Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
1.2 เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
1.3 เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
1.1 เพื่อการรักษา
2)รักษาเฉพาะโรค
3)ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขาด
1)รักษาตามอาการ
4)ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปก
2.ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
2.4ภาวะจิตใจ
2.5 ภาวะสุขภาพ
2.3 กรรมพันธุ์
2.6 ทางที่ให้ยา
2.2 เพศ
2.7เวลาที่ให้ยา
2.1อายุและน้ำหนักตัว
2.8 สิ่งแวดล้อม
3.ระบบการตวงวัดยา
3.2 ระบบเมตริกถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็น กรัม มิลลิกรัม ลิตรมิลลิลิตร
3.3 ระบบมําตรําตวงวัดประจำบ้านมีหน่วยที่ใช้เป็น หยด ช้อนชา ช้อนโต๊ะ ถ้วยชา และถ้วยแก้ว สํามารถเทียบได้กับระบบเมตริก
3.1 ระบบอโพทีคํารีถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็นปอนด์ ออนซ์ เกรน
รูปแบบการบริหารยา
ความรับผิดชอบต่อผู้ป่วยและวิชาชีพมากยิ่งขึ้นต้องยึดหลักถึง 11
Right History and assessment
การซักประวัติและการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยาโดยการสอบถามข้อมูล/ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนการให้ยา
5.Rightroute(ถูกวิถีทาง)
การให้ยาถูกทาง โดยการให้ยาแก่ผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่งการรักษา
7.Right documentation(ถูกกํารบันทึก)
การบันทึกการให้ยาที่ถูกต้อง
6.Right technique(ถูกเทคนิค)
การให้ยาถูกตามวิธีการ ใช้เทคนิคที่เหมาะสม
4.Right time(ถูกเวลา)
การให้ยาถูกหรือตรงเวลา
4.2 การให้ยาหลังอาหาร
4.3 การให้ยาช่วงใดก็ได้คืออาหารไม่มีผลต่อการดูดซึมดังนั้นจึงให้ช่วงเวลาใดก็ได้
4.1 การให้ยาก่อนอาหาร
4.4 การให้แบบกำหนดเวลาหรือให้เฉพาะกับอาหารที่เฉพาะ
Right to Education and Information
ก่อนที่พยาบาลจะให้ยาผู้ป่วยทุกครั้งต้องแจ้งชื่อยาที่จะให้ ทางที่จะให้ยา ผลการรักษา ผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดและอาการที่ต้องเฝ้าระวังก่อนการให้ยาทุกครั้ง
3.Rightdose(ถูกขนาด)
การให้ยาถูกขนาด
Right to refuse
การตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในการจัดการยาผู้ป่วยมีสิทธิที่จะปฏิเสธการใช้ยาหากเขามีความสามารถในการทำเช่นนั้น
2.Right drug(ถูกยา)
การให้ยาถูกชนิด
ครั้งที่สองก่อนเอายาออกจากภาชนะใส่ยา
ครั้งที่สามก่อนเก็บภาชนะใส่ยาเข้าที่หรือก่อนทิ้งภาชนะใส่ยา
ครั้งแรกก่อนหยิบภาชนะใส่ยาออกจากที่เก็บ
10.Right Drug-Drug Interaction and Evaluation
การที่จะต้องให้ยาร่วมกันจะต้องดูก่อนว่ายานั้นสามารถให้ร่วมกันได้ไหม
1.Right patient/client(ถูกคน)
การให้ยาถูกคน หรือถูกตัวผู้ป่วย
หลักสำคัญในการให้ยา
4.ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาจากตัวผู้ป่วยและญาติในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้ สึกตัว
5.ตรวจสอบวันหมดอายุของยา
3.ก่อนให้ยาต้องทราบวัตถุประสงค์การให้ยาการวินิจฉัยโรคผลของยาที่ต้องการให้เกิดและฤทธิ์ข้างเคียงของยา
6.ไม่ควรเตรียมยําค้างไว้
2.ตรวจสอบคำสั่งแพทย์ก่อนให้ยาทุกครั้ง
7.ไม่ให้ยาที่ฉลากมีการลบเลือนไม่ชัดเจน
1.การให้ยาทางปากใช้หลักสะอาดและการฉีดยาใช้หลักaseptic technique
8.ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครั้ง
13.สังเกตอาการก่อนและหลังการให้ยาถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์ทันที
9.บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
14.ในกรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาลหัวหน้าเวรรับทราบเพื่อหาทางแก้ไข
10.ต้องให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาลเพื่อป้องกันผู้ป่วยไม่ได้รับยา
