Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริหารยากินและยาเฉพาะที - Coggle Diagram
การบริหารยากินและยาเฉพาะที
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
อายุและน้ำหนักตัว
เด็กเล็ก ๆ ตับและไตยังเจริญไม่เต็มที่
ผู้สูงอายุมาก ๆ การทำงานของตับ และไตลดลง
ทำให้ยามีปฏิกิริยามากขึ้น ขนาดของยาที่ให้จึงต้องน้อยกว่ำคนปกติ
ส่วนคนที่มีน้ำหนักตัว มากต้องได้รับขนาดของยาเพิ่มสูงขึ้น
เพศ
ถ้าผู้ชายและผู้หญิง ได้รับยาขนาดเท่ากัน ยาจะมี ปฏิกิริยาต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
กรรมพันธุ์
มีความไวผิดปกติต่อยาบางชนิด บางคนแพ้ยาง่าย ซึ่งอาจเกิดจาก พันธุกรรม
ภาวะจิตใจ
เป็นการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขจากการเรียนรู้และจดจำประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการได้รับยาเคมีบำบัด
ภาวะสุขภาพ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีอาการป่วย เมื่อได้รับยาจะมีผลต่อการแสดงออกของฤทธิ์ ยาต่างจากคนปกติ
ทางที่ให้ยา
ยาที่ให้ทางหลอดเลือดจะดูดซึมได้เร็วกว่ายาที่ให้รับประทานทางปาก
เวลาที่ให้ยา
ยาบางชนิดต้องให้เวลาที่ถูกต้องยาจึงออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ
สิ่งแวดล้อม
ยาที่รักษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางชนิด ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ เพื่อจะได้ พักผ่อน
ระบบการตวงวัดยา
ระบบอโพทีคำรี
20 เกรน (grain) = 1 สครูเปิล (scruple)
3 สครูเปิล (scruple) = 1 แดรม (dram)
8 แดรม (dram) = 1 ออนซ์ (ounce)
12 ออนซ์ (ounce) = 1 ปอนด์ (pound)
ระบบเมตริก
1 ลิตร = 1000 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 กิโลกรัม * = 1000 กรัม (gm)
1 กรัม * = 1000 มิลลิกรัม (mg)
1 มิลลิกรัม * = 1000 ไมโครกรัม (mcg)
1 กรัม = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
การเปลี่ยนหน่วย ระบบอโพทีคารี เป็น ระบบเมตริก
15 เกรน (grain) = 1 กรัม (gram) gm
1 แดรม (dram) = 4 มิลลิลติร (ซี.ซี.)
1 แดรม = 4 กรัม
1 ออนซ์ = 30 กรัม (30 ซี.ซี.)
1 ปอนด์ = 450 กรัม
2.2 ปอนด์ =1000 กรัม(1 กิโลกรัม)
1 เกรน (grain) = 60 มิลลิกรัม (mg)
ระบบมาตราตวงวัดประจำบ้าน สามารถเทียบได้กับระบบเมตริก
15 หยด * = 1 มิลลิลติร (ซี.ซี.)
1 ช้อนชา = 5 มิลลิลติร (ซี.ซี.)
