Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาต้านโรคมะเร็ง - Coggle Diagram
ยาต้านโรคมะเร็ง
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านมะเร็งโดยรวม
แนะนำให้ดูแลสุขภาพปากและฟันด้วยแปรงสีฟันขนนิ่ม ๆ แปรงฟันเบา ๆหรือใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำยาพันนิ้วมือเช็ดปากและฟัน บ้วนปากบ่อยๆ ด้วยน้ำยาบ้วนปาก หรือน้ำเกลือเพื่อป้องกันเลือดออก
แนะนำผลข้างเคียงที่อาจพบ
แนะนำให้ดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล เช่น การล้างมือบ่อยๆ สวมใส่เสื้อผ้าสะอาด เพื่อลดหรือป้องกันการติดเชื้อ
ผู้ป่วยมีโอกาสการเป็นหมันชั่วคราวหรือถาวรหลังจากได้ยาเคมีบำบัด
ถ้าผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ ควรดื่มเครื่องดื่มประเภทเหลวเย็น เช่น น้ำส้ม น้ำขิง วัน หรือเยลลี่ น้ำมะนาวโดยจิบทีละน้อยแต่บ่อยๆ ไม่ควรรับประทานเครื่องดื่มประเภทนม หรือรับประทานอาหารที่ละน้อยและบ่อยครั้ง
ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้วงดผักสด ผลไม้ที่รับประทานทั้งเปลือก เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากอาหาร
ดูแลการได้รับยาตามแผนการรักษา และสังเกตผลข้างเคียงหลังได้รับยา เช่นประเมินผิวหนัง อาการปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีด
แนะนำให้สังเกตอาการเลือดออกง่าย เช่น มีจำเลือดตามตัว ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบมาพบแพทย์
กรณีได้ยาชนิดรับประทานดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและดื่มน้ำตามมากๆ หลังรับประทานยา
กรณีที่รับประทานยาที่บ้าน แนะนำให้รับประทานยาตรงเวลา ขนาดที่แพทย์กำหนดเพราะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษา
ประเมินผลข้างเคียงจากการได้รับยาเคมีบำบัดที่พบบ่อย
ในกรณีที่มีอาการชาตามปลายประสาทส่วนปลาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ควรระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุมีความรู้สึกช้าถ้าสัมผัสของร้อนจะเป็นอันตรายได้ รวมทั้งอาการปวดกล้ามเนื้อซึ่งอาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นหลังจากหยุดยาเคมีบำบัดไปแล้ว 4 – 6 สัปดาห์
ประเมินสัญญาณชีพก่อนและหลังให้ยา
ประเมินภาวะสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยา โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาที่มีผลข้างเคียงสูง และได้รับยาหลายๆชนิดในเวลาเดียวกัน
กรณีที่ได้รับยาชนิดฉีด
พยาบาลที่ให้ยาควรมีความรู้ ใช้ทักษะที่ถูกต้องเหมาะสม
ควรมีอุปกรณ์ป้องกันตัว (personal protective equipment) ได้แก่ เสื้อกาวน์ หมวก Mask แว่นตา ถุงมือ
จัดเตรียมยาในห้องที่มีพัดลมดูดอากาศกรณีที่ยาเคมีบำบัดที่หกตามที่ต่างๆควรเช็ดออกด้วยกระดาษซับ และทำความสะอาดด้วยสบู่และน้ำ แล้วจึงเช็ดด้วย 70% alcohol อีกครั้ง
กำจัดอุปกรณ์ และภาชนะบรรจุยา ในถุงขยะ ปิดปากถุงให้แน่น แยกสีถุงขยะต่างจากถุงบรรจุขยะประเภทอื่นของโรงพยาบาล ติดฉลากระบุว่าเป็น “ขยะปนเปื้อนยาเคมีบำบัด”
การเลือกเส้นเลือดดำที่จะให้ยา ควรเป็นเส้นเลือดที่เห็นชัด มีขนาดใหญ่ หลอดเลือดนุ่ม เรียบตรง ไม่แข็งหรือคดงอ
กรณีผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัดหลายชนิด ควรเลือกฉีดยากลุ่ม vesicant ก่อน
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาครั้งแรก พยาบาลเตรียมความพร้อมของผู้ป่วย และครอบครัวโดยการให้ ความรู้และคำแนะนำผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับ เหตุผลของการให้ยาเคมีบำบัด ผลดีของการให้ยาเคมีบำบัด ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการให้ยาเคมีบาบัด แผนและขั้นตอนในการให้ยาเคมีบำบัด
ยากลุ่ม Alkylating agents
Carmustine
กลไกการออกฤทธิ์
ทำให้เกิด หมู่ Alkyl ไปจับกับสายของ DNA ส่งผลให้ DNA ทำให้เซลล์มะเร็ง แบ่งตัวไม่ได้ เกิด DNA strand break และทำให้เซลล์ตาย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
รักษามะเร็งสมอง
Dacarbazine (DTIC)