12.มีการประเมินประสิทธิภาพของยาที่ให้หากยาไม่มีฤทธิ์ตามต้องการอาจต้องหาสาเหตุอื่นเพื่อช่วยบรรเทาหรือรักษาอาการนั้นๆด้วย
11.ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันที
คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
คำสั่งแพทย์ในกํารรักษําส่วนใหญ่ใช้เป็นคำย่อและสัญลักษณ์
ความถี่การให้ยา
tid
วันละ 3 ครั้ง
qid
วันละ 4 ครั้ง
bid
วันละ 2 ครั้ง
q 6 hrs
ทุก 6 ชั่วโมง
OD
วันละ 1 ครั้ง
วิถีทางการให้ยา
ID
เข้าชั้นระหว่างผิวหนัง
subling
อมใต้ลิ้น
V
เข้าหลอดเลือดดำ
Inhal
ทางสูดดม
SC
เข้าชั้นใต้ผิวหนัง
Nebul
พ่นให้สูดดม
M
เข้ากล้ามเนื้อ
Supp
เหน็บ / สอด
O
รับประทานทางปาก
instill
instill
เวลาการให้ยา
a.c.
ก่อนอาหาร
p.c.
หลังอาหาร
stat
ทันทีทันใด
h.s.
ก่อนนอน
p.r.n.
เมื่อจำเป็น
คำสั่งแพทย์คำนวณขนาดยา
5.1 คำสั่งแพทย์
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
3) ชื่อของยา
4) ขนาดของยา
2) วันที่เขียนคำสั่งการรักษา
5) วิถีทางการให้ยา
1) ชื่อของผู้ป่วย
6) เวลาและความถี่ในการให้ยา
7) ลายมือผู้สั่งยา
กํารเขียนคำสั่งแพทย์มี4ชนิด
คำสั่งใช้ภํายในวันเดียว
ใช้ได้ใน1 วันเมื่อได้ให้ยําไปแล้วเมื่อครบก็ระงับไปได้เลย
คำสั่งที่ต้องให้ทันที
ยาครั้งเดียวและต้องให้ทันที
คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป
สั่งครั้งเดียวและใช้ได้ตลอดไปจนกว่ําจะมีคำสั่งระงับ
คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น
ไว้ให้ปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีอํากํารบํางอย่างเกิดขึ้น
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
3) ทางเยื่อบุ (mucous)
ดูดซึมเข้าทางเยื่อบุสู่ระบบไหลเวียนของเลือดบริเวณอวัยวะนั้น
4)ทางผิวหนัง (skin)
ดูดซึมเข้าร่างกายทางผิวหนัง
2) ทางสูดดม (inhalation)
ดูดซึมทํางระบบทํางเดินหายใจ
5) ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular)
ดูดซึมเข้าร่างกายทางระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นกล้ามเนื้อ
1) ทางปาก (oral)
ยาจะดูดซึมทางระบบทางเดินอาหารและลำไส้
6) ทางชั้นผิวหนัง (intradermal)
ดูดซึมเข้าร่างกายทางระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นผิวหนัง
7) ทางหลอดเลือดด า (intravenous)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าทํางหลอดเลือดดำของผู้ป่วย โดยเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดโดยตรง
8) ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous /hypodermal)
ดูดซึมเข้ําระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นใต้ผิวหนัง
5.2 คำนวณขนาดยา
กํารคำานวณยําเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา
ความเข้มข้นของยา(ในแต่ละส่วน)= ขนําดควํามเข้มข้นของยาที่มี/
ปริมาณยาที่มี
7.การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
7.1การให้ยาทางปาก
ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
3.ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
4.ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ดแล้วเพื่อให้ยาค้างอยู่ที่คอไม่ถูกน้ำล้างออก
2.การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้ ส่วนยาน้ำให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
5.ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้าย
1.ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม
6.ยาอมใต้ลิ้น ควรให้หลังจากรับประทานยาทุกชนิดแล้ว และแนะนำให้ห้ามกลืนหรือเคี้ยวยา
อุปกรณ์ในการให้ยาทางปาก
2)น้ำเปล่าหรือน้ำส้มหรือน้ำหวานแทนน้ำ(หากไม่มีข้อห้าม)
3)ถาดหรือรถใส่ยา
1)ถ้วยยาหรือSyringe
4)แบบบันทึกการให้ยา
การพยาบาลเพื่อให้ยาได้ถูกหลักการ
