Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริการยากินเเละยาเฉพาะที่, การให้ยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
การบริการยากินเเละยาเฉพาะที่
1 วัตถุประสงค์ของการให้ยามี 3 ประการ
เพื่อป้องกันเเละส่งเสริมสุขภาพ
เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
เพื่อการรักษา เป็นการให้ยารักษาตามสาเหตุของโรค หรือช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทาจากโรค
8 ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา
ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา
ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ เจ้าหน้าที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่คัดกรองการลงข้อมูลยาในคอมพิวเตอร์ไม่ครอบลุม
ที่เภสัชกรรม หมายถึง เจ้าหน้าที่ห้องยา/ เภสัชกร อ่านคำสั่งเเพทย์ไม่ถูกต้อง
ที่หอผู้ป่วย พยาบาลลอกคำสั่งเเพทย์ไม่ถูกต้อง
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
การให้ยาผู้ป่วยผิดคน (Wrong patient)
การให้ยาผิดขนาด (Wrong-dose error)
การให้ยาซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง (Unordered drug)
การให้ยาผิดวิถีทาง (Wrong-route error)
การให้ยาผิดชนิด (Wrong drug error)
การให้ยาผิดเวลา (Wrong-time error)
การให้ยาไม่ครบ (Omission error)
การให้ยามากกว่าจานวนครั้งที่สั่ง (Extra-dose error)
การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด (Wrong rate of administration
error)
การให้ยาผิดเทคนิค (Wrong technique error)
การให้ยาผิดรูปแบบยา (Wrong dosage-form error)
ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา
สั่งยาผิดขนาด
สั่งยาผิดชนิด
สั่งยาผิดความถี่
สั่งยาผิดทาง
สั่งยาที่มีประวัติแพ้
ลายมือไม่ชัดเจน
สมรรถนะพยาบาลการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล
1.ประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา / มีความจำเป็นต้องใช้ยา ในการรักษา
ร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น
สื่อสารให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
ให้ข้อมูลที่จาเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ
ติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียง
ใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย เเละต่อสังคมโดยรวม
ใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ
พัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเนื่อง
ทำงานร่วมกับสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้ เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
11 กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากเเละยาเฉพาะที่
1 การประเมินสภาพ
2 การวินิจฉัยการพยาบาล
3 การวางเเผนการพยาบาล
4 การปฏิบัติการพยาบาล
5 การประเมินผล
4 คำย่อเเละสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
ความถี่การให้ยา
OD = วันละ 1ครั้ง
bid = วันละ 2ครั้ง
tid = วันละ 3ครั้ง
qid = วันละ 4ครั้ง
q 6 hrs = ทุก 6ชั่วโมง
วิธีทางการให้ยา
IV = เข้ำหลอดเลือดดำ
IM = เข้ากล้ามเนื้อ
SC = เข้าใต้ผิวหนัง
ID = เข้าระหว่างชั้นผิวหนัง
o = รับประทานทางปาก
instill = หยอด
inhal = สูดดม
subling /SL = อมใต้ลิ้น
subb = เหน็บ / สอด
2 ปัจจัยที่มีผลต่อการออฤทธิ์ของยา
ภาวะจิตใจ
ภาวะทางสุขภาย
กรรมพันธุ์
ทางที่ให้ยา
เพศ
เวลาที่ให้ยา
อายุเเละน้ำหนักตัว
สิ่งเเวดล้อม
3 ระบบการตวงยา ที่พบในปัจจุบันมี 3 ระบบ
ระบบเมตริก
เปลี่ยนจาก ระบบอโพทีคารีเป็น ระบบเมตริก
15grain ( gr.) = 1gm
1 pound (lb) = 450 gm
1 dram (z) = 4 gm
1 ounce (oz) = 30 gm (c.c.)
