจากประสบการณ์ตรง และเกิดจากการแลกเปลี่ยนพบปะสังสรรค์
ความเชื่อในสิ่งที่ปรากฏอยู่จริง เช่น น้ำทะเลมีรสเค็ม
ความเชื่อแบบประเพณี ในภาคเหนือเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับผี และอำนาจเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับป่า
ความเชื่อแบบเป็นทางการ เช่น ความเชื่อที่มีต่อหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเรื่องการมีสติ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อ
ปัจจัยด้านจิตวิทยา ได้แก่ การรับรู้ และการเรียนรู้
ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ การขัดเกลาทางสังคม
ปัจจัยทางด้านบุคคล ได้แก่ ศาสนา อายุ เพศ การศึกษา อาชีพ
ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรคและวิธีการดูแลสุขภาพ
ความเชื่อแบบอำนาจเหนือธรรมชาติและวิธีดูแลสุขภาพ เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรค โดยมีความเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของผี วิธีดูแลสุขภาพแบบเหนือธรรมชาติ ประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ กลุ่มหมอดู กลุ่มหมอสะเดาะเคราะห์ กลุ่มหมอธรรม และกลุ่มหมอตำรา
ความเชื่อแบบพื้นบ้านและวิธีการดูแลสุขภาพ เช่น ความเจ็บป่วยที่เกิดจากการขาดสมดุลธาตุ วิธีดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้าน จะมีการทำพิธีตั้งขันข้าวหรือการตั้งคายซึ่งเป็นการไหว้ครูเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการรักษา ได้แก่ หมอสมุนไพร หมอเป่า
ความเชื่อแบบการแพทย์แผนตะวันตกและวิธีการดูแลสุขภาพ เช่น การเจ็บป่วยเกิดจากเชื้อโรควิธีการดูแลสุขภาพแบบแพทย์ตะวันตก จะมีการวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการเจ็บป่วย ผู้ให้การรักษาคือ แพทย์หรือหมอ ที่ได้ผ่านการเรียนทางด้านแพทย์ศาสตร์มาโดยเฉพาะ
ความเชื่อและการดูแลสุขภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านสถานการณ์ชีวิต
ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการเกิดแบบพื้นบ้าน
ระยะคลอดบุตร
ระยะตั้งครรภ์
ระยะหลังคลอด
ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการเกิดแบบแพทย์ตะวันตก
ความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์เป็นภาวะที่ตัวอ่อนหรือทารกได้ก่อกำเนิดขึ้นภายในมดลูก
การดูแลสุขภาพแบบการแพทย์ตะวันตกมีหลักการดูแลคล้ายคลึงการดูแลแบบพื้นบ้านโดยมีวัตถุประสงค์ให้มารดาและทารก สมบูรณ์แข็งแรงรวมทั้งผ่านทุกระยะของกระบวนการให้กำเนิดได้อย่างปลอดภัย
ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความชรา
ความเชื่อเกี่ยวกับความชราและการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้าน
ความเชื่อเกี่ยวกับความชราปัจจัยบ่งชี้ถึงความชรา เช่น ภาวะหมดประจำเดือนในเพศหญิง
การดูแลสุขภาพวัยชราแบบพื้นบ้าน ได้แก่ การใช้สมุนไพรเช่นสมุนไพรตำรับ (ยาดอง ยาบำรุง) สมุนไพรเดี่ยว(โสม บัวหลวง กวาวเครือขาว)
ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการเกิดแบบแพทย์ตะวันตก
ความเชื่อเกี่ยวกับความชรากำหนดอายุตั้งแต่ 60-65 ปีขึ้นไป เป็นเกณฑ์เข้าสู่วัยชรา
การดูแลสุขภาพวัยชราแบบการแพทย์แผนตะวันตก ได้แก่ การดูแลด้านโภชนาการ
ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความตาย
ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความตายแบบพื้นบ้าน
ความเชื่อเกี่ยวกับความตายแบบพื้นบ้านมีความเชื่อในเรื่องวิญญาณ กฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิด และชาติภพ
การดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความตายแบบพื้นบ้านจะมุ่งเน้น การตอบสนองทางด้านจิตวิญญาณของผู้ตายและเครือญาติ
ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความตายแบบแพทย์แผนตะวันตก
จะพิจาณาจากการหยุดทำงานของหัวใจ และการทำงานของแกนสมอง
การดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการตายแบบแพทย์แผนตะวันตกมุ่งเน้นให้ระบบและอวัยวะต่างๆสามารถทำงานต่อไปได้ และยืดชีวิตผู้ป่วยได้ยาวนานมากที่สุด