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้กลายเป็นสารที่มีพิษต่อ การสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์มะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้ร่วมกับยา Adriamycin, Bleomycin, Vinblastine หรือ Dacarbazine ในการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin 's lymphoma และมะเร็งผิวหนัง (melanoma)
Chlorambucil
กลไกการออกฤทธิ์
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA แบบ cross- linking ส่งผลทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยามาตรฐานในการรักษา มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic lymphocytic leukaemia;CL) และมะเร็งต่อม น้ำเหลืองชนิด follicular
Cisplatin, Carboplatin
กลไกการออกฤทธิ์
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA ทำให้เกิดการยับยั้งกระบวนการ DNA replication และ DNA transcription
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าทางช่องท้อง ใช้ร่วมกับยื่นในการรักษา มะเร็งอัณฑะ มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และ มะเร็งทางเดินอาหาร
Ifosfamide (Holoxan; IFOS)
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้ กลายเป็น phosphoramide mustard แทรกเข้าไปในขบวนการสร้าง DNA แบบ cross- tinking และมีการเติมหมู่ alkyl ที่เบส guanine บนสาย DNA และกระตุ้นให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ยามีทั้งรูปแบบฉีดและยารับประทาน ใช้รักษามะต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเร็งอัณฑะ (testicular carcinoma) และ มะเร็งของเนื้อเยื่ออ่อน (soft tissue sarcoma) เช่น กระดูก กระดูกอ่อน ไขมัน กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด เป็นต้น
Busulfan (Myleran)
กลไกการออกฤทธิ์
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA แบบ cross-linking ส่งผลทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่งตัวได้ และทำให้เซลล์ตาย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด (chronic myelgenous leukemia; CML) และใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดอื่น เช่น cyclophosphamide ก่อนการปลูกถ่ายไขกระดูก
Cyclophosphamide
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้ กลายเป็น phosphoramide mustard แทรกเข้าไปในขบวนการสร้าง DNA แบบ cross- tinking และมีการเติมหมู่ alkyl ที่เบส guanine บนสาย DNA และกระตุ้นให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ยามีทั้งรูปแบบฉีดและยารับประทาน ใช้รักษามะเร็ง รังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin 's และ non-Hodgkin lymphoma มะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia) ทุกชนิด และมะเร็งหลายชนิดในเด็ก นอกจากนี้ยังใช้เป็นยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วย autoimmune diseases เช่น rheumatoid arthritis และ nephritic syndrome
Mechlorethamine (Mustargen, Mustine)
กลไกการออกฤทธิ์
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA ทำให้เกิดสาย DNA แตก และยับยั้งกระบวนการ DNA transcription
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เดิมใช้รักษารักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin's lymphoma แต่ปัจจุบันใช้ยานี้น้อยลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนไปใช้ Cyclophosphamide และยาอื่น ๆ แทน
ผลข้างเคียง
อาการพิษต่อระบบประสาท (neurotoxicity) พบในยา Ifosfamide สูงกว่ายาชนิดอื่น จะทำให้ผู้ป่วย มีอารมณ์แปรปรวน เสียการทรงตัว เดินเซ หรืออาจทำให้เกิดอาการชัก หลังการได้รับยาได้
ความเป็นพิษต่อไต cyclophosphamide และ ifosfamide ทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะปัสสาวะ (hemorrhagic cystitis)
ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร โดยมีผลต่อ mucosal cells ของทางเดินอาหาร ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน มีแผลในปาก และมีอาการเบื่ออาหาร ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยเกือบทุกราย
ยากลุ่มนี้มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงการเกิดพิษต่อหัวใจได้ ดังนั้นจึงควรระวังการใช้ยาหรือเลี่ยงการใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ
ทำให้เกิดการกดการทำงานของไขกระดูก (bone marrow suppression) ทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ (leucopenia) เม็ดเลือดแดงต่ำ (anemia) และ เกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) หลังได้รับยา เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยของยากลุ่มนี้
ผลต่อผิวหนัง คือทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำ โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ เอว และรักแร้ ทำให้ผมร่วงและ อาการผมร่วงจะหายไปเมื่อหยุดยา หรือทำให้เล็บมีรอยดำ พบในยา cyclophosphamide
ยากลุ่ม Anticancer antibiotics
Dactinomycin หรือ actinomycin D
กลไกการออกฤทธิ์
สอดแทรกเข้าไปในสาย DNA ยับยั้ง RINA polymerase ทำให้สาย single-strand ของ DNA แตก
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ใช้ร่วมกับยา Vincristine ในการรักษา Wilms turmor และมะเร็งของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในเด็ก (thabdomycosarcoma) และใช้ร่วมกับยาMethotrexate ในการรักษา choriocarcinama นอกจากนั้นยายังนำใช้ในการรักษา Ewing's tumor และ Kaposi's sarcoma
Doxorubicin (DOX)
กลไกการออกฤทธิ์
มีหลายกลไก เช่น ยับยั้ง topoisomerase 2 แทรกไป อยู่ระหว่าง DNA base pairs ในสาย DNA ปิดกั้นการสังเคราะห์ DNA และ RNA รบกวนการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์ และสร้างอนุมูลอิสระซึ่งทำให้สาย DNA แตก
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ (หากเป็นยารับประทาน ยาจะถูกทำลายในกระเพราะอาหาร) มีฤทธิ์ในการรักษามะเร็งหลายได้ชนิด เช่น ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (acute leukemia) มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (ymphomas) มะเร็งของพลาสมาเซลล์ (multiple myeloma) มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งรังไข่ มะเร็งไทรอยด์ และมะเร็งปอด
Bleomycin
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์โดยจับกับธาตุเหล็ก (Fe” ได้เป็นสารประกอบเชิงซ้อนของยากับเหล็ก ซึ่งทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้อนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการแตกของสาย DNA และสอดแทรกในสาย DNA ยามี ผลต่อเซลล์ระยะ G2
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดชั้น ใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าช่องต่าง ๆ ของร่างกาย
Mitomycin
กลไกการออกฤทธิ์
ยาถูกเปลี่ยนแปลงในเซลล์ไปเป็นสาร Alkylating agents ที่มีฤทธิ์แรงมาก ทำให้เกิดสะพานในสาย DNA มีผลยับยั้งการสังเคราะห์ DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งปากมดลูก (carcinoma of cervix) มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยอาจใช้ร่วมกับ 5-FU, cisplatin หรือ doxorubicin แต่ปัจจุบันนิยมใช้น้อยลง
ผลข้างเคียง
รบกวนทางเดินอาหาร มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ และอาเจียนได้
ผิวหนังไวต่อการฉายรังสี เยื่อบุในช่องปากอักเสบ และผมร่วง
ยากดการทำงานของไขกระดูก (bone marrow suppression) โดยเฉพาะยา Mitomycin มีกดไขกระดูกอย่างรุนแรง ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำและเกล็ดเลือดต่ำเป็นอย่างมาก มากกว่ายาตัวอื่น
หากยารั่วออกนอกหลอดเลือด (extravasation) จะทำให้ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ ตาย
ยา Mitomycin ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อไต และเกิดพังผืดในปอด (ling fibrosis)
ยากลุ่มฮอร์โมน (Hormone and hormone antagonists)
ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Glucocorticoids)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's non-Hodgkin Lymphoma มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL (acute lymphocytic leukemia)
ผลข้างเคียง
