Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4การบริหารยา 4.1การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
บทที่ 4การบริหารยา
4.1การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
1.2 เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
1.3 เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
1.1 เพื่อการรักษาเป็นการให้ยาเพื่อรักษาตามสาเหตุของโรค หรือช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทา ทุเลา และหายจากอาการหรือโรคที่เป็นอยู่
2)รักษาเฉพาะโรค
3)ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขาด
1)รักษาตามอาการ
4)ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
รูปแบบการบริหารยา
Right route (ถูกวิถีทาง)
การให้ยาถูกทาง โดยการให้ยาแก่ผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่งการรักษา
เป็นการประกันว่าผู้ป่วยได้รับยาสอดคล้องกับวิถีการบริหารยา
Right technique (ถูกเทคนิค)
การให้ยาถูกตามวิธีการ ใช้เทคนิคที่เหมาะสม โดยการ
เตรียมยาและให้ยาที่ถูกต้องยึดหลักการปลอดเชื้อ
สำหรับยารับประทานทางปาก และหลักการปราศจากเชื้อส สำหรับยาฉีด มีการประเมินค่าความดันโลหิตสำหรับยาที่แพทย์สั่งให้ประเมินก่อน หรือการบดยาที่ต้องค่อยๆปลดปล่อยตัวยา หรือการผสมยาที่มีความเข้ากันได้
Right time (ถูกเวลา)
การให้ยาถูกหรือตรงเวลา โดยการให้ยาตรงตามเวลาหรือความถี่
ตำมคำสั่งการให้ยา
4.2 การให้ยาหลังอาหาร เป้าหมายเพื่อให้ยาได้สัมผัสกับอาหารเพื่อช่วยเรื่องการดูดซึม ดังนั้น การให้ยาต้องให้หลังอาหารทันทีจนถึง 2 ชั่วโมงหลังอาหาร หรือให้ในกรณีที่ยามีผลระคายเคืองกระเพาะอาหารซึ่งอาหารจะช่วยลดการระคายเคืองได้
4.3 การให้ยาช่วงใดก็ได้คืออาหารไม่มีผลต่อการดูดซึม
ดังนั้นจึงให้ช่วงเวลาใดก็ได้
4.1 การให้ยาก่อนอาหาร เพื่อไม่ต้องการให้ยาได้สัมผัสกับอาหาร ดังนั้นการให้ยาก่อนอาหารควรให้ยาก่อนอาหารอย่างน้อย ½ ชั่วโมงหรือหลังอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมงหรือรับประทานยาตอนท้องว่าง
4.4 การให้แบบกำหนดเวลาหรือให้เฉพาะกับอาหารที่เฉพาะ
เช่น การให้พร้อมกับอาหาร
Right documentation (ถูกการบันทึก)
การบันทึกการให้ยาที่ถูกต้อง โดยพยาบาลลง
นามในเวลาเดียวกับที่ให้ยากับผู้ป่วยในเอกสารที่ได้กำหนดไว้ เพื่อให้ข้อมูลการให้ยาเป็นปัจจุบันและสามารถสื่อสารกับพยาบาลหรือวิชาชีพอื่นทีเกี่ยวข้องในเรื่องการให้ยา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการให้ยา
ซ้ำซ้อน มีบันทึกการลงลายมือชื่อผู้ให้ยา วัน เวลาที่ให้ยา ชื่อยาที่ให้ ปริมาณที่ให้ ทางที่ให้ยา
Right dose (ถูกขนาด)
การให้ยาถูกขนาด โดยการจัดยาหรือคำนวณยาให้มีขนาดและความเข้มข้นของยาตามคำสั่งการให้ยา เป็นการประกันว่า ผู้ป่วยได้รับขนาดยาโดยรวมเป็นไปตามที่แพทย์ต้องการและขนาดยาที่ผู้ป่วยได้รับมีความสอดคล้องหรือเหมาะสมกับโรคหรืออาการของผู้ป่วย
Right to refuse
การตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในการจัดการยา
ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะปฏิเสธการใช้ยาหากเขามีความสามารถในการทำเช่นนั้น
Right drug (ถูกยา)
การให้ยาถูกชนิด
โดยการอ่านชื่อยาอย่างน้อย 3 ครั้ง
ครั้งที่สอง
ก่อนเอายาออกจากภาชนะใส่ยา
ครั้งที่สาม
ก่อนเก็บภาชนะใส่ยาเข้าที่หรือก่อนทิ้งภาชนะใส่ยา
ครั้งแรก
ก่อนหยิบภาชนะใส่ยาออกจากที่เก็บ
Right History and assessmen
การซักประวัติและการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา
โดยการสอบถามข้อมูล/ ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนการให้ยา