2)ดูชื่อยาขนาดยาเวลาที่ให้ในMAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
3)เตรียมยาให้ตรงกับMAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
1)ดูเบอร์เตียงชื่อนามสกุลผู้ป่วยในMAR ให้ตรงกัน
4)อ่านฉลากยาให้ตรงกับMAR ของผู้ป่วยแต่ละรายดูวันที่หมดอายุของยา
5)เทยาหรือรินยาให้ได้ตรงตามจำนวนกับขนาดของยาในMAR ของ ผู้ป่วยแต่ละราย
การเตรียมยาตามขั้นตอน
4)ดูชื่อขนาดยาให้ตรงกับใบMAR อีกครั้งก่อนเก็บยาเข้าที่
5)ให้ผู้ป่วยรับประทานยาตรงตามเวลาในใบMAR
3)ยาน้ำให้หันป้ายยาหรือฉลากยาเข้าหาฝ่ามือ
6)ดูเบอร์เตียงถามชื่อ-สกุลผู้ป่วยให้ตรงกับใบMAR ของผู้ป่วยแต่ละรายตรวจดูป้ายชื่อที่ข้อมือ
2)ยาชนิดMultidose
ค่อยๆเทยาจากซองยาหรือขวดที่บรรจุยา
7)แจกยาให้ผู้ป่วยรับประทานภายในเวลาที่กำหนดไม่แจกยาก่อนหรือหลังเวลาที่กำหนดเกิน30 นาที
1)ยาชนิดUnit dose
หยิบยาใส่ถ้วยยาจำนวนตามที่แพทย์สั่ง
8)ประเมินสัญญาณชีพผู้ป่วยก่อนให้ยา
9)ให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาลอยู่กับผู้ป่วยจนกลืนยาเรียบร้อย
10)สังเกตการเปลี่ยนแปลงหลังรับประทานยาเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที
11)บันทึกในแผนการพยาบาลและในใบMAR ทุกครั้งหลังให้ยา
7.2การให้ยาเฉพาะที่
หลักการบริหารยา 6 Right
(2)การให้ยาทางตา(Eye instillation)
ตามีทั้งยาหยอดตา ป้ายตา และยาล้างตา
(3)การให้ยาทางหู(Ear instillation)
ยาที่ใช้เป็นยาน้ำ ออกฤทธิ์เฉพาะเยื่อบุในช่องหู มักเป็นยาชาหรือยาฆ่าเชื้อโรคเฉพาะที่
(4) การหยอดยาจมูก(Nose instillation)
ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น และพยาบาลยกปีกจมูกผู้ป่วยข้างที่จะหยอดยาขึ้นเบาๆ แล้วหยดยาผ่านทางรูจมูกห่างประมาณ 1-2 นิ้วจากนั้นให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมประมาณ 5 -10 นาทีเพื่อป้องกันยาไหลย้อนออกมา
(5) การเหน็บยา
1.วิธีการเหน็บยาทางทวารหนัก
2.วิธีการเหน็บยาทางช่องคลอด
(1)การสูดดม (Inhalation)
พ่นยาเข้าสู่ทางเดินหายใจ เพื่อให้ยาไปสู่บริเวณที่ต้องการให้ยาออกฤทธิ์
8.ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
8.4ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
(2)การให้ยาผิดชนิด
(3)การให้ยาซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง
(1)การให้ยาไม่ครบ
(4)การให้ยาผู้ป่วยผิดคน
(8)การให้ยามากกว่าจำนวนครั้งที่สั่ง
(5)การให้ยาผิดขนาด
(7)การให้ยาผิดเวลา
(6)การให้ยาผิดวิถีทาง
(11)การให้ยาผิดรูปแบบยา
(10)การให้ยาผิดเทคนิค
(9)การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด
8.3ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา
จ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา
8.1ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา
(3)ผิดวิถีทาง
(4)ผิดความถี่
(2)สั่งยาผิดชนิด
(5)สั่งยาที่มีประวัติแพ้
(1)สั่งยาผิดขนาด
(6)ลายมือไม่ชัดเจน
8.2ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา
สถานที่ที่เกิดความคลาดเคลื่อนขึ้น
(2)ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์
(3)ที่เภสัชกรรม ห
(1)ที่หอผู้ป่วย
9.บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
พยาบาลควรปฏิบัติ
3.เมื่อมีคำสั่งใหม่หัวหน้าเวรลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
4.การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาเนื่องจากความผิดพลาดด้านบุคคลโดยเฉพาะยาน้ำ
2.ถามเรื่องการแพ้ยาทุกครั้งดูสติ๊กเกอร์สีแสดงแพ้ยาที่ติดอยู่ขอบOPD card และดูรายละเอียดในOPD card ร่วมด้วยทุกครั้ง
5.เวรบ่ายพยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกันและดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