2.2 pound (lb) = 1,000 gm
1 grain (gr.) = 60 mg
ระบบมาตรฐานตวงวัดประจำบ้าน
ระบบอโพทีคารี
6 รูปแบบการบริหารยา
จะต้องยึดหลัด 11 ข้อดังนี้
4 Right time (ถูกเวลา)
6 Right technique (ถูกวิธี)
3 Right dose (ถูกขนาด )
8 Right to refuse (สิทธิที่จะปฏิเสธการใช้ยา)
Right drug/ medication (ถูกยา)
9 RightHistory and assessment (การตรวจสอบประวัติการแพ้ยาและทำการประเมินถูกต้อง)
7 Right documentation (ถูกการบันทึก)
5 Right route (ถูกวิถีทาง)
Right patient/client (ถูกคน/ถูกตัวผู้ป่วย)
10 Right Drug-Drug Interaction and Evaluation Drug (การตรวจสอบปฏิกิริยาระหว่างกันของยา และการประเมินถูกต้อง )
11 Right to Education and Information (การให้ความรู้และข้อมูลถูกต้อง)
หลักการให้ยา
การให้ยาทางปากใช้หลักสะอาด และการฉีดยาใช้หลัก aseptic technique
ตรวจสอบคำสั่งแพทย์ก่อนให้ยาทุกครั้ง
ก่อนให้ยาต้องทราบวัตถุประสงค์การให้ยา การวินิจฉัยโรค ผลของยาที่ต้องการให้เกิดและฤทธิ์ข้างเคียงของยา
4.ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาเขียนป้ายติดที่แผ่นรายงานการรักษาอย่างชัดเจน
ตรวจสอบวันหมดอายุของยา
ไม่ควรเตรียมยาค้างไว้ผู้เตรียมยาและผู้ให้ยาควรเป็นคนเดียวกัน double
ไม่ให้ยาที่ฉลากลบเลือนไม่ชัดเจน ไม่ควรเทยากลับไปในขวดเดิมอีก
ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครั้ง
บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียง
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาล
ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันที
มีการประเมินประสิทธิภาพของยาที่ให้
สังเกตอาการก่อนและหลังการให้ยา
14.กรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาล
5 คำสั่งเเพทย์ คำนวณขนาดยา
คำสั่งเเพทย์
การเขียนคำสั่งเเพทย์มี 4 ชนิด
คำสั่งที่ต้องให้ทันที Stat order
คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป Standing order/ Orde rfor continous
คำสั่งที่ให้เมื่่อจำเป็น PRN order
คำสั่งใช้ภายในวันเดียว order Single order/ orde rfor oneday
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
ชื่อของผู้ป่วย
วันที่เขียนการคำสั่งการรักษา
ชื่อยา
ขนาดของยา
วิธีทางการให้ยา
เวลาเเละความถี่ในการให้ยา
ลายมือผู้สั่งยา
ลักษณะคำสั่งเเพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
ทางผิวหนัง Skin
ทางกล้ามเนื้อ Intramuscular
ทางเยื่อบุ Mocous
ทางหลอดเลือดดำ Intravenous
ทางสูดดม Inhalation
ทางชั้นผิวหนัง Intradermal
ทางปาก Oral
ทางใต้ผิวหนัง Subcutaneous/Hypodermal
คำนวณขนาดยา
ขนาดความเข้้มข้นของยาที่มี หาร กับปริมาณยาที่มีอยู่
7 การให้ยาทางปากเเละยาเฉพาะที่
การให้ยาทางปาก
ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม
การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้ ส่วนยาน้ำให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ดแล้ว
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้าย
ยาอมใต้ลิ้น
การบริหารยาให้ถูกหลักการ
1) ดูเบอร์เตียง ชื่อ นามสกุล ผู้ป่วยใน MAR ให้ตรงกัน
2) ดูชื่อยา ขนาดยา เวลาที่ให้ใน MAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
3) เตรียมยาให้ตรงกับ MAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
4) อ่านฉลากยาให้ตรงกับ MAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
5) เทยา หรือรินยาให้ได้ตรงตามจำนวนกับขนาดของยาใน MAR
9 บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
