Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4.1 การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
4.1 การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
เพื่อการรักษา เป็นการให้ยาเพื่อรักษาตามสาเหตุของโรค
รักษาตามอาการ
รักษาเฉพาะโรค
ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขาด
ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งกำรให้ยา
ความถี่การให้ยา
OD omni die วันละ 1 ครั้ง
bid bis in die วันละ 2 ครั้ง
qid quarter in dieวันละ 4 ครั้ง
q 6 hrs quaque 6 hora ทุก 6 ชั่วโมง
tid ter in die วันละ 3 ครั้ง
วิถีทางการให้ยา
po ย่อมาจาก PeoS / Per oral ให้รับประทานยาทางปาก
Inj. ย่อมาจาก Injection ยาฉีด
IP ย่อมาจาก Intrademal เฉีดยาเข้าผิวหนัง
Vag. Suppo. ย่อมาจาก Vaginal Suppositories ให้สอดทางช่องคลอด
ลักษณะยา
Cap ย่อมาจาก Capsula ยาแคปซูล
Tab ย่อมาจาก Tabella ยาเม็ด
Susp ย่อมาจาก Suspension ยาน้ำ
syr ย่อมาจาก Syrupus ยาน้ำเชื่อม
oint ย่อมาจาก ointment ขี้ผึ้ง
IM ย่อมาจาก Intramuscular ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ
sl ย่อมาจาก Sublingual ยาอมใต้ลิ้น
Rectral Suppo. ย่อมาจาก Rectal Suppositories ให้สอดทางทวารหนัก
ทางจุดต่างๆ
Oรับประทานทางปาก
Mเข้ากล้ามเนื้อ
SCเข้าชั้นใต้ผิวหนัง
Vเข้าหลอดเลือดดำ
IDเข้าชั้นระหว่างผิวหนัง
subling อมใต้ลิ้น
Inhal ทางสูดดม
Nebul พ่นให้สูดดม
Suppเหน็บ/สอด
Instillหยอด
เวลาในการให้ยา
at ย่อมาจาก Ante cibum ก่อนอาหาร
pc ย่อมาจาก Post cibum หลังอาหาร
hs ย่อมาจาก Hora Somni ก่อนนอน
prn ย่อมาจาก Pro re nanta เมื่อต้องการ
Stat ย่อมาจาก Statim ทันทีทันใด
S.O.S ย่อมาจาก Si opus sit เมื่อว่าเป็น
ระบบการตวงวัดยา
ระบบอโพทีคารี
ระบบเมตริก
ระบบมาตราตวงวัดประจำบ้าน
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
ภาวะสุขภาพ ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีอาการป่วย เมื่อได้รับยาจะมีผลต่อการแสดงออกของฤทธิ์ยาต่างจากคนปกติ
เพศ ถ้าได้รับยาขนาดเท่ากัน ยาจะมีปฏิกิริยาต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
กรรมพันธุ์ บางคนอำจมีความไวผิดปกติต่อยาบางชนิด
อายุและน้ำหนักตัว เด็กเล็ก ๆ ตับและไตยังเจริญไม่เต็มที่
ผู้สูงอายุมากๆ การทำงานของตับและไตลดลง
ภาวะจิตใจ เป็นการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขจากการเรียนรู้และจดจำประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการได้รับยาเคมีบำบัดครั้งก่อน
เวลาที่ให้ยา ยาบางชนิดต้องให้เวลาที่ถูกต้องยาจึงออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ
ทำงที่ให้ยา ยาที่ให้ทางหลอดเลือดจะดูดซึมได้เร็วกว่ายาที่ให้รับประทานทางปาก
สิ่งแวดล้อม ยาที่รักษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางชนิด ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ เพื่อจะได้พักผ่อน
คำสั่งแพทย์ คำนวณขนาดยา
คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป
เป็นคำสั่งที่สั่งครั้งเดียวและใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะมีคำสั่งระงับ
การให้ยาปฎิชีวนะ Ofloxacin (200) 2 tab bid.pc x 5 days จะหยุดกำรให้ยาได้เมื่อครบกำหนดตามที่แพทย์ระบุไว้คือ 5 วัน
คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น
เป็นคำสั่งที่กำหนดไว้ให้ปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีอาการบางอย่างเกิดขึ้น