1.เมื่อผู้ป่วยเข้ามานอนรักษาในครั้งแรกพยาบาลตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์พร้อมกับเช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยาหากไม่ตรงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
6.กรณีผู้ป่วยที่NPO ให้มีป้ายNPO และเขียนระบุว่าNPO เพื่อผ่าตัดหรือเจาะเลือดเช้าให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
7.กรณีคำสั่งสํารน้า+ยาB co 2 mlให้เขียนคำว่า+ยาB co 2 ml ด้วยปากกาเมจิกอักษรตัวใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสํารน้ำให้ชัดเจนเพื่อสังเกตได้ง่าย
8.การจัดยาจะจัดตามหน้ําชองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้องแล้ว
9.มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบคนละคนกันตรวจสอบช้ำก่อนให้ยาให้ตรวจสอบ100% เช็คดูตามใบMAR ทุกครั้ง
10.การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยาและให้พยาบาลตรวจดูยาในลิ้นชักของผู้ป่วยทุกเตียงจนเป็นนิสัยและดูผู้ป่วยประจำเตียงว่ามีหรือไม่
11.ให้ยึดหลัก6R ตามที่กล่าวมาข้างต้น
11.กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่
การวางแผนการพยาบาล
หาวิธีการว่าจะให้ยาอย่างไร ผู้ป่วยจึงจะได้ยาถูกต้อง ครบถ้วน ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดหรือได้รับอันตรายโดยการตั้งเกณฑ์การประเมินของแต่ละข้อวินิจฉัยการพยาบาล
4.การปฏิบัติการพยาบาล
การปฏิบัติการให้ยาตามแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติ โดยยึดหลักความถูกต้อง 7ประการ และคำนึงถึงบทบาทพยาบาลในการให้ยาตามที่ได้กล่าวข้างต้น
การวินิจฉัยการพยาบาล
ดูว่าผู้ป่วยมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาที่จะได้รับยาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประเมินมาได้ในขั้นตอนแรกแล้วให้การวินิจฉัยพยาบาล
การประเมินผล
หลังจากให้แล้วต้องกลับมาตามผลทุกครั้ง เพื่อดูผลของยาต่อผู้ป่วยทั้งด้านการรักษาและผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงการแพ้ยาด้วย
1.การประเมินสภาพ
1.3 ประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูหน้ําที่การทำงานของ ตับไต
1.4 การได้รับสารน้ำเพียงพอหรือไม่
1.2 ประวัติการแพ้ยา
1.5 ความรู้ความเข้าใจเรื่องยาที่ได้รับ
1.1 ประเมินดูว่าผู้ป่วยมีข้อห้ามในการให้ยาทางปากหรือไม่
1.6 การปฏิบัติตัวในการได้รับยา
10.สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ
5.1 ตรวจสอบความเข้าใจและความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้ป่วย/ผู้ดูแลในการจัดการ เฝ้าระวังติดตาม และการมาตรวจตามนัด
5.2 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ชัดเจน เข้าใจได้ง่าย และเข้าถึงได้กับผู้ป่วย/
ผู้ดูแล
5.4สร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วย/ผู้ดูแล
5.3 แนะนำผู้ป่วย/ผู้ดูแลเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในเรื่องยา และการรักษา
5.5 สนับสนุนผู้ป่วย/ผู้ดูแลให้มีส่วนรับผิดชอบในการจัดการตนเองเรื่องยาและภาวะเจ็บป่วย
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
7.3 พัฒนาหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอในประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยา
7.4 รายงานความคลาดเคลื่อนในการใช้ยา และ ทบทวนการปฏิบัติเพื่อป้องกัน การเกิดซ้ำ
7.2 ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการสั่งยาผ่านสื่อหรือบุคคลอื่น
7.1 รู้เกี่ยวกับชนิด สาเหตุ ของความคลาดเคลื่อนทางยาที่พบบ่อย
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
4.2 เข้าใจการสั่งจ่ายยาของแพทย์ตามกรอบบัญชียาหลักแห่งชาติ
4.3 ตรวจสอบและคนวณการใช้ยาให้ถูกต้อง
4.1 เข้าใจโอกาสที่จะเกิดผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