Right patient/client (ถูกคน)
การให้ยาถูกคน หรือถูกตัวผู้ป่วย โดยการเช็คชื่อผู้ป่วยทุก ครั้งก่อนให้ยาหรือก่อนฉีดยาเทียบกับใบ Medication administration record วิธีการ คือ ให้ถามผู้ป่วย ว่า “คุณชื่ออะไรคะ” แล้วให้ผู้ป่วยตอบชื่อตนเอง หรืออาจตรวจที่ป้ายชื่อข้อมือ เป็นการประกันว่า ให้ยาถูกตัวผู้ป่วย
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation
การที่จะต้องให้ยาร่วมกัน จะต้อง ดูก่อนว่ายานั้นสามารถให้ร่วมกันได้ไหม เมื่อให้ร่วมกันจะมีผลทำให้ยาออกฤทธิ์มากขึ้นหรือน้อยลง หรือมี ผลต่อประสิทธิภาพยา ระยะเวลาที่ยาคงอยู่ในร่างกายเป็นอย่างไร
หลักสำคัญในการให้ยา
ไม่ให้ยาที่ฉลากมีการลบเลือนไม่ชัดเจน หากมีการเทยาออกมาแล้วไม่ควรเทยากลับไปในขวดเดิมอีก และไม่ควรเทยาที่เหลือจากอีกขวดไปอีกขวดหนึ่ง
ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครั้งหากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือไม่รู้ เรื่องต้องทำการตรวจชื่อผู้ป่วยกับป้ายข้อมือก่อนให้ยาทุกครั้ง อย่าใช้หมายเลขห้องหรือเตียงเป็นเครื่องมือ ยืนยันผู้ป่วย เนื่องจากอาจมีการสลับห้องหรือเตียงของผู้ป่วยได้
ไม่ควรเตรียมยาค้างไว้บริเวณที่เตรียมยาต้องสะอาดและมีแสงสว่างเพียงพอ พยาบาลต้องมี สมาธิในการเตรียมยาและให้ยาแก่ผู้ป่วย ไม่ควรพูดคุยขณะเตรียมยา ผู้เตรียมยาและผู้ให้ยาควรเป็นคนเดียวกันเพื่อป้องกันความผิดพลาด และต้องมีการตรวจสอบซ้ำจากเจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่งเสมอเป็นการ double check เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น
บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่จะกลับบ้ำนต้องมีการอธิบายให้ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ยาผิด
ตรวจสอบวันหมดอายุของยาปกติแล้วยาเม็ดจะมีอายุอยู่ได้5 ปีและยาน้ำจะมีอายุได้3 ปีแต่ หากเปิดขวดแล้วนิยมใช้เพียง 6 เดือนเท่านั้นเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคเมื่อเปิดขวด แล้วให้เขียนวันที่เปิดและวันที่หมดอายุไว้ที่ข้างขวดเสมอเพื่อให้ทราบวันที่หมดอายุของยา
ต้องให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาลเพื่อป้องกันผู้ป่วยไม่ได้รับยา ยกเว้นยาบางชนิดเช่น ยาจิบแก้ไอให้ผู้ป่วยได้จิบยาเพื่อบรรเทาอาการไอที่เกิดขึ้น
ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาจากตัวผู้ป่วยและญาติในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวและทดสอบการแพ้ ของยาบางชนิด หากมีประวัติแพ้ยาต้องเขียนป้ายติดที่แผ่นรายงานการรักษาอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการ สั่งยาที่ผู้ป่วยแพ้แก่ผู้ป่วย
ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันทียาบางชนิดจะต้องมีการลงข้อมูลสำคัญๆ บางอย่างด้วย เช่น การให้ยาลดความดันต้องมีการบันทึกค่าความดันเลือดก่อนการให้ยา
ก่อนให้ยาต้องทราบวัตถุประสงค์การให้ยา การวินิจฉัยโรค ผลของยาที่ต้องการให้เกิดและฤทธิ์ข้างเคียงของยา
มีการประเมินประสิทธิภาพของยาที่ให้หากยาไม่มีฤทธิ์ตามต้องการอาจต้องหาสาเหตุอื่นเพื่อช่วยบรรเทาหรือรักษาอาการนั้น ๆ ด้วย
ตรวจสอบคำสั่งแพทย์ก่อนให้ยาทุกครั้ง หากมีข้อสงสัยให้ตรวจสอบจากใบสั่งยาทุกครั้งและหาก
ไม่แน่ใจให้ซักถามจากแพทย์ผู้ทำการรักษา
สังเกตอาการก่อนและหลังการให้ยาถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์ทันที เช่น การมีผื่นขึ้น ท้องเสีย อาเจียน หายใจไม่สะดวก
การให้ยาทางปากใช้หลักสะอาด
และการฉีดยาใช้หลัก aseptic technique
ในกรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาลหัวหน้าเวรรับทราบเพื่อหาทางแก้ไข พยาบาล จะต้องสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและลงบันทึกในแผ่นบันทึกทางการพยาบาลพร้อมทั้ง เขียนรายงาน ที่เกิดขึ้นเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุและเป็นแนวทางในการแก้ไข ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก และเพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตของผู้ป่วยได้
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
กรณีผู้ป่วยที่ NPO ให้มีป้าย NPO และเขียนระบุว่า NPO เพื่อผ่าตัดหรือเจาะเลือดเช้า ให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
กรณีคำสั่งสารน้ำ+ยา B co 2 ml ให้เขียนคำว่า +ยา B co 2 ml ด้วยปากกาเมจิก อักษรตัวใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจนเพื่อสังเกตได้ง่าย
เวรบ่าย พยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกัน และดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
การจัดยาจะจัดตามหน้าชองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ในการจัดยาที่เป็นคำสั่งใหม่ผู้จัดจะดูวันที่ที่สั่งยาใหม่หน้าซองยาในการเริ่มยาใหม่ในครั้งแรก พร้อมตรวจดูยากับใบ MAR อีกครั้ง ว่ามีตรงกันหรือไม่ กรณีพบปัญหาไม่ตรงกัน จะไปดูคำสั่งแพทย์อีกครั้ง
การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาเนื่องจากความผิดพลาดด้านบุคคลโดยเฉพาะยาน้ำ
มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบ คนละคนกันตรวจสอบซ้ำก่อนให้ยา ให้ตรวจสอบ 100% เช็คดูตามใบMAR ทุกครั้ง
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร
ลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
(2) ยาที่เป็นเศษส่วน และมากกว่าหนึ่ง มักจัดผิดให้วงกลม
ด้วยปากกาแดงให้เป็นที่สังเกต
(3) ยาก่อนนอนทำเครื่องหมายดอกจันทร์ในใบ MAR
เพื่อเป็นที่สังเกตในการจัดยา
(1) ยาที่แพทย์สั่งในห้องยาไม่มีปริมาณ mg ตามสั่ง ให้ห้องยาประสานงานกับแพทย์ผู้รักษาในการเปลี่ยนปริมาณ mg และหัวหน้าเวรรับคำสั่งเปลี่ยนปริมาณ mg ทุกครั้ง
การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยาและให้พยาบาลตรวจดูยา ในลิ้นชักของผู้ป่วยทุกเตียงจนเป็นนิสัยและดูผู้ป่วยประจำเตียงว่ามีหรือไม่ และตามผู้ป่วยมารับยาให้กิน ยาเลยและสอบถำมคู่เวรว่าแจกยาหมดหรือยังให้เป็นนิสัย
การซักประวัติจะถามเรื่องการแพ้ยาทุกครั้งดูสติ๊กเกอร์สีแสดงแพ้ยาที่ติดอยู่ขอบ OPD card และดูรายละเอียดใน OPD card ร่วมด้วยทุกครั้ง และพยาบาล ติดสติ๊กเกอร์สีบนชาร์ตผู้ป่วย และปั้มตรา ยางทุกหน้าคำสั่งของแพทย์และก่อนฉีดยาจะถามอีกครั้งว่ามีประวัติแพ้ยาหรือไม่
ให้ยึดหลัก 6R ตามที่กล่าวมาข้างต้น
เมื่อผู้ป่วยเข้ามานอนรักษาในครั้งแรก พยาบาลตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์พร้อมกับเช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยา หากไม่ตรงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
คำสั่งแพทย์ในการรักษาส่วนใหญ่ใช้เป็นคำย่อและสัญลักษณ์ พยาบาลจึงจำเป็นต้องทราบความหมาย
โดยคำย่อที่ใช้บ่อยมีดังนี
ความถี่การให้ยา
tid
ter in die
วันละ 3 ครั้ง
qid
quarter in die
วันละ 4 ครั้ง
bid
bis in die
วันละ 2 ครั้ง
q 6 hrs
quaque 6 hora
ทุก 6 ชั่วโมง
OD
omni die
วันละ 1 ครั้ง
วิถีทางการให้ยา
M
เข้ากล้ามเนื้อ
SC
เข้าชั้นใต้ผิวหนัง
O
รับประทานทางปาก
V
เข้าหลอดเลือดดำ
ID
เข้าชั้นระหว่างผิวหนัง
subling
อมใต้ลิ้น
Inhal
ทางสูดดม
Nebul
พ่นให้สูดดม
Supp
เหน็บ / สอด
instill
หยอด
เวลาการให้ยา
h.s.