เวรบ่าย ตรวจสอบรายการยาใน MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกัน
เขียนป้าย NPO ระบุ เพื่อผ่าตัด /หรือเจาะเลือด
เขียนคำว่า + ยา B co 2 c.c. ด้วยปากกาเมจิก อักษรตัวใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจน
จัดยาตามหน้าซองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้อง
มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบ คนละคนกันตรวจสอบช้าก่อนให้ยา
แจกยาไล่ตามเตียง/เซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยา
ระมัดระวังในการจัดยา โดยเฉพาะยาน้ำ
ให้ยึดหลัก 7R อย่างเคร่งครัด
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร ลงคำสั่งในใบลงยาทุกครั้ง
ซักประวัติการแพ้ยา
พยาบาลต้องตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์
การให้ยาเฉพาะที่
ใช้หลักการบริหารยา 6 Right มีข้อปฏิบัติดังนี้
การสูดดม (Inhalation)
ให้ยาในรูปของก๊าซไอระเหย/ ละอองเข้าสู่ทางเดินหายใจ
การให้ยาทางตา (Eye instillation)
วิธีการใช้ยาหยอดตา
ถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย ตรวจสอบให้ตรงกับใบ MAR
แจ้งผู้ป่วยให้ทราบเกี่ยวกับยาที่ผู้ป่วยจะได้รับ
อุ่นยาให้มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิกาย
ล้างมือให้สะอาด ทำความสะอาดตาด้วยสำลีชุบ NSS โดยเช็ดจากหัวตาไปหางตา
นอนหรือนั่งแหงนหน้ามองขึ้นข้างบน ดึงเปลือกตาล่างข้างที่จะหยอดยาลง
หยดลงไปบริเวณ Conjunctiva sac ห่างประมาณ 1-2 นิ้ว*
ใช้มือกดเบา ๆ ที่ข้างจมูกหัวตาไว้ ประมาณ 1-2 นาที
การใช้ยาป้ายตา
1 ถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย ตรวจสอบให้ตรงกับใบ MAR แจ้งผู้ป่วยให้ทราบเกี่ยวกับยาที่ผู้ป่วยจะได้รับ
2 ล้างมือให้สะอาด
3 นอนหรือนั่งแหงนหน้ำ เหลือบตำขึ้นข้างบน ใช้มือดึงหนังตาล่างให้เป็นกระพุ้ง
4 บีบยำลงในกระพุ้งตา โดยเริ่มจากหัวตา ระวังอย่าให้ปลายหลอดแตะกับตาหรือเปลือกตา
5 หลับตา กลอกตาไปมา หรือใช้นิ้วมือคลึงเบาๆ เพื่อให้ยากระจำยได้ทั่ว
6 ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาป้ายตำร่วมกับยาหยอดตา ให้ใช้ยาหยอดตาก่อนยาป้ายตำประมาณ 5 นาที
การให้ยาทางหู (Ear instillation
ถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย ตรวจสอบให้ตรงกับใบ MAR
แจ้งผู้ป่วยให้ทราบ ข้อปฏิบัติที่ผู้ป่วยต้องกระทา ฤทธิ์ข้างเคียงและอาการแพ้ยา
อุ่นยาให้มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิกาย
ล้างมือและทำความสะอาดใบหูด้วยผ้าชุบน้า เช็ดให้แห้ง
เอียงหู หรือนอนตะแคง ให้หูข้างที่จะหยอดอยู่ด้านบน
ดูดยาและหยอดยาตามจำนวนหยด ดึงใบหูขึ้นไปละไปข้างหลัง หากเป็นเด็กอายุต่ากว่า 3 ปี ให้ดึงใบหูลงข้างล่างและไปข้างหลัง
เอียงหูข้างนั้นไว้ 2-3 นาที หรือใช้สาลีอุดหูไว้ 5 นาที
การให้ยาทางจมูก
เงยหน้า ยกปีกจมูกผู้ป่วยข้างที่จะหยอดยาขึ้นเบาๆ
หยดยาผ่านทางรูจมูกห่างประมาณ 1-2 นิ้ว
อยู่ในท่าเดิม 5 -10 นาที
การเหน็บยาชา
วิธีการเหน็บยาทางช่องคลอด
ทำหลังจากการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ให้ผู้ป่วยนอนหงาย และพยาบาลใส่ถุงมือปราศจากเชื้อ
สอดใส่เม็ดยาหรือแท่งเข้าไปทางช่องคลอด ใช้นิ้วชี้ดันยาเข้าไปลึกประมาณ 2-3 นิ้ว / จนเกือบสุดนิ้วชี้
วิธีการเหน็บยาทางทวารหนัก
ให้นอนตะแคงข้างซ้าย และพยาบาลใส่ถุงมือสะอาด
ยกแก้มก้นขึ้นจนเห็นรูทวารหนักชัดเจน
สอดใส่เม็ดยาเข้าไปแล้วใช้นิ้วชี้ดันยาพร้อมเขี่ยเม็ดยาให้กระดกขึ้น เพื่อชิดผนังทวารหนัก ยาเข้าไปลึกประมาณ 3-4 นิ้ว / จนสุดนิ้วชี้