คำสั่งใช้ภำยในวันเดียว
เป็นคำสั่งที่ใช้ได้ใน 1 วัน เมื่อได้ให้ยาไปแล้วเมื่อครบก็ระงับไปได้เลย
Tramal (50) 1 cap q 6 hr เมื่อครบ 24 ชั่วโมงคำสั่งนั้นก็ระงับเช่นการให้ยาครั้งแรกที่เวลา 12.00 น ของ วันที่ 23 ตุลาคม 2557
คำสั่งที่ต้องให้ทันที
เป็นคำสั่งการให้ยาครั้งเดียวและต้องให้ทันที
Diclofenac 1 amp M stat เมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วยกเลิกได้
รูปแบบการบริหารยา
Right patient/client
คือการให้ยาถูกตัวผู้ป่วย โดยการเช็คชื่อผู้ป่วยทุกครั้งก่อนให้ยาหรือก่อนฉีดยาเทียบกับใบ Medication administration record
Right documentation
คือการบันทึกกำรให้ยาที่ถูกต้อง โดยพยาบาลลงนามในเวลาเดียวกับที่ให้ยากับผู้ป่วยในเอกสารที่ได้กำหนดไว้
Right drug
อ่านชื่อยาอย่างน้อย 3 ครั้ง
ครั้งแรก ก่อนหยิบภาชนะใส่ยาออกจากที่เก็บ
ครั้งที่สอง ก่อนเอายาออกจากภาชนะใส่ยา
ครั้งที่สาม ก่อนเก็บภาชนะใส่ยาเข้าที่หรือก่อนทิ้งภาชนะใส่ยา
Right to refuse
คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในการจัดการยา ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะปฏิเสธการใช้ยาหากเขามีความสามารถในการทำเช่นนั้น
Right technique
คือการให้ยาถูกตามวิธีการ ใช้เทคนิคที่เหมาะสม โดยการเตรียมยาและให้ยาที่ถูกต้องยึดหลักการปลอดเชื้อสำหรับยารับประทานทางปาก
Right History and assessment
คือกำรซักประวัติ และกำรประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา โดยการสอบถามข้อมูล/ ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนการให้ยา ควรมีการทดสอบ Skin test
Right time
การให้ยาก่อนอาหาร
เพื่อไม่ต้องการให้ยาได้สัมผัสกับอาหาร
การให้แบบกำหนดเวลา
การให้พร้อมกับอาหารคำแรก ห้าม รับประทานพร้อมนม การให้ขณะนั่งหัวสูงเป็นเวลา 30 นาที
การให้ยาหลังอาหาร
เพื่อให้ยาได้สัมผัสกับอาหารเพื่อช่วยเรื่องการดูดซึม
การให้ยาช่วงใดก็ได้
คืออาหารไม่มีผลต่อการดูดซึม
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation
คือการที่จะต้องให้ยาร่วมกัน จะต้องดูก่อนว่ายานั้นสามารถให้ร่วมกันได้ไหม เมื่อให้ร่วมกันจะมีผลทำให้ยาออกฤทธิ์มำกขึ้นหรือน้อยลง หรือมีผลต่อประสิทธิภาพยา ระยะเวลาที่ยาคงอยู่ในร่างกายเป็นอย่างไร
Right route
คือกำรให้ยาถูกทาง โดยการให้ยำแก่ผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่งการรักษา เป็นการประกันว่าผู้ป่วยได้รับยาสอดคล้องกับวิถีการบริหารยา
Right to Education and Information
คือก่อนที่พยาบาลจะให้ยาผู้ป่วยทุกครั้งต้องแจ้งชื่อยาที่จะให้ ทางที่จะให้ยา ผลการรักษำ ผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิด และอาการที่ต้องเฝ้าระวัง ก่อนการให้ยาทุกครั้ง
Right dose
คือกำรให้ยาถูกขนาด โดยการจัดยาหรือคำนวณยาให้มีขนาดและความเข้มข้นของยำตามคำสั่งการให้ยา
กำรให้ยาขาดหรือเกินจากขนาดที่แพทย์สั่ง จะส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับยาไม่ครบตามแผนการรักษาเป็นความคาดเคลื่อนที่พบบ่อย
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
7.1 การให้ยาทางปาก
หมายถึง การให้ยาที่สามารถรับประทานทางปากได้ ซึ่งอาจเป็นชนิดยาเม็ด ยาแคปซูล ยาผง หรือยาน้ำ นับว่าเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และปลอดภัยที่สุด
ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ดแล้ว
การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้ส่วนยาน้ำให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้ำย
ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม
ยาอมใต้ลิ้นควรให้หลังจากรับประทานยาทุกชนิดแล้ว และแนะนำให้ห้ามกลืนหรือเคี้ยวยา
7.2 การให้ยาเฉพาะที่
เป็นการให้ยาภายนอกเฉพาะตำแหน่ง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่
มีข้อปฏิบัติดังนี้
การให้ยาทางหู
เป็นการหยอดยาเข้าไปในช่องหูชั้นนอก ยาที่ใช้เป็นยาน้ำ ออกฤทธิ์เฉพาะเยื่อบุในช่องหู มักเป็นยาชาหรือยาฆ่าเชื้อโรคเฉพาะที่
กำรหยอดยำจมูก
ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น และพยาบาลยกปีกจมูกผู้ป่วยข้ำงที่จะหยอดยาขึ้นเบาๆแล้วหยดยาผ่านทางรูจมูกห่างประมาณ 1-2 นิ้ว จำกนั้นให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าเดิมประมาณ 5 -10 นาที เพื่อป้องกันยาไหลย้อนออกมา
การให้ยาทางตา
ดวงตาเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางมาก ติดเชื้อได้ง่าย การใช้ยาบริเวณตาจึงต้องคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ ยาที่ใช้กับตามีทั้งยาหยอดตา ป้ายตา และยาล้างตา
การเหน็บยา
เป็นการให้ยาที่มีลักษณะเป็นเม็ด เข้าทางเยื่อบุตามอวัยวะต่างๆเพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่
เหน็บยาทางทวารหนัก
เหน็บยาทางช่องคลอด
การสูดดม
สามารถให้โดยการพ่นยาเข้าสู่ทางเดินหายใจ เพื่อให้ยาไปสู่บริเวณที่ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ ยาออกฤทธิ์แบบเฉพาะที่หรือแบบทั่วร่างกาย
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา
อาจเกิดจากแพทย์เขียนผิดพลาด หรือไม่ชัดเจนรวมถึงการเลือกใช้ยาผิด การเลือกขนาดยาผิด การเลือกรูปแบบยาผิด กำรสั่งยาในจำนวนที่ผิด การเลือกวิถีทางให้ยาผิด การเลือกความเข้มข้นของยาผิด การเลือกอัตราเร็วในการให้ยาผิด หรือการให้คำแนะนำการใช้ยาผิด
ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคาสั่งใช้ยา
จากคำสั่งใช้ยาต้นฉบับที่ผู้สั่งใช้ยาเขียน จำแนกตามสถานที่ที่เกิดความคลาดเคลื่อนขึ้น
ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา
ความคลาดเคลื่อนในกระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
คือ การบริหารยาที่แตกต่างไปจากคำสั่งใช้ยาของผู้สั่งใช้ยาที่เขียนไว้ในใบบันทึกประวัติการรักษาผู้ป่วย หรือความคลาดเคลื่อนที่ทำให้ผู้ป่วยได้รับยาผิดไปจากความตั้งใจในการสั่งยาของผู้สั่งใช้ยา
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
เวรบ่าย พยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกัน และดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร ลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
การซักประวัติ จะถามเรื่องการแพ้ยาทุกครั้งดูสติ๊กเกอร์สีแสดงแพ้ยาที่ติดอยู่ขอบ OPD card และดูรายละเอียดใน OPD card ร่วมด้วยทุกครั้ง และพยาบาล ติดสติ๊กเกอร์สีบนชาร์ตผู้ป่วย และปั้มตรายางทุกหน้าคำสั่งของแพทย์ และก่อนฉีดยาจะถามอีกครั้งว่ามีประวัติแพ้ยาหรือไม่
การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาเนื่องจากความ
ผิดพลาดด้านบุคคลโดยเฉพาะยาน้ำ
เมื่อผู้ป่วยเข้ามานอนรักษาในครั้งแรก พยาบาลตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์ พร้อมกับเช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยา หากไม่ตรงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