hora somni
ก่อนนอน
p.r.n.
pro re nata
เมื่อจำเป็น
p.c.
post cibum
หลังอาหาร
stat
statim
ทันทีทันใด
a.c.
ante cibum
ก่อนอาหาร
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ (Provide information)
5.3 แนะนำผู้ป่วย/ผู้ดูแลเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในเรื่องยา และการรักษา
5.4 สร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วย/ผู้ดูแล ว่าจะจัดการอย่างไรในกรณีที่มีอาการไม่ดีขึ้นหรือการรักษาไม่ก้าวหน้าในช่วงเวลาที่กำหนด
5.2 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ชัดเจน เข้าใจได้ง่าย และเข้าถึงได้กับผู้ป่วย/ผู้ดูแล (เช่น ใช้เพื่ออะไร ใช้อย่างไร อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น รายงานอย่างไร ระยะเวลาของการใช้ยา)
5.5 สนับสนุนผู้ป่วย/ผู้ดูแลให้มีส่วนรับผิดชอบในการจัดการตนเองเรื่องยาและภาวะเจ็บป่วย
5.1 ตรวจสอบความเข้าใจและความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้ป่วย/ผู้ดูแลในการจัดการ เฝ้าระวังติดตามและการมาตรวจตามนัด
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้(Monitor and review)
6.2 ต้องมีการติดตามประสิทธิภาพของการรักษาและอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา
6.3 ค้นหาและรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาโดยใช้ระบบการรายงานที่เหมาะสม
6.1 ทบทวนแผนการบริหารยาให้สอดคล้องกับแผนการรักษาที่ผู้ป่วยได้
6.4 ปรับแผนการบริหารยาให้ตอบสนองต่ออาการและความต้องการของผู้ป่วย
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
4.5 ใช้ข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (เช่น การเก็บรักษาการบรรจุ ฯลฯ)
4.6 ใช้ระบบที่จำเป็นเพื่อการบริหารยาอย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น ใบ MAR)
4.4 คำนึงถึงโอกาสที่จะเกิดการใช้ยาผิด (เช่น ผิดขนาด ผิดทาง ผิดวิธี ผิดชนิด)
4.7 สื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับยาและการใช้ยาแก่ผู้เกี่ยวข้องเมื่อต้องมีการส่งต่อข้อมูลการรักษา
4.3 ตรวจสอบและคำนวณการใช้ยาให้ถูกต้อง
4.2 เข้าใจการสั่งจ่ายยาของแพทย์ตามกรอบบัญชียาหลักแห่งชาติ
4.1 เข้าใจโอกาสที่จะเกิดผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา และดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยง/ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ตระหนักและจัดการแก้ไขปัญหา
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribesafely)
7.3 บริหารยาอย่างปลอดภัยตามกระบวนการบริหารยา เช่น 7 rights
7.4 พัฒนาหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอในประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยา
7.2 ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการสั่งยาผ่านสื่อหรือบุคคลอื่น เช่น สั่งทางโทรศัพท์ ทางE-mail ทำง Line หรือสั่งผ่านบุคคลที่สาม และหาแนวทางลดความเสี่ยงนั้น
7.5 รายงานความคลาดเคลื่อนในการใช้ยา และ ทบทวนการปฏิบัติเพื่อป้องกัน การเกิดซ้ำ
7.1 รู้เกี่ยวกับชนิด สาเหตุ ของความคลาดเคลื่อนทางยาที่พบบ่อย และวิธีการป้องกันการหลีกเลี่ยง และการประเมิน
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา โดยพิจารณาจากข้อมูลทางเลือกที่ถูกต้องเหมาะสมกับบริบทและเคารพในมุมมองของผู้ป่วย (Reach a shared decision)
3.3 อธิบายเหตุผล และความเสี่ยง/ประโยชน์ของทางเลือกในการรักษาที่ผู้ป่วย/ผู้ดูแลเข้าใจได้
3.4 ประเมินความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ด่วนตัดสิน และเข้าใจเหตุผลในการไม่ร่วมมือของผู้ป่วยที่อาจเกิดขึ้นได้และหาวิธีที่ดีที่สุดในการสนับสนุนผู้ป่วย/ผู้ดูแล
3.2 ระบุและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล ค่านิยม ความเชื่อ และความคาดหวัง เกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาด้วยยา
3.5 สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย/ผู้เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผลโดยไม่คาดหวังว่าการสั่งยานั้นจะเป็นไปตามที่ต้องการ