1 ช้อนหวาน = 8 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนโต๊ะ * = 15 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยชา = 180 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยแก้ว = 240 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
ความถี่การให้ยา
OD = omni die = วันละ 1 ครั้ง
bid = bis in die = วันละ 2 ครั้ง
tid = ter in die = วันละ 3 ครั้ง
qid = quarter in die = วันละ 4 ครั้ง
q 6 hrs = quaque 6 hora ทุก = 6 ชั่วโมง
วิถีทางการให้ยา
O = รับประทานทางปาก
M = เข้ากล้ามเนื้อ
SC = เข้าชั้นใต้ผิวหนัง
V = เข้าหลอดเลือดดำ
ID = เข้าชั้นระหว่างผิวหนัง
subling = อมใต้ลิ้น
Inhal = ทางสูดดม
Nebul = พ่นให้สูดดม
Supp = เหน็บ / สอด
instill = หยอด
เวลาการให้ยา
a.c. = ante cibum = ก่อนอาหาร
p.c. = post cibum = หลังอาหาร
h.s.= hora somni = ก่อนนอน
p.r.n. = pro re nata = เมื่อจำเป็น
stat = statim = ทันทีทันใด
คำสั่งแพทย์
คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป
(Standing order / order for continuous)
คำสั่งใช้ภายในวันเดียว
(Single order of order for one day)
คำสั่งที่ต้องให้ทันที (Stat order)
เป็นคำสั่งการให้ยาครั้งเดียวและต้องให้ทันที
คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น (prn order) เป็นคำสั่งที่กำหนดไว้ให้ปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีอาการ บางอย่างเกิดขึ้น
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
ชื่อของผู้ป่วย
วันที่เขียนคำสั่งการรักษา
ชื่อของยา
ขนาดของยา
วิถีทางการให้ยา
เวลาและความถี่ในการให้ยา
ลายมือผู้สั่งยา
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
ทางปาก (oral) ยาที่ให้ผู้ป่วยรับประทานทางปาก
ทางสูดดม (inhalation) ยาที่ใช้พ่นให้ผู้ป่วยสูดดมทางปากหรือจมูก
ทางเยื่อบุ (mucous) ยาที่ใช้สอดใส่หรือหยอดทางอวัยวะต่างๆ ของผู้ป่วย
ทางผิวหนัง (skin) ยาที่ใช้ทาบริเวณผิวหนังของผู้ป่วย
ทางชั้นผิวหนัง (intradermal) ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางชั้นผิวหนังของผู้ป่วย
ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular) ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อของผู้ป่วย
ทางหลอดเลือดดำ (intravenous) ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางหลอดเลือดำของผู้ป่วยโดยเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดโดยตรง
ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous / hypodermal) ยาที่ใช้ฉีดเข้าที่ใต้ผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้าระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นใต้ผิวหนัง
รูปแบบการบริหารยา
Right patient/client (ถูกคน)
คือการให้ยาถูกคน โดยการเช็คชื่อผู้ป่วยทุก ครั้งก่อนให้ยา
Right drug (ถูกยา) คืออาการให้ยาถูกชนิด
Right dose (ถูกขนาด) คือการให้ยาถูกขนาด โดยการจัดยา
Right time (ถูกเวลา) คือการให้ยาถูกหรือตรงเวลา
Right route (ถูกวิถีทาง)คือการให้ยาถูกทาง
Right technique (ถูกเทคนิค) คือการให้ยาถูกตามวิธีการ ใช้เทคนิคที่เหมาะสม
Right documentation (ถูกกำรบันทึก) คือการบันทึกการให้ยาที่ถูกต้อง
Right to refuse คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในการจัดการยา ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะปฏิเสธการใช้ยา
Right History and assessment
คือการซักประวัติ และการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation คือการที่จะต้องให้ยาร่วมกัน
Right to Education and Information
คือก่อนที่พยาบาลจะให้ยาผู้ป่วยทุกครั้งต้องแจ้ง ชื่อยาที่จะให้ ทางที่จะให้ยา ผลการรักษา ผลข้ำงเคียงของยาที่อาจจะเกิด และอาการที่ต้องเฝ้าระวัง ก่อน การให้ยาทุกครั้ง
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
การให้ยาทางปาก
หมายถึง การให้ยาที่สามารถรับประทานทางปากได้
การให้ยาเฉพาะที่
การให้ยาเฉพาะที่
เป็นการให้ยาภายนอกเฉพาะต่ำแหน่งเพื่อให้ยา
ออกฤทธิ์เฉพาะที่ ได้แก่ การให้ยาโดยผ่านทางเยื่อเมือกของอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง
การสูดดม (Inhalation) เป็นการให้ยาในรูปของก๊าซ (Gas) ไอระเหย (Vapor) หรือ ละออง (Aerosol)