มีโอกาสติดเชื้อง่าย กลูโคสในเลือดสูง (hyperglycemia) โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน (antiestrogens)
Tamoxifen
เป็นตัวเลือกแรกในการนำมาใช้รักษามะเร็งเต้า
Toremifene
ใช้รักษามะเร็งเต้านม, และ Raloxifene: ใช้การป้องกันการเกิดมะเร็งโรคกระดูกพรุน (osteoporosis)
ผลข้างเคียง
มีเลือดประจำเดือนผิดปกติ
ใช้ในระยะยาวเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด (thromboembolic diseases)
ร้อนวูบวาบ รบกวนทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
ยาออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมน androgen (anti androgens)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ยา Goserelin เป็นยาที่ใช้ฝังในกล้ามเนื้อ ส่วนยา Leuprotide เป็นยาฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง กลุ่มยานี้ใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก (prostate cancer) มะเร็งเต้านม ในระยะแพร่กระจาย (metastatic breast cancer) และโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดปกติ (endometriosis)
ยา Abarelix เป็นยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ใช้บรรเทาอาการผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย
ผลข้างเคียง
เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ในระยะแรกอาจทำให้เซลล์มะเร็งเจริญมากขึ้น จากผลกระตุ้นการหลั่ง FSH และ LH ในช่วงแรก
ร้อนวูบวาบ
ยาฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestins)
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ
progestins เพิ่มอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเยื่อบุมดลูก (endometrial Carcinoma) มะเร็งเต้านม (breast cancer) และมะเร็งของไต (renal carcinoma)
ยากลุ่ม Antimetabolites/Antineoplastic agents
Antifolate/Folate antagonist
Pemetrexed
กลไกการออกฤทธิ์
เป็นยาต้านโฟเลตตัวใหม่ เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูก metabolite ให้กลายเป็นสารที่มีฤทธิ์ไปยับยั้งการสังเคราะห์และสร้างสารตั้งต้นของ DNA, RNA และโปรตีน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งปอด (ung cancer) มะเร็งตับอ่อน (pancreatic cancer)
ผลข้างเคียง
อาจทำให้แท้งและเด็กในครรภ์พิการได้ พิษต่อตับ พิษต่อไต ยากลุ่มนี้ทาให้เกิดอาการ folate deficiency ในเซลล์ปกติ แก้ไขโดยการให้ LeuCOvorin ร่วมด้วย
ผมร่วง พบได้น้อย แต่ผมจะงอกขึ้นใหม่หลังหยุดยา แต่ลักษณะสีและเส้นผมอาจเปลี่ยนไป
จำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง จึงทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้จำนวนเกล็ดเลือดลดลง ทำให้เลือดออกได้ง่าย
ผิวหนังจะถูกแสงแดดเผาได้ง่าย นำนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด สวมเสื้อแขนยาว หรือ ทาโลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF (Sun protection factor) มากกว่า 15 เท่า
ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับยาในขนาดสูง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เมื่ออาหาร เยื่อบุในช่องปากอักเสบ อาจต้องใช้ยาต้านการอาเจียนร่วมด้วย
Methotrexate (MTX)
กลไกการออกฤทธิ์
เป็นยาต้านโฟเลต (antifolate or folate antagonist) ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ dihydrofolate reductase (DHER) ที่เปลี่ยน dihydrofolate ไปเป็น tetrahydrofolate ที่เป็น Cofactor สำคัญที่นำไปใช้สร้างสารตั้งต้นของ DNA, RNA และโปรตีน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ยามีทั้งยาชนิดเม็ดรับประทาน ยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ ยาฉีดทางกล้ามเนื้อ และยาฉีดเข้าทางน้ำไขสันหลัง ใช้รักษา Meeste โรคมะเร็งหลายชนิด ใช้รักษามะเร็งต่อไปนี้เช่น มะเร็งรก Imutrex-7.5 (choriocarcinoma) มะเร็งที่ศีรษะและคอ (head and neck cancers) มะเร็งปอด (lung cancer) มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด acute Lymphocytic leukemia; ALL มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด non-Hodgkin lymphoma มะเร็งกระดูก (osteosarcoma) และมะเร็งเต้านม (breast cancer)