4.4 คำนึงถึงโอกาสที่จะเกิดการใช้ยาผิด
4.5 ใช้ข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
4.6 ใช้ระบบที่จำเป็นเพื่อการบริหารยาอย่างมีประสิทธิภาพ
4.7 สื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับยาและการใช้ยาแก่ผู้เกี่ยวข้องเมื่อต้องมีการส่งต่อข้อมูลการรักษา
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม
8.2 ยอมรับความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการสั่งยาและเข้าใจในประเด็นกฎหมายและจริยธรรม
8.3 รู้และทำงานภายใต้กฎหมาย และระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการสั่งยา
8.1 มั่นใจว่าพยาบาลสามารถสั่งจ่ายยาได้ตาม พรบ.วิชาชีพและพรบ. ยาแห่งชาติ
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา
3.2 ระบุและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล ค่านิยม ความเชื่อ และความคาดหวังเกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาด้วยยา
3.3 อธิบายเหตุผล และความเสี่ยง/ประโยชน์ของทางเลือกในการรักษาที่ผู้ป่วย/ผู้ดูแลเข้าใจได้
3.1 ชี้แจงทางเลือกในการรักษา
3.4 ประเมินความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ด่วนตัดสิน
3.5สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย
3.6 ทำความเข้าใจกับการร่วมปรึกษาหารือก่อนใช้ยาเพื่อผลลัพธ์ที่นำไปสู่ความพึงพอใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยาได้อย่างต่อเนื่อง
9.1 สะท้อนคิดการบริหารยาของตนเองและการสั่งยาของผู้เกี่ยวข้อง
9.2 เข้าใจและใช้เครื่องมือหรือกลไกที่เหมาะสมในการปรับปรุงการบริหารยาและการสั่งยา
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น
2.3 ประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาและไม่ใช้ยา
2.4 ใช้ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของยาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยต่อไป
2.2พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยเพื่อประกอบการปรับขนาดยา หยุดการให้ยาหรือเปลี่ยนยา
2.5 พิจารณาโรคร่วม ยาที่ใช้อยู่ การแพ้ยา ข้อห้ามการใช้ยา และคุณภาพชีวิตที่อาจส่งผลกระทบต่อการเลือกใช้ยา
2.1 พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้ยาหรือการรักษาแบบไม่ใช้ยาในการรักษาและการส่งเสริมสุขภาพ
2.6 คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วย
2.7 พัฒนาความรู้ให้เป็นปัจจุบัน ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
2.8เข้าใจเรื่องเชื้อดื้อยา และแนวทางการป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยา
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ
10.1 มีส่วนร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อให้มั่นใจว่าการดูแลมีความต่อเนื่อง
10.2 สร้างสัมพันธภาพกับทีมสหวิชาชีพ บนพื้นฐานของความเข้าใจ ความไว้วางใจและยอมรับในบทบาทของสหวิชาชีพ
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
1.3 ประเมินอาการที่ดีขึ้นหรือเลวลง
1.4 ติดตามความร่วมมือในการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
1.2 ประเมินอาการข้างเคียงจากการใช้ยา
1.5 การส่งต่อ
1.1 กํรประเมินประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา และประวัติการ
แพ้ยา/แพ้อาหาร
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้
6.2ต้องมีการติดตามประสิทธิภาพของการรักษาและอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา
6.3ค้นหาและรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาโดยใช้ระบบการรายงานที่เหมาะสม
6.1 ทบทวนแผนการบริหารยาให้สอดคล้องกับแผนการรักษาที่ผู้ป่วยได้รับ
6.4 ปรับแผนการบริหารยาให้ตอบสนองต่ออาการและความต้องการของผู้ป่วย