การให้ยาทางตา (Eye instillation) เนื่องจากดวงตาเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางมาก ติดเชื้อได้ง่าย
การให้ยาทางหู (Ear instillation) เป็นการหยอดยาเข้าไปในช่องหูชั้นนอก ยาที่ใช้ เป็นยาน้ำ
การหยอดยาจมูก (Nose instillation) ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น และพยาบาลยกปีกจมูก ผู้ป่วยข้างที่จะหยอดยาขึ้นเบาๆ
การเหน็บยา เป็นการให้ยาที่มีลักษณะเป็นเม็ด เข้าทางเยื่อบุตามอวัยวะต่าง ๆ
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา (Prescription error) คือ ความคลาดเคลื่อนที่พบในใบสั่งยา (ใบ Order)
ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา (Transcribing error) คือ ความคลาดเคลื่อน ของกระบวนการคัดลอกคำสั่งใช้ยาจากคำสั่งใช้ยาต้นฉบับที่ผู้สั่งใช้ยาเขียน
ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา (Dispensing Error) คือ ความคลาดเคลื่อนใน กระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา (Administration error) คือ การบริหารยที่าแตกต่างไปจากคำสั่งใช้ยาของผู้สั่งใช้ยาที่เขียนไว้ในใบบันทึกประวัติการรักษาผู้ป่วย
หลักการบริหารยา 6 R
หลักการที่ 1 การประกันความถูกต้องด้านผู้ป่วย (Right patient)
หลักการที่ 2 การประกันว่าผู้ป่วยจะได้รับยาที่มีคุณภาพ เป็นไปตามเงื่อนไขผู้ป่วย หรือถูกต้องตามที่ แพทย์ต้องการ (Right drug)
หลักการที่ 3 การประกันว่าผู้ป่วยจะได้รับยาที่มี ความแรง ความเข้มข้น ขนาดยาตามความเหมาะสม และเป็นไปตามที่แพทยต์้องการ (Right dose)
หลักการที่ 4 การประกันว่า ผู้ป่วยจะได้รับยาถูกต้องตาม เวลาที่เหมาะสม (Right time)
หลักการที่ 5 การประกันว่าผู้ป่วยจะได้รับยาถูกช่องทาง หรือวิธีบริหารยาที่เหมาะสม (Right route)
หลักการที่ 6 การประกันว่า ผู้ป่วยจะได้รับการบริหารยา ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม (Right technique)
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
เมื่อผู้ป่วยเข้ามานอนรักษาในครั้งแรก พยาบาลตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์ พร้อมกับ เช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยา
การซักประวัติ จะถามเรื่องการแพ้ยาทุกครั้งดูสติ๊กเกอร์สีแดง
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร ลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาเนื่องจากความผิดพลาดด้านบุคคลโดยเฉพาะยาน้ำ
เวรบ่าย พยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกัน และดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
กรณีผู้ป่วยที่ NPO ให้มีป้าย NPO และเขียนระบุว่า NPO เพื่อผ่าตัดหรือเจาะเลือดเช้า ให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
กรณีคำสั่งสารน้ำ+ยา B co 2 ml ให้เขียนคำว่า +ยา B co 2 ml ด้วยปากกาเมจิก อักษรตัวใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจนเพื่อสังเกตได้ง่าย
การจัดยาจะจัดตามหน้าซองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้องแล้ว
มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบ คนละคนกันตรวจสอบซ่ำก่อนให้ยา ให้ตรวจสอบ 100% เช็คดูตามใบ MAR ทุกครั้ง
การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยาและให้พยาบาลตรวจดูยา ในลิ้นชักของผู้ป่วยทุกเตียง
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Competencies of nurses for Rational Drug Use)
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น (Consider the options)
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา โดยพิจารณาจากข้อมูลทางเลือกที่ถูกต้อง เหมาะสมกับบริบทและเคารพในมุมมองของผู้ป่วย (Reach a shared decision)
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ (Provide information)
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้ (Monitor and review)
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribe safely)
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา
ได้อย่างต่อเนื่อง (Improve prescribing practice)
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ
กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่
การประเมินสภาพ
การวินิจฉัยการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล
การประเมินผล