Purine analogs
ยา 6-thioguanine (6-TG)
กลไกการออกฤทธิ์
คล้ายกับ 6-MP การนำไปใช้รักษาในคลินิก: ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ANL หรือ AML โดยใช้ร่วมกับยา Daunorubicin uas Cytarabine
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ เนื่องจากเป็นพิษต่อทางเดิน อาหารมาก หากให้โดยการรับประทาน ใช้รักษา CLL และมะเร็งต่อน้ำเหลืองที่ไม่รุนแรง
ยา Fludarabine
กดไขกระดูก ขนาดยาที่สูงจะทำให้เกิด Leucopenia, thrombocytopenia เกิดพิษต่อตับและรบกวนระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง
มีแผลในปาก หรือริมฝีปาก อาจบรรเทาด้วยการอมน้ำแข็ง และรักษาช่องปากให้สะอาดด้วยการ แปรงฟันด้วยแปรงสีฟันที่มีขนนุ่มวันละ 2-3 ครั้ง บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ 0.99% สำหรับน้ำยาบ้วนปาก ที่มีตัวยาฆ่าเชื้ออาจทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุในปาก และผลการรักษาไม่ได้ดีกว่าน้ำเกลือ ในกรณีที่มีแผลในปากรุนแรง การแปรงฟันอาจทำให้เกิดแผลเพิ่มขึ้นได้ ควรใช้ฟองน้ำหรือผ้าก๊อซชุบ น้ำเกลือทำความสะอาดฟันแทน
อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ แต่พบไม่บ่อย เช่น อุจจาระสีดำ ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด ไอหรือ เสียงแหบ อ่อนเพลีย ตัวตาเหลือง ผิวหนังมีสีคล้ำ และท้องเสีย เป็นต้น
ยา 6-mercaptopurine (6-MP)
กลไกการออกฤทธิ์
เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายเบสเพียวรีน (purine analog) ซึ่งเป็นยาชนิดแรกในกลุ่มนี้ที่นำมาใช้รักษาโรคมะเร็ง เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะถูก เปลี่ยนเป็นสารไรโบนิวคลีโอไทด์ (ribonucleotide) ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเอนไซม์หลายตัวที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง purine ที่ถูกนำมาใช้ในการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก (nucleic acids) ที่จำเป็นในการสร้าง DNA จึงทำให้ไม่สามารถสร้างและสังเคราะห์ DNA และ RNA ได้
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาเม็ดรับประทาน ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL (acute lympholytic leukemia) uaz AML (acute myelogenous leukemia) vša acute nonlymphocytic leukemia ; ANLL
Pyrimidine analogs: 5-fluorouracil
5-fluorouracil (5-FU)
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ thymidylate synthase ซึ่งเป็น เอนไซม์ที่จำเป็น ในการสังเคราะห์ DNA และ RNA
การนำไปใช้ในคลินิก
ชนิดยาฉีดทางหลอดเลือดดำ (ยาเป็นพิษต่อ ทางเดินอาหารเพื่อให้โดยการกิน) รักษามะเร็งเต้านม มะเร็งทางเดินอาหาร
Capectibine
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ thymidylate synthase ซึ่งเป็น เอนไซม์ที่จำเป็น ในการสังเคราะห์ DNA และ RNA
การนำไปใช้ในคลินิก
เป็นยาชนิดเม็ดรับประทาน ใช้รักษาเพื่อบรรเทาอาการ (palliative treatment) ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปแล้ว ปัจจุบันนิยมใช้ร่วมกับยา Oxaltiplatin ในการรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แพร่กระจาย
Cytarabine
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ thymidylate synthase ซึ่งเป็น เอนไซม์ที่จำเป็น ในการสังเคราะห์ DNA และ RNA
การนำไปใช้ในคลินิก
เป็นยาชนิดเม็ดรับประทาน ใช้รักษาเพื่อบรรเทาอาการ (palliative treatment) ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านที่แพร่กระจายไปแล้ว ปัจจุบันนิยมใช้ร่วมกับยา Oxaltiplatin ในการรักษา มะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แพร่กระจาย
Gemcitabine
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อยาเข้าสู่เซลล์ ยาจะถูกกระตุ้นให้มีการเติมหมู่ฟอตเฟต จะไปเข้าไปแทรกกระบวนการเชื่อมจับของสาย DNA เกิดการยับยั้งการสร้าง DNA
การนำไปใช้ในคลินิก
ชนิดยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งตับ อ่อนที่แพร่กระจายไปแล้ว มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็ง กระเพาะอาหาร และมะเร็งที่ศีรษะและคอ
ผลข้างเคียง
อาจพบอาการอ่อนเพลียไม่มีแรง โดยอาการจะค่อยๆดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
มีการลอกของฝ่ามือและฝ่าเท้าเมื่อใช้ยาติดต่อเป็นเวลานาน รวมไปถึงมีเล็บมือเล็บเท้าคล้ำลง
อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนพะอืดพะอมหรืออาการท้องเสีย ผู้ป่วยอาจต้องได้รับยาต้านอาเจียนและ ยาแก้ท้องเสียร่วมด้วย
ผิวหนังจะถูกแสงแดดเผาได้ง่าย นำนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด สวมเสื้อแขนยาว หรือ ทาโลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF (Sun protection factor) มากกว่า 15 เท่า
มีแผลในทางเดินอาหารตั้งแต่ที่ริมฝีปาก ในช่องปากและเยื่อบุทางเดินอาหาร ควรแปรงฟันเบาๆและ บ้วนปากวันละหลายครั้งๆด้วยน้ำยาบ้วนปากสูตรไร้แอลกอฮอล์หรือมีส่วนผสมของเกลือ
ผมร่วง แต่ผมจะงอกขึ้นใหม่หลังหยุดยา
กดการสร้างเม็ดเลือด (myelosuppression) และการกดการทำงานของไขกระดูก (bone marrow suppression)
ยากลุ่มสารสกัดจากพืชธรรมชาติ (Natural and semi-synthetic products)
ยากลุ่ม vinca alkaloids
กลไกการออกฤทธิ์
ยาจะไปจับกับโปรตีน tubulin ทำให้ยับยั้งการ ประกอบ microtubules ยับยั้งการประกอบตัวของ mitotic spindle เซลล์หยุดการเจริญเติบโตในระยะ metaphase (M phase; ระยะที่มีการแบ่งตัวแบบ mitosis)
Vincristine (VCR): Oncovin
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด acute (ymphocytic leukemia, มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's และ non-Hodgkin tymphoma, มะเร็งหลายชนิดในเด็กได้แก่ Milms tumor (เนื้องอกของไต ) Ewing's sarcoma มะเร็งในกระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
Vinblastine (VLB): Velban
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษา non-small cell tung cancer และมะเร็งเต้านม ผลข้างเคียงจากยากลุ่ม vinca alkaloids Vincistine มีพิษต่อระบบประสาทกล้ามเนื้อ เช่น ชาตามปลายมือปลายเท้า เดินเซ (ataxia) และอาจทาให้กล้ามเนื้อฝ่อลีบ Vinblastine และ vinorelbine กดไขกระดูกมากกว่า vincristine
ผลข้างเคียง
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเดิน ปวดท้อง เม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ด เลือดต่ำ ซีด ความดันโลหิตต่ำ อาจพบการอักเสบของหลอดเลือดดำ (phlebitis) บริเวณที่ให้ยา
ยากลุ่ม taxanes
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งที่ศีรษะและคอ (head and neck cancers) นอกจากนั้น ยา Cabaritaxel ยัง สามารถใช้ร่วมกับ steroids ในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากระยะแพร่กระจายและดื้อต่อยา
ผลข้างเคียง
ปฏิกิริยาแพ้ยา เช่น ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก การให้ยา steroids หรือ antihistamine ล่วงหน้าอาจจะช่วยบรรเทาอาการได้
ผลต่อทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน
Packlitaxel ถ้าใช้หลายครั้งอาจทำให้เกิดภาวะคั่งน้ำในร่างกาย (uid retention) ซึ่งอาจรุนแรงถึง ขั้นเกิดปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ได้
อวัยวะส่วนปลายบวม โดยเฉพาะ ยา Docetaxel พบมากกว่ายาตัวอื่น
กดไขกระดูก ทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ โดยเฉพาะ ยา Docetaxel จะกดไขกระดูกมากกว่ายาตัวอื่น
ปลายประสาทผิดปกติ
กลไกการออกฤทธิ์
ยาจะไปจับกับ 8-tubulin ทำให้เพิ่มการก่อตัวเป็น microtubules แต่ยับยั้งการ
สลายของสาย microtubules ทำให้การแบ่งเซลล์ไมโตซิสไม่สมบูรณ์โดยหยุดชะงักที่ระยะ anaphase
. ยามะเร็งมุ่งเป้า (Targeted gene therapy)
ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal antibodies)
Trastuzumab (Herceptin)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปแล้ว
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวคั่ง (congestive heart failure) เป็นผลข้างเคียงที่สำคัญ
กลไกการออกฤทธิ์
ยาจะไปจับกับ human epidermaid growth factor receptor 2 (HER-2) ซึ่ง receptor ชนิดนี้เกี่ยวข้องกับ
tyrosine kinase ที่มีมากในมะเร็งเต้านม ทำให้ HER-2 receptor ไม่สามารถส่งสัญญาณไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของ เซลล์มะเร็งได้
Rituximab (Rituxan )
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด B-cell lymphoma
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิด infusion reaction ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
กลไกการออกฤทธิ์
ยาไปจับกับ CD20 ที่ผิว B cell ได้ หลังจากที่จับกัน แล้วจะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้มากำจัดเซลล์มะเร็ง เกิด การตายของเซลล์มะเร็งในที่สุด
Cetuximab (Erbitux®)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษา มะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอ และมะเร็งลำไส้ส่วนล่าง (colorectal cancer) ชนิด squamous cell carcinoma
ผลข้างเคียง
ในระยะแรก อาจทำให้ความดันต่ำ และหายใจลำบากได้
กลไกการออกฤทธิ์
ไปจับที่ epidermal growth factor (EGFR) ทำ ให้ไม่สามารถรับสัญญาณที่จะไปกระตุ้น การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
Alemtuzumab (Campath)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด B-cell chronic lymphocytic leukemia (BCLL)
กลไกการออกฤทธิ์
ไปจับกับ CD52 ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบได้ในเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งชนิด B cell หรือ T cell แล้วจะไปกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้มากำจัดเซลล์มะเร็งต่อไป
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิด infusion reaction ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
ยาโมเลกุลขนาดเล็ก (Small molecules)
Imatinib (Gleevec)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษา gastrointestinal stromal tumor ซึ่งเป็นมะเร็งลำไส้ที่พบได้น้อยชนิดหนึ่งและมะเร็งเม็ดเลือดขาว
(leukemia) โดย Imatinib จัดเป็น small-molecule drug ที่สามารถผ่าน เข้าสู่เยื่อหุ้มเซลล์ไปออกฤทธิ์ที่ target ได้โดยตรง
Dasatinib (Sprycel)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด chronic SPRYCEE myeloid leukemia และ acute lymphoblastic leukemia และรักษามะเร็งที่ ดื้อต่อยา Imatinib ได้
Nilotinib (Tasigna)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษา chronic myeloid Tasigna leukemia และรักษามะเร็งที่ดื้อต่อยา Imatinib ได้ ปฏิกิริยาระหว่างยา ยับยั้งเอนไซม์ CYP450 เช่น CYP3A4, CYP2C9 และ CYP2D6 ถ้าหากให้ร่วมกับยา Warfarin, Theophyline จะทำให้ระดับยาเหล่านี้ในกระแสเลือดสูงขึ้น เกิดพิษจากยาได้ ยาต้านเชื้อราในกลุ่ม Azole และ Erythromycin ลดการทำลายและขับยา Imatinib ทำให้ระดับยา Imatinib ในกระแสเลือดสูงขึ้น เกิดพิษจากยาได้
. ยากลุ่ม อื่น ๆ (Other anticancer agents)
Asparaginase
กลไกการออกฤทธิ์
ยาจะไปเร่งปฏิกิริยา hydrolysis ทำให้ เซลล์มะเร็งขาดสารจำเป็นที่จะนำไปสร้างการเจริญเติบโตและสร้างโปรตีน ทำ ให้เซลล์ไม่สามารถสังเคราะห์และสร้างตัวเองได้
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้ในการรักษา ALL ในเด็ก โดยใช้ ร่วมกับ Vincristine และ Prednisone
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง อาจทำให้เสียชีวิตได้ ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบ พิษต่อตับ ชัก และ โคม่าได้
Mitotane
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษามะเร็งต่อมหมวกไตชั้นนอก (Adrenocortical carcinoma)
ผลข้างเคียง
อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า (Depression) มีนศีรษะ (Dizziness) มีผื่น (Skin rash) รบกวนทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อุจจาระร่วง เป็นต้น และทำให้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง
กลไกการออกฤทธิ์
รบกวนการทำงานของไมโตครอนเดรียในเซลล์ต่อมหมวก ไตชั้นนอก ทำให้ฝ่อลงและลดการสร้าง Cortisol