3.1 ชี้แจงทำงเลือกในการรักษา ยอมรับในการตัดสินใจเลือกแผนการรักษาและเคารพในสิทธิของผู้ป่วย/ ผู้ดูแลในการปฏิเสธและจำกัดการรักษา
3.6 ทำความเข้าใจกับการร่วมปรึกษาหารือก่อนใช้ยาเพื่อผลลัพธ์ที่นำไปสู่ความพึงพอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์ (Prescribe professionally)
8.2 ยอมรับความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการสั่งยาและเข้าใจในประเด็นกฎหมายและจริยธรรม
8.3 รู้และทำงานภายใต้กฎหมาย และระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการสั่งยา (ยาที่ควบคุมยาที่ไม่มีใบอนุญาต ยาไม่มีฉลาก)
8.1 มั่นใจว่าพยาบาลสามารถสั่งจ่ายยาได้ตามพรบ.วิชาชีพและพรบ.ยาแห่งชาติ
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสม
ตามความจำเป็น (Consider the options)
2.2 พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยเพื่อประกอบการปรับขนาดยา หยุดการให้ยาหรือเปลี่ยนยา
2.1 พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้ยาหรือการรักษาแบบไม่ใช้ยาในการรักษาและการส่งเสริมสุขภาพ
2.3 ประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาและไม่ใช้ยา
2.4 ใช้ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของยาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้จำกปัจจัยต่อไปนี้ เช่น พันธุกรรม อายุ ความพร่องของไต
การตั้งครรภ์ ฯลฯ เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้เกี่ยวข้องให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา
2.5 พิจารณาโรคร่วม ยาที่ใช้อยู่ การแพ้ยา ข้อห้ามการใช้ยา และคุณภาพชีวิตที่อาจส่งผลกระทบต่อการเลือกใช้ยา
2.6 คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วย เช่น ความสามารถในการกลืนยา ศาสนา และ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวิธีการบริหารยา
2.7 พัฒนาความรู้ให้เป็นปัจจุบัน ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และคำนึงถึงความคุ้มทุนในการพิจารณาการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
2.8 เข้าใจเรื่องเชื้อดื้อยา และแนวทางการป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยา (antimicrobialstewardship measures)
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเนื่อง (Improve prescribing practice)
9.1 สะท้อนคิดการบริหารยำของตนเองและการสั่งยาของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อปรับปรุงการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
9.2 เข้าใจและใช้เครื่องมือหรือกลไกที่เหมาะสมในการปรับปรุงการบริหารยาและการสั่งยา
(เช่น patient and peer review feedback, prescribing data and analysis and audit)
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
หรือมีความจำเป็นต้องใช้ยาในการรักษา
(Assess the patient)
1.3 ประเมินอาการที่ดีขึ้นหรือเลวลง
1.4 ติดตามความร่วมมือในการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
1.2 ประเมินอาการข้างเคียงจากการใช้ยา
1.5 การส่งต่อ
1.1 การประเมินประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา
และประวัติการแพ้ยา/แพ้อาหาร
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล(Prescribe as part of a team)
10.1 มีส่วนร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อให้มั่นใจว่าการดูแลมีความต่อเนื่อง เชื่อมโยงกันในทุกหน่วยโดยไม่ขัดแย้ง
10.2 สร้างสัมพันธภาพกับทีมสหวิชาชีพ บนพื้นฐานของความเข้ำใจ ความไว้วางใจและ ยอมรับในบทบาทของสหวิชาชีพ
7.การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
7.1 การให้ยาทางปาก
ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ดแล้วเพื่อให้ยาค้างอยู่ที่คอไม่ถูกน้ำล้างออก
การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้ ส่วนยาน้ำให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้ายเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองและเคลือบผนังของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม
(ยกเว้นยาพวกTetracycline ไม่ควรให้ผู้ป่วยรับประทานพร้อมนม)
ยาอมใต้ลิ้น เช่น ไนโตรกลีนเซอลีน (Nitroglycerine) ไอซอร์ดิล (Isodril) ที่ใช้รักษา อาการเจ็บหน้าอกจากการขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นต้น ควรให้หลังจากรับประทานยาทุกชนิด แล้ว และแนะนำให้ห้ามกลืนหรือเคี้ยวยา รอจนกว่ายาละลายหรือดูดซึมเข้าใต้ลิ้นเอง ยาจะออกฤทธิ์ใน 15-30 นาที ระหว่างนี้ให้ผู้ป่วยนั่งและนอนพักขณะที่อมยา
7.2 การให้ยาเฉพาะที่
(2) การให้ยาทางตา (Eye instillation)
(3) การให้ยาทางหู(Ear instillation)
(1) การสูดดม (Inhalation)
(4) การหยอดยาจมูก (Nose instillation)
(5) การเหน็บยา
2.ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
2.4ภาวะจิตใจ
เช่น ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่ได้รับยาเคมีบำบัดบางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนมาก โดยมีสาเหตุมาจากจิตใจ เป็นการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขจากการเรียนรู้และจดจำประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการได้รับยาเคมีบำบัดครั้งก่อน
2.5 ภาวะสุขภาพ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีอาการป่วย เมื่อได้รับยาจะมีผลต่อการแสดงออกของฤทธิ์ยาต่างจากคนปกติ
2.3 กรรมพันธุ์
บางคนอาจมีความไวผิดปกติต่อยาบางชนิด บางคนแพ้ยาง่าย ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม
2.6 ทางที่ให้ยา
ยาที่ให้ทางหลอดเลือดจะดูดซึมได้เร็วกว่ายาที่ให้รับประทานทางปาก
2.2. เพศ
ผู้ชายมีขนาดตัวใหญ่กว่าผู้หญิง น้ำหนักย่อมมากกว่า ถ้าได้รับยาขนาดเท่ากัน ยาจะมีปฏิกิริยาต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนอกจากนี้ผู้หญิงมีไขมันมากกว่าและมีของเหลวในร่างกายน้อยกว่าผู้ชาย ยาบางชนิดละลายในไขมันได้ดี บางชนิดละลายในน้ำได้ดี ปฏิกิริยาของยาจึงต่างกัน
2.7เวลาที่ให้ยา
ยาบางชนิดต้องให้เวลาที่ถูกต้องยาจึงออกฤทธิ์ตามที่ต้องการเช่นยาปฏิชีวนะบางชนิดต้องให้ก่อนอาหาร จึงจะดูดซึมได้ดี
2.1อายุและน้ำหนักตัว
เด็กเล็กๆ ตับและไตยังเจริญไม่เต็มที่ ผู้สูงอายุมากๆ การทำงานของตับและไตลดลง จึงทำให้ยามีปฏิกิริยามากขึ้น ขนาดของยาที่ให้จึงต้องน้อยกว่าคนปกติส่วนคนที่มีน้ำหนักตัวมากต้องได้รับขนาดของยาเพิ่มสูงขึ้น
2.8 สิ่งแวดล้อม
ยาที่รักษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางชนิด ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ เพื่อจะได้พักผ่อน
คำสั่งแพทย์คำนวณขนาดยา
5.1 คำสั่งแพทย์
5.1.3 คำสั่งที่ต้องให้ทันที
(Stat order)
เป็นคำสั่งการให้ยาครั้งเดียวและต้องให้ทันที
5.1.4 คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น
(prn order)
เป็นคำสั่งที่กำหนดไว้ให้ปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีอาการ
บางอย่างเกิดขึ้น
5.1.2 คำสั่งใช้ภายในวันเดียว
(Single order of order for one day)
เป็นคำสั่งที่ใช้ได้ใน 1
วัน เมื่อได้ให้ยาไปแล้วเมื่อครบก็ระงับไปได้เลย
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
4) ขนาดของยา
5) วิถีทางการให้ยา
3) ชื่อของยา
6) เวลาและความถี่ในการให้ยา
2) วันที่เขียนคำสั่งการรักษา
7) ลายมือผู้สั่งยา
1) ชื่อของผู้ป่วย จะต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุลของผู้ป่วยห้ามเขียนแต่ชื่อเพียงอย่างเดียว เพราะว่าอาจเกิดความผิดพลาดเกิดขึ้นได้หากมีชื่อ
ซ้ำกัน แต่ในปัจจุบันจะเป็นป้ายชื่อสติ๊กเกอร์ที่พิมพ์ออก
จากเครื่องพิมพ์แล้วปิดแทนการเขียนเพื่อความสะดวกและ
ป้องกันการผิดพลาด
5.1.1 คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป
(Standing order / order for continuous)
เป็นคำสั่งที่สั่งครั้งเดียวและใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะมีคำสั่งระงับ (discontinue) หรือบางครั้งแพทย์อาจระบุวันที่ระงับยาไว้เลยก็ได้