กรณีผู้ป่วยที่ NPO ให้มีป้าย NPO และเขียนระบุว่า NPO เพื่อผ่าตัดหรือเจำะเลือดเช้า ให้อธิบำยและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
กรณีคำสั่งสารน้ำ+ยา B co 2 ml ให้เขียนคำว่า +ยา B co 2 ml ด้วยปากกาเมจิก อักษรตัวใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจนเพื่อสังเกตได้ง่าย
การจัดยาจะจัดตามหน้าชองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ในกำรจัดยาที่เป็นคำสั่งใหม่ ผู้จัดจะดูวันที่ที่สั่งยาใหม่หน้าซองยาในการเริ่มยาใหม่ในครั้งแรก พร้อมตรวจดูยากับใบ MAR อีกครั้งว่ามีตรงกันหรือไม่
มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบ คนละคนกันตรวจสอบช้ำก่อนให้ยา ให้ตรวจสอบ 100% เช็คดูตามใบMAR ทุกครั้ง
การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้ง
หลังให้ยาและให้พยาบาลตรวจดูยาในลิ้นชักของผู้ป่วย
ทุกเตียงจนเป็นนิสัยและดูผู้ป่วยประจำเตียงว่ำมีหรือไม่
และตามผู้ป่วยมารับยาให้กินยาเลยและสอบถามคู่เวรว่า
แจกยาหมดหรือยังให้เป็นนิสัย
กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่
การประเมินสภาพ
ก่อนให้ยาต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ป่วยและยาที่จะให้ผู้ป่วย ต้องทราบ ข้อมูลเกี่ยวกับการแพ้ยา ภาวะขณะที่จะให้ยา
การประเมินผล
เนื่องจากยาที่ให้นอกจากจะมีผลทางการรักษา แล้วยังอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้ ดังนั้นหลังจากให้แล้วต้องกลับมาตามผลทุกครั้ง เพื่อดูผลของยาต่อผู้ป่วยทั้งด้านการรักษา และผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงการแพ้ยาด้วย โดยประเมินดูว่าเป็นไปตามเกณฑ์การประเมินที่ตั้งไว้ในขั้นตอนการวางแผนหรือไม่
การวางแผนการพยาบาล
หลังจากได้ข้อมูลและปัญหำหรือข้อบ่งชี้ในการให้ยาแล้วทำการวางแผนหาวิธีการว่าจะให้ยาอย่างไร ผู้ป่วยจึงจะได้ยาถูกต้อง ครบถ้วน ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดหรือได้รับอันตราย โดยการตั้งเกณฑ์การประเมินของแต่ละข้อวินิจฉัยการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล
เป็นการปฏิบัติการให้ยาตามแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติ โดยยึดหลักความถูกต้อง 7 ประการ และคำนึงถึงบทบาทพยาบาลในการให้ยาตามที่ได้กล่าวข้างต้น รวมไปถึงการบันทึกหลังการให้ยาด้วย ปฏิบัติตามหลักการบริหารยาที่ลงมือปฏิบัติจริง
การวินิจฉัยการพยาบาล
เมื่อรวบรวมข้อมูลจากการประเมินสภาพได้ทั้งหมดแล้วนำมาจัดหมวดหมู่ข้อมูลที่เป็นปัญหา ดูว่าผู้ป่วยมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาที่จะได้รับยาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประเมินมาได้ในขั้นตอนแรก แล้วให้กำรวินิจฉัยพยาบาล
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สามารถประเมินปัญหา
ผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชำชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้
ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น
สามารถติดตำมผลการรักษา และรายงาน
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถใน
การใช้ยาได้อย่างต่อเนื่อง
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วย
ร่วมตัดสินใจในการใช้ยา
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อ
การใช้ยาได้อย่างเพียงพอ
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล