Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่4 การบริหารยา 4.1 การบริหารยากินและยาเฉพาะที่image - Coggle Diagram
บทที่4 การบริหารยา
4.1 การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
เพื่อการรักษา
รักษาตามอาการ :Paracetamal , Plasil รักษาเฉพาะ
รักษาเฉพาะโรค : Antibiotic
ทดแทนสิ่งท่ีร่างกายขาด : Ferrous sulfate
ให้ร่างกายทางานตามปกติ : Digitalis
เพื่อการป้องกันโรคและการส่งเสริมสุขภาพ
Vaccine BCG ป้องกันวัณโรคและ Vitamin
เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
กลืน Barium sulfate ผู้ป่วยทำ X-ray
ฉีดสาร Iodine ผู้ป่วยทำIVP
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
เพศ
ผู้ชายมีขนาดตัวใหญ่กว่าผู้หญิง น้ำหนักย่อมมากกว่า ถ้าได้รับยาขนาดเท่ากัน ยาจะมี ปฏิกิริยาต่อผู้หญิงมากกว่ผู้ชาย
กรรมพันธุ์
บางคนอาจมีความไวผิดปกติต่อยาบางชนิด บางคนแพ้ยาง่าย ซึ่งอาจเกิดจาก พันธุกรรม
ภาวะสุขภาพ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีอาการป่วย เมื่อได้รับยาจะมีผลต่อการแสดงออกของฤทธิ์ ยาต่างจากคนปกติ
เวลาที่ให้ยา
ยาบางชนิดต้องให้เวลาที่ถูกต้องยาจึงออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ เช่น ยาปฏิชีวนะ บางชนิดต้องให้ก่อนอาหาร จึงจะดูดซึมได้ดี
อายุและน้ำหนักตัว
เด็กเล็ก ๆ ตับและไตยังเจริญไม่เต็มที่ ผู้สูงอายุมาก ๆ การทำงานของตับ และไตลดลง จึงทำให้ยามีปฏิกิริยามากขึ้น ขนาดของยาที่ให้จึงต้องน้อยกว่าคนปกติ ส่วนคนที่มีน้ำหนักตัว มากต้องได้รับขนาดของยาเพิ่มสูงขึ้น
ภาวะจิตใจ
เช่น ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่ได้รับยาเคมีบำบัดบางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มาก โดยมีสาเหตุมาจากจิตใจ เป็นการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขจากการเรียนรู้และจดจำประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการได้รับยาเคมีบำบัดครั้งก่อน
ทางการให้ยา
ยาที่ให้ทางหลอดเลือดจะดูดซึมได้เร็วกว่ายาที่ให้รับประทานทางปำก
สิ่งแวดล้อม
ยาที่รักษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางชนิด ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ เพื่อจะได้ พักผ่อน
ระบบการตวงวัดยา
ระบบเมตริก
1 กรัม = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี)
1 ลิตร = 1000 มิลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ลิตร = 1000 มิลิลิตร (ซี.ซี.)
1 กิโลกรัม = 1000 กรัม
1 กรัม = 1000 มิลลิกรัม
1 มิลิกรัม = 1000 ไมโครกรัม
การเปลี่ยนหน่วย ระบบอโพทีคารี เป็น ระบบเมตริก
1 แดรม = 4 กรัม
1 แดรม (dram) = 4 มิลลิลติร (ซี.ซี.)
1 เกรน (grain) = 60 มิลลิกรัม (mg
15 เกรน (grain) = 1 กรัม (gram) gm )
1 ออนซ์ = 30 กรัม (30 ซี.ซี.)
2.2 ปอนด์ = 1000 กรัม (1 กิโลกรัม)
1 ปอนด์ = 450 กรัม
ระบบอโพทีคารี
20 grain (gr.) = 1 scruple
3 scruple = 1 dram (z)
8 dram (z) = 1 ounce (oz)
12 ounce (oz) = 1 pound
ระบบมาตรตวงวัดประจำบ้าน
15 หยด=1 มิลลิลติร (ซี.ซี.)
1 ช้อนชา = 5 มิลลิลติร (ซี.ซี.)
1 ช้อนหวาน = 8 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ช้อนโต๊ะ =15 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยชา = 180 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ถ้วยแก้ว = 240 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
ความถี่การให้ยา
OD (omni die )=วันละ 1 ครั้ง
bid (bis in die) = วันละ 2 ครั้ง
tid( ter in die) = วันละ 3 ครั้ง
qid (quarter in die) = วันละ 4 ครั้ง
q 6 hrs (quaque 6 hora ) = ทุก 6 ชั่วโมง
วิถีทางการให้ยา
ตัวย่อ SCความหมาย เข้าชั้นใต้ผิวหนัง
ตัวย่อ V ความหมาย เข้าหลอดเลือดดำ
ตัวย่อ M ความหมาย เข้ากล้ามเนื้อ
ตัวย่อ ID ความหมาย เข้าชั้นระหว่ำงผิวหนัง
ตัวย่อ subling ความหมาย อมใต้ลิ้น
ตัวย่อ Inhal ความหมาย ทางสูดดม
ตัวย่อ O ความหมาย รับประทานทางปาก
ตัวย่อ Nebul ความหมาย พ่นให้สูดดม
ตัวย่อ Supp ความหมาย เหน็บ / สอด
ตัวย่อ instill ความหมาย หยอด
เวลาการให้ยา
a.c. (ante cibum ) = ก่อนอาหาร
p.c. (post cibum ) = หลังอาหาร
h.s. (hora somni ) = ก่อนนอน
p.r.n. (pro re nata ) = เมื่อจำเป็น
stat (statim ) = ทันทีทันใด
คำสั่งแพทย์ คำนวณขนาดยา
5.1 คำสั่งแพทย์
การเขียนคําสั่งแพทย์มี 4 ชนิดได้แก่
5.1.1 คําสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป
5.1.2 คําสั่งใช้ภายในวันเดียว
5.1.3 คําสั่งที่ต้องให้ทันที
5.1.4 คําสั่งที่ให้เมื่อจําเป็น
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
1) ชื่อของผู้ป่วย จะต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุลของผู้ป่วย
2) วันที่เขียนคําสั่งการรักษา
3) ชื่อของยา
4) ขนาดของยา
5) วิถีทรงการให้ยา
6) เวลาและความถี่ในการให้ยา
7) ลายมือผู้สั่งยา
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
1) ทางปาก (oral)ดูดซึมทางระบบเดินอาหาร-ลำไส้
ใช้อม - lozenge
ชนิดเม็ด tablet
Celebrex 100 mg 1 tab oral bidpc
ชนิดแคปซูลcapsule
Tetracycline 250 mg 2 caps o qidpc
ชนิดน้ำsyrup,mixture,elixir,emulsion
Paracetamal syrp 250 mg 15 cc o PRN q 4-6 hrs for fever
2) ทางสูดดม (inhalation)ดูดซึมทางระบบทางเดินหายใจ
ใช้พ่น ชนิดสเปรย์spray inhalation
Bricanyl 1-2 drops inhal bid
Bricanyl 1-2 puff nebul bid
3) ทางเยื่อบุ (mucous) ดูดซึมทางระบบไหลเวียนเลือด
ชนิดสารละลาย(aqueous solution) instilate
Sancoba 1-2 drops instill eye bid
ชนิดเม็ด tablet sublingual
Nitroglycerine 1 tab SL bid
ชนิดเหน็บ/ สอดใส่ suppository
Micoznazole 1 tab supp HS
4) ทางผิวหนัง (skin)ดูดซึมทางผิวหนัง
ชนิดทา lotion, cream ointment
Hand E Blam applied bid
5) ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular) ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อของผู้ป่วย
Paracetamal 1 amp M PRN q 4-6 hrs for fever
ใช้ฉีด (parenteral) aqueous solution
6) ทางชั้นผิวหนัง (intradermal)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าที่ใต้ผิวหนังของผู้ป่วยโดยดูดซึมเข้าระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นใต้ผิวหนัง ชนิดของการปรุงยาเป็น ลักษณะสารละลาย (Aqueous solution) เท่านั้น
7) ทางหลอดเลือดดำ (intravenous)
ยาที่ใช้ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วย โดยเข้าสู่ระบบไหลเวียน เลือดโดยตรง ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะยาที่ละลายในน้ำ(Aqueous solution) เท่านั้น
8) ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous / hypodermal)
Lasix 80 mg iv if urine < 30 cc/hr
ใช้ฉีด (parenteral) aqueous solution
5.2 คำนวณขนาดยา
หลักการคำนวณดังนี้
ความเข้มข้นของยา (ในแต่ละส่วน)=ขนาดความเข้มข้นของยาที่มี/ปริมาณยาที่มี
รูปแบบการบริหารยา
หลัก 11 ข้อ
Right patient/client (ถูกคน)
ให้ยาผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่ง
ให้ยาแก่ผู้ป่วยถูกคน
การสั่งจ่ายยาให้ถูกชื่อผู้ป่วย
เช็คชื่อผู้ป่วยกับ ป้ายชื่อข้อมือ
ถามชื่อผู้ป่วย “คุณ ชื่ออะไรคะ”
เทียบชื่อผู้ป่วยกับใบMAR
Right drug (ถูกยา) คือกมาให้ยาถูกชนิด
อ่านชื่อยา < 3 ครั้ง
ก่อนหยิบภาชนะใส่ยาออกจากที่เก็บ
ก่อนเอายออกจากภาชนะใส่ยา
ก่อนเก็บภาชนะใส่ยาที่หรือก่อนทิ้งภาชนะใส่ยา
การให้ยาถูกชนิด
อ่านชื่อยาในใบ MAR ทุกครั้ง
Right dose (ถูกขนาดยา)
คำนวณยาถูกต้อง
ไม่ต่อยาโดยแพทย์ไม่ได้สั่ง
การให้ยาถูกขนาด ถูกความเข้มข้น
ไม่ลืมให้ยาโดยการข้ามไปให้เวลาใหม่
Right time (ถูกเวลา)
ให้ยาถูกเวลา/ ตรงเวลา ความถี่ตามวงรอบเวลาที่ให้
ไม่ลืมให้ยาและให้เมื่อนึกได้
ให้ยาก่อน/ หลังอาหาร
ไม่หยดยาเร็ว/ นานกว่าที่แพทย์สั่ง
Right route (ถูกวิถีทาง)
ยาไม่ผิดช่องทาง
ยาถูกข้าง
เป็นไปตามที่แพทย์สั่ง
ให้ยาถูกวิถีทาง
Right technique (ถูกเทคนิค)
เทคนิคการเตรียมยา
เทคนิคการฉีดยาที่เหมาะสม
ให้ยาถูกตามวิธีการ
การผสมยาถูกเทคนิค
ไม่บดยาที่ไม่ควรบด
ไม่เดินยาเร็วเกินไป เช่น IV push
Right documentation (ถูกการบันทึก)
ลงนามเวลาเดียวกับที่ให้ยากับ ผู้ป่วยในเอกสาร
บันทึกการลงลายมือชื่อผู้ให้ยา วัน เวลาที่ให้ยา ชื่อยาที่ให้ ปริมาณที่ให้ทางที่ให้ยา
การบันทึกการให้ยาที่ถูกต้อง
Right to refuse(สิทธิที่จะปฏิเสธการใช้ยา)
แต่ว่าถ้าผู้ป่วยไม่ยอมรับก็เป็นสิทธิของผู้ป่วย แต่การปฏิเสธน้ัน ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย และ บันทึกการปฏิเสธการรับยาของผู้ป่วย
ถ้าผู้ป่วยปฏิเสธการรับยา พยาบาลต้องอธิบายถึงผลที่เกิดขึ้นของ การไม่รับยา
ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย
Right History and assessmen(การตรวจสอบประวัติการแพย้าและทำการประเมินถูกต้อง)
สอบถามข้อมูล/ ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยทุกคร้ัง
ถ้าคาดว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัยในการให้ยาควรตรวจสอบซ้ำ
ซักประวัติและการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา
ถ้าผู้ป่วยแจ้งประวัติการแพ้ยาต้องส่งต่อข้อมูลติดประวัติแพ้ยา
หลังการให้ยาต้องประเมินให้แน่ใจว่ายาทำงานตามที่ควรจะเป็นมีการทานยาอย่างสม่ำเสมอการสังเกตอย่างต่อเนื่องถ้าจำเป็น
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation (การตรวจสอบปฏิกิริยาระหว่างกันของยา และการประเมินถูกต้อง )
เมื่อให้ร่วมกนัจะมีผลทำให้ยาออกฤทธิ์มากขึ้นหรือน้อยลง หรือมีผลต่อ ประสิทธิภาพยา ระยะเวลาที่ยาคงอยู่ในร่างกายเป็นอย่างไร
เมื่อมีการให้พร้อมกนัก่อนการให้ยาในกรณีที่มีการให้ยามากกว่า 1 ชนิดแก่ ผู้ป่วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยา หรือถ้าจำเป็นจะได้มีมาตรการในการ รองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
การที่จะต้องให้ยาร่วมกันจะต้องดูก่อนว่ายาน้ันสามารถให้ร่วมกันได้ไหม
Right to Education and Information (การให้ความรู้ และข้อมูลถูกต้อง)
ผู้ป่วยและญาติมีสิทธิที่จะได้รับรู้ในเรื่องของยาที่ต้องได้รับ
ต้องอธิบายให้ ผู้ป่วย/ ญาติได้รับรู้ความเข้าใจในการแพ้ยาของผู้ป่วย เพื่อช่วยกันในการสร้างความปลอดภัยในการให้ยา
ต้องแจ้งชื่อยาที่จะให้ทางที่จะให้ยาผลการรักษาผลข้างเคียงของยาที่ อาจจะเกิดและอาการที่ต้องเฝ้าระวังก่อนการให้ยาทุกครั้ง
หลักสำคัญในการให้ยา
ทราบวัตถุประสงค์การวินิจฉัยโรคผลของยาฤทธิ์ข้างเคียงของยา
ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาเขียนป้ายติดที่แผ่นรายงานการรักษาอย่างชัดเจน
ตรวจสอบOder ก่อนให้ยาทุกครั้ง
ตรวจสอบวันหมดอายุของยา
ยาทางปากใช้หลักสะอาดฉีดยาใช้หลัก Aseptic technique
ไม่ให้ยาที่ฉลากลบเลือนไม่ชัดเจน ไม่ควรเทยากลับไปในขวดเดิมอีก
ไม่ควรเตรียมยาค้างไว้ผู้เตรียมยาและผู้ให้ยาควรเป็นคนเดียวกัน double check
บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียง
ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกคร้ัง
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาล
ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันที
มีการประเมินประสิทธิภาพของยาที่ให้
สังเกตอาการก่อนและหลังการให้ยา
กรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาลหัวหน้าเวรรับทราบ เพื่อหาทางแก้ไข
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
7.2 การให้ยาเฉพาะที่
ใช้หลักการบริหารยา 6 Rights
การใช้งานทางหู (Ear instillation)
หยอดยาเข้าไปในช่องหูชั้นนอก ยาที่ใช้เป็นยาน้ำออกฤทธิ์เฉพาะเยื่อบุในช่องหู
วิธีการให้ยาทางหู
1.ถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย ตรวจสอบให้ตรงกับใบ MAR
2.แจ้งผู้ป่วยให้ทราบ ข้อปฏิบัติที่ผู้ป่วยต้องกระทำ ฤทธิ์ข้างเคียงและอาการแพ้ยา
3.อุ่นยาให้มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิกาย
4.ล้างมือและทำความสะอาดใบหูด้วย ผ้าชุบน้ำ เช็ดให้แห้ง
5.เอียงหู หรือนอนตะแคง ให้หูข้างที่จะหยอดอยู่ด้านบน
6.ดูดยาและหยอดยาตามจำนวนหยด ดึงใบหูขึ้นไปละไปข้างหลัง หากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ให้ดึงใบหูลงข้างล่างและไปข้างหลัง
7.เอียงหูข้างนั้นไว้ 2-3 นาที หรือใช้สำลีอุดหูไว้ 5 นาที
การหยอดจาจมูก (Nose instillation)
วิธีการการหยอดยาจมูก
1.เงยหน้า ยกปีกจมูกผู้ป่วยข้างที่จะหยอดยาขึ้นเบาๆ
2.หยดยาผ่านทางรูจมูกห่างประมาณ 1-2 นิ้ว
3.อยู่ในท่าเดิม 5 -10 นาที
การให้ยาทางตา (Eye instillation)
วิธีใช้ยาหยอดตา
2.แจ้งผู้ป่วยให้ทราบเกี่ยวกับยาที่ผู้ป่วยจะได้รับ
3.อุ่นยาให้มีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิกาย
4.ล้างมือให้สะอาด ทำความสะอาดตาด้วยสำลีชุบ NSS
5.โดยเช็ดจากหัวตาไปหางตา
6.นอนหรือนั่งแหงนหน้ามองขึ้นข้างบน ดึงเปลือกตาล่างข้างที่จะหยอดยาลง
7.หยดลงไปบริเวณ Conjunctiva sac ห่างประมาณ 1-2 นิ้ว*
8.ใช้มือกดเบา ๆ ที่ข้างจมูกหัวตาไว้ประมาณ 1-2 นาที
การป้ายยาตา
หยอดตรง Conjunctiva sac1.ถามชื่อ-สกุลผู้ป่วย ตรวจสอบให้ตรงกับใบ MAR
การเหน็บยา
วิธีการเหน็บยาทางทวารหนัก (Rectum suppository) ให้นอนตะแคงข้างซ้าย และพยาบาลใส่ถุงมือสะอาด
1.ยกแก้มก้นขึ้นจนเห็นรูทวารหนักชัดเจน
2.สอดใส่เม็ดยาเข้าไปแล้วใช้นิ้วชี้ดันยาพร้อมเขี่ยเม็ดยาให้กระดกขึ้น เพื่อชิดผนังทวารหนัก ยาเข้าไปลึกประมาณ 3-4 นิ้ว / จนสุดนิ้วชี้
การเหน็บยาทางช่องคลอด
1.ทำหลังจากการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
2.ให้ผู้ป่วยนอนหงาย และพยาบาลใส่ถุงมือปราศจากเชื้อ
3.สอดใส่เม็ดยาหรือแท่งเข้าไปทางช่องคลอด ใช้นิ้วชี้ดันยาเข้าไปลึกประมาณ 2-3 นิ้ว / จนเกือบสุดนิ้วชี้
การสูดดม (Inhalation)
ให้ยาในรูปของก๊าซไอระเหย/ ละอองเข้าสู่ทางเดินหายใจ ดูดซึมในส่วนลึกของระบบทางเดินหายใจที่มีเส้นเลือดขนาดเล็กอยู่มาก
ทางที่พ่นยามีทั้งการพ่นทางจมูก ทางปาก และทางท่อช่วยหายใจ
7.1 การให้ยาทางปาก
ยาที่สามารถรับประทานทางปากได้
อาจเป็นชนิดยาเม็ด ยาแคปซูล ยาผง หรือยาน้ำ
ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
1.ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหาร ให้กินหลังอาหาร/ นม(ยกเว้นTetracyclin ห้ามกินพร้อมนม)
ยาเม็ดที่ให้เวลาเดียวกัน รวมกันได้
ยาน้ำเทในใส่แก้วยา ถ้ายาเกินให้เททิ้ง
ยาผงให้ใช้ช้อนตวง ปาดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาลดกรด ให้อันดับสุดท้าย
ยาอมใต้ลิ้น ให้หลังจากยาอื่น ห้ามกลืน/ เคี้ยวออกฤทธิ์ภายใน 15-30 นาที ให้นั่งพักขณะอมยา
การบริหารยาให้ถูกหลักการ
1.ตรวจเตียง ชื่อ-นามสกุลผู้ป่วย ใน MAR ให้ตรงกัน
2.ตรวจชื่อยา ขนาด เวลาให้ยาใน MAR
3.เตรียมยาให้ตรงกับ MAR ของผู้ป่วย
4.อ่านฉลากยาให้ตรงกับ MAR
5.เทยาให้ตรงกับจำนวน/ ขนาดใน MAR
การเตรียมยาตามขั้นตอน
unit dose หยิบยาใส่ถ้วยยาจำนวนที่แพทย์สั่ง
multidose เทยาจากซองยา/ ขวดที่บรรจุยา/foil โดยที่ไม่ให้มือสัมผัสยา
ยาน้ำ ให้หันป้ายยาหรือฉลากยาเข้าหาฝ่ามือ
ดูชื่อยา ขนาดยา ให้ตรงกับใบ MAR
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาตรงตามเวลาในใบ MAR
ดูเบอร์เตียง ถามชื่อ -สกุลผู้ป่วยให้ตรงกับใบ MARตรวจดูป้ายชื่อที่ข้อมือ เพื่อระบุตัวผู้ป่วย
แจกยาให้ผู้ป่วยรับประทานในเวลาที่กำหนด +,- 30 นาที
ประเมิน vital signs ก่อนให้ยาในกรณีที่ยามีผลต่อ V/S
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าจนกลืนยาเรียบร้อย
สังเกตการเปลี่ยนแปลงหลังรับประทานยา &ประเมินผล
บันทึกในแผนการพยาบาล และใน MAR ทุกครั้งหลังให้ยา
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
8.1 ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา
สั่งยาผิดขนาด
สั่งยาผิดชนิด
สั่งยาที่มีประวัติแพ้
ผิดวิถีทาง
ลายมือไม่ชัดเจน
ผิดความถี่
8.2 ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา
กระบวนการคัดลอกคำสั่งใช้ยา
จากคำสั่งใช้ยาต้นฉบับ ผิดพลาด
8.3 ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา
กระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา
8.4 ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
รับยาผิดไปจากความตั้งใจในการสั่งยาของผู้สั่งใช้ยา จำแนกได้ 11 ข้อ (11R)
การให้ยาผิดวิถีทาง
การให้ยาผิดเวลา
การให้ยาผิดขนาด
การให้ยามากกว่าจำนวนครั้งที่สั่ง
การให้ยาผู้ป่วยผิดคน
การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด
การให้ยาซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง
การให้ยาผิดเทคนิค
การให้ยาผิดชนิด
การให้ยาผิดรูปแบบยา
การให้ยาไม่ครบ
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
บทบาทของพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
พยาบาลต้องตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์
ซักประวัติการแพ้ยา
สติ๊กเกอร์สีแสดงขอบ OPD Card
ดูรายละเอียดใน OPD Card
ติดสติ๊กเกอร์สีบน chart ผู้ป่วย
ปั้มตรายางทุกหน้าใบ order
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร ลงคำสั่งในใบลงยาทุกครั้ง
ระมัดระวังในการจัดยา โดยเฉพาะยาน้ำ
เวรบ่าย ตรวจสอบรายการยาใน MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกันและดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
เขียนป้าย NPO ระบุ เพื่อผ่าตัด /หรือเจาะเลือด
เขียนคำว่า + ยา B co 2 c.c. ด้วยปากกาเมจิก อักษรตัวใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจน
จัดยาตามหน้าซองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้อง
มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบ คนละคนกันตรวจสอบช้ำก่อนให้ยา
แจกยาไล่ตามเตียง/เซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยาตรวจดูยาในลิ้นชักของผู้ป่วยทุกเตียงจนเป็นนิสัย
ให้ยึดหลัก 7R อย่างเคร่งครัด
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
ประเมินอาการข้างเคียงจากการใช้ยา
ประเมินอาการที่ดีขึ้นหรือเลวลง
การประเมินประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา และประวัติการแพ้ยา/แพ้อาหาร
ติดตามความร่วมมือใน การใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
การส่งต่อ
สามารถร่วมพิจารณา การเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น
ใช้ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของยาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง
พิจารณา ข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยเพื่อประกอบการปรับขนาดยา หยุดการให้ยาหรือเปลี่ยนยา
พิจารณาโรคร่วม ยาที่ใช้อยู่ การแพ้ยา ข้อห้ามการใช้ยา และคุณภาพชีวิตที่อาจส่งผล กระทบต่อการเลือกใช้ยา
คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วย
พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้ยาหรือการรักษาแบบไม่ใช้ยา ในการรักษาและการส่งเสริมสุขภาพ
พัฒนาความรู้ให้เป็นปัจจุบัน ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
ประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาและไม่ใช้ยา
เข้ำใจเรื่องเชื้อดื้อยา และแนวทางการป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยา
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา โดยพิจารณาจากข้อมูลทางเลือกที่ถูกต้อง เหมาะสมกับบริบทและเคารพในมุมมองของผู้ป่วย
ชี้แจงทางเลือกในการรักษา ยอมรับในการตัดสินใจเลือกแผนการรักษาและเคารพในสิทธิของผู้ป่วย
ระบุและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล ค่านิยม ความเชื่อ และความคาดหวัง เกี่ยวกับ สุขภาพและการรักษาด้วยยา
อธิบายเหตุผล และความเสี่ยง/ประโยชน์ของทางเลือกในกำรรักษาที่ผู้ป่วย/ผู้ดูแลเข้าใจได้
ประเมินความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ด่วนตัดสิน และเข้ำใจ เหตุผลในการไม่ร่วมมือของผู้ป่วย
สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย/ผู้เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
ทำความเข้าใจกับการร่วมปรึกษาหรือก่อนใช้ยา
บริหารยาตามคำสั่งใช้ยาได้
คำนึงถึงโอกาสที่จะเกิดการใช้ยาผิด
ใช้ข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
ตรวจสอบและคำนวณการใช้ยาให้ถูกต้อง
ใช้ระบบที่จำเป็นเพื่อการบริหารยาอย่างมีประสิทธิภาพ
เข้าใจการสั่งจ่ายยาของแพทย์ตามกรอบบัญชียาหลักแห่งชาติ
สื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับยาและการใช้ยาแก่ผู้เกี่ยวข้องเมื่อต้องมีการส่งต่อข้อมูลการรักษา
ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ตระหนักและจัดการแก้ไขปัญหา
6.สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้
ต้องมีการติดตามประสิทธิภาพของการรักษาและอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา
ค้นหาและรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาโดยใช้ระบบการรายงานที่เหมาะสม
ทบทวนแผนการบริหารยาให้สอดคล้องกับแผนการรักษาที่ผู้ป่วยได้รับ
ปรับแผนการบริหารยาให้ตอบสนองต่ออาการและความต้องการของผู้ป่วย
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
พัฒนาหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอในประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยา
รายงานความคลาดเคลื่อนในการใช้ยา และ ทบทวนการปฏิบัติเพื่อป้องกัน การเกิดซ้ำ
ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการสั่งยาผ่านสื่่อหรือบุคคลอื่น
บริหำรยำอย่ำงปลอดภัย ตำมกระบวนกำรบริหำรยำ
รู้เกี่ยวกับชนิด สาเหตุ ของความคลาดเคลื่อนทางยาที่พบบ่อย และวิธีการป้องกันการ หลีกเลี่ยง และการประเมิน
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์
รู้และทำงานภายใต้กฎหมาย และระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการสั่งยา
ยอมรับความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการสั่งยาและเข้าใจในประเด็นกฎหมายและจริยธรรม
มั่นใจว่าพยาบาลสามารถสั่งจ่ายยาได้ตามพรบ.วิชาชีพและพรบ.ยาแห่งชำติ
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยาได้อย่างต่อเนื่อง
เข้าใจและใช้เครื่องมือหรือกลไกที่เหมาะสมในการปรับปรุงการบริหารยาและการสั่งยา
สะท้อนคิดการบริหารยาของตนเองและการสั่งยาของผู้เกี่ยวข้อง
5.สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ
แนะนำผู้ป่วย/ผู้ดูแลเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในเรื่องยา และการรักษา
สร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วย/ผู้ดูแล ว่าจะจัดการอย่ำงไรในกรณีที่มีอาการไม่ดีขึ้นหรือการ รักษาไม่ก้าวหน้ำในช่วงเวลาที่กำหนด
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ชัดเจน เข้าใจได้ง่าย และเข้าถึงได้กับผู้ป่วย
สนับสนุนผู้ป่วย/ผู้ดูแลใหม่ส่วนรับผิดชอบในการจัดการตนเองเรื่องยาและภาวะเจ็บป่วย
ตรวจสอบความเข้าใจและความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้ป่วย
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
สร้างสัมพันธภาพกับทีมสหวิชาชีพ บนพื้นฐานของความเข้าใจ ความไว้วางใจและ ยอมรับในบทบาทของสหวิชาชีพ
มีส่วนร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อให้มั่นใจว่าการดูแลมีความต่อเนื่อง
กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่
การประเมินสภาพ
ประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูหน้าที่การทำงานของ ตับ ไต
การได้รับสารน้ำเพียงพอหรือไม่
ประวัติการแพ้ยา
ความรู้ความเข้าใจเรื่องยาที่ได้รับ
ประเมินดูว่าผู้ป่วยมีข้อห้ามในการให้ยาทางปากหรือไม่
การปฏิบัติตัวในการได้รับยา
การวินิจฉัยการพยาบาล
ดูว่าผู้ป่วยมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาที่จะได้รับยาขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ประเมินมา
การวินิจฉัยพยาบาล
เสี่ยงต่อการสำลักเนื่องจาก…………………..
ขาดความรู้เกี่ยวกับยาเนื่องจาก……………………
การกลืนบกพร่อง เนื่องจาก …………………..
การวางแผนการพยาบาล
หลังจากได้ข้อมูลและปัญหาหรือข้อบ่งชี้ในการให้ยาแล้วทำการวางแผนหาวิธีการว่าจะให้ยาอย่างไร ผู้ป่วยจึงจะได้ยาถูกต้อง ครบถ้วน ผู้ป่วยไม่เจ็บปวดหรือได้รับอันตราย
การวินิจฉัยพยาบาล
สามารถรับยาได้จนครบ