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
4) ทางผิวหนัง (skin)
ยาที่ใช้ทาบริเวณผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้าร่างกายทางผิวหนัง
ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะต่างๆ กัน
5) ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular)
ยาที่ใช้ฉีดเข้ำทางกล้ามเนื้อของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้า ร่างกายทางระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นกล้ามเนื้อ ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะยาที่ละลายในน้ำ (aqueous solution) เท่านั้น
3) ทางเยื่อบุ (mucous)
ยาที่ใช้สอดใส่หรือหยอดทางอวัยวะต่างๆ ของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้าทาง
เยื่อบุสู่ระบบไหลเวียนของเลือดบริเวณอวัยวะนั้น ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะต่างๆ กัน
6) ทางชั้นผิวหนัง (intradermal)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางชั้นผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้าร่างกายทางระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นผิวหนัง ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะยาที่ละลายในน้ำ(Aqueous solution) เท่านั้น
2) ทางสูดดม (inhalation)
ยาที่ใช้พ่นให้ผู้ป่วยสูดดมทางปากหรือจมูก โดยดูดซึมทางระบบ
ทางเดินหายใจ ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะต่างๆ กัน
7) ทางหลอดเลือดดำ (intravenous)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วยโดยเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดโดยตรงชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะยาที่ละลายในน้ำ(Aqueous solution) เท่านั้น
1) ทางปาก (oral)
ยาที่ให้ผู้ป่วยรับประทานทางปาก โดยยาจะดูดซึมทางระบบทางเดิน
อาหารและลำไส้ ชนิดของการปรุงยามีลักษณะต่างๆ กัน
8) ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous / hypodermal)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าที่ใต้ผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้าระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นใต้ผิวหนัง ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะสารละลาย (Aqueous solution) เท่านั้น
5.2 คำนวณขนาดยา
การคำนวณยาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา มีหลักการคำนวณดังนี้ ความเข้มข้นของยา (ในแต่ละส่วน) = ขนาดความเข้มข้นของยาที่มี/ ปริมาณยาที่มี
8.ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
8.2 ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา
(Transcribing error)
(2) ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์
(3) ที่เภสัชกรรม
(1) ที่หอผู้ป่วย
8.3 ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา
(Dispensing Error)
ความคลาดเคลื่อนในกระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา ได้แก่ ผิดชนิดยา รูปแบบยา ความแรงยา ขนาดยา วิธีใช้ยา จำนวนยาที่สั่งจ่าย จ่ายยาผิดตัวผู้ป่วย จ่ายยาที่เสื่อมสภาพ หรือหมดอายุ จ่ายยาที่ไม่มีคำสั่งใช้ยา เตรียมยาผิด
8.1 ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา (Prescription error)
(4) ผิดความถี่
(5) สั่งยาที่มีประวัติการแพ้
(3) ผิดวิถีทาง
(6) ลายมือไม่ชัดเจน
(2) สั่งยาผิดชนิด
(1) สั่งยาผิดขนาด
8.4 ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา (Administration error)
(6) การให้ยาผิดวิถีทาง (Wrong-route error) หมายถึง การให้ยาไม่ถูกวิถีทางตามแพทย์สั่ง
(7) การให้ยาผิดเวลา (Wrong-time error) หมายถึงการให้ยาผู้ป่วยผิดเวลาไปจากที่กำหนดไว้ในนโยบายการให้ยาของโรงพยาบาล
(5) การให้ยาผิดขนาด (Wrong-dose or Wrong-strength error)
หมายถึง เป็นความคลาดเคลื่อนจากการให้ยาในขนาดที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าขนาดยาที่ผู้สั่งใช้ยาสั่ง
(8) การให้ยามากกว่าจำนวนครั้งที่สั่ง (Extra-dose error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นเมื่อมีการให้ยาแก่ผู้ป่วยเกินจากจำนวนครั้งหรือมื้อยาที่ผู้สั่งใช้ยาสั่งต่อวัน รวมถึงการให้ยาหลังจาก มีคำสั่งหยุดใช้ยานั้นแล้วหรือมีคำสั่งชะลอการใช้ยา
(4) การให้ยาผู้ป่วยผิดคน (Wrong patient) หมายถึง การให้ยำที่ไม่ใช่ของผู้ป่วยคนนั้นอาจเนื่องจากพยาบาลจัดเตรียมยาไว้
สำหรับผู้ป่วยหลายราย จึงให้สลับกับผู้ป่วยคนอื่น
(10) การให้ยาผิดเทคนิค (Wrong technique error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการให้ยาผิดเทคนิคแม้จะถูกชนิด ถูกขนาด
(3) การให้ยาซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง (Unordered or unauthorized drug)
(2) การให้ยาผิดชนิด (Wrong drug error) หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยคนละชนิด (คนละตัวหรือคนละชื่อ Generic name) กับที่แพทย์สั่ง
(1) การให้ยาไม่ครบ (Omission error) หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยไม่ครบมื้อ (ไม่ครบCourse) ตามที่แพทย์สั่ง
(9) การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด (Wrong rate of administration error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการใช้ยาโดยเฉพาะยาฉีดในอัตราเร็วที่ผิดไปจากที่ผู้สั่งใช้ยาสั่ง หรือผิดไปจากวิธีปฏิบัติมาตรฐานที่โรงพยาบาลกำหนดไว้
(11) การให้ยาผิดรูปแบบยา (Wrong dosage-form error) เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการให้ยาผิดรูปแบบจากที่ผู้สั่งใช้ยาสั่ง
3.ระบบการตวงวัดยา
3.2 ระบบเมตริก
ถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็น กรัม มิลลิกรัม ลิตร มิลลิลิตร
3.3 ระบบมตรตวงวัดประจำบ้าน
มีหน่วยที่ใช้เป็น หยด ช้อนชา ช้อนโต๊ะ ถ้วยชา และถ้วยแก้ว
สามารถเทียบได้กับระบบเมตริก
3.1 ระบบอโพทีคารี
ถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็นปอนด์ ออนซ์ เกรน
11.กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทาง
ปากและยาเฉพาะที่
การวางแผนการพยาบาล
หลังจากได้ข้อมูลและปัญหาหรือข้อบ่งชี้ในการให้ยาแล้วทาการวางแผนหาวิธีการว่าจะให้ยาอย่างไร ผู้ป่วยจึงจะได้ยาถูกต้อง ครบถ้วน ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดหรือได้รับอันตราย โดยการตั้งเกณฑ์การประเมินของแต่ละข้อวินิจฉัยการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล
เป็นการปฏิบัติการให้ยาตามแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติ โดยยึดหลัก ความถูกต้อง 7 ประการ และคำนึงถึงบทบาทพยาบาลในการให้ยาตามที่ได้กล่าวข้างต้น รวมไปถึงการ บันทึกหลังการให้ยาด้วย ปฏิบัติตามหลักการบริหารยาที่ลงมือปฏิบัติจริง
การวินิจฉัยการพยาบาล
เมื่อรวบรวมข้อมูลจากการประเมินสภาพได้ทั้งหมดแล้วนามาจัดหมวดหมู่ข้อมูลที่เป็นปัญหา ดูว่าผู้ป่วยมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาที่จะได้รับยาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประเมินมาได้ในขั้นตอนแรก แล้วให้การวินิจฉัยพยาบาล
การประเมินผล
เนื่องจากยาที่ให้นอกจากจะมีผลทางการรักษา แล้วยังอาจทำให้เกิดปฏิกิริยา ที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ ดังนั้นหลังจากให้แล้วต้องกลับมาตามผลทุกครั้ง เพื่อดูผลของยาต่อผู้ป่วยทั้ง ด้านการรักษา และผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงการแพ้ยาด้วย โดยประเมินดูว่าเป็นไปตามเกณฑ์ การประเมินที่ตั้งไว้ในขั้นตอนการวางแผนหรือไม่
1.การประเมินสภาพ
1.3 ประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูหน้าที่การทำงานของ ตับ ไต
1.4 การได้รับสารน้ำเพียงพอหรือไม่
1.2 ประวัติการแพ้ยา
1.5 ความรู้ความเข้าใจเรื่องยาที่ได้รับ
1.1 ประเมินดูว่าผู้ป่วยมีข้อห้ามในการให้ยาทางปากหรือไม่ เช่น การกลืนเป็นอย่างไร อาการคลื่นไส้ อาเจียน การทำงานของลำไส้ การผ่าตัดทางเดินอาหาร การใส่สายให้อาหารจากจมูกสู่กระเพาะ และระดับการรับรู้หรือความรู้สึกตัว
1.6 การปฏิบัติตัวในการได้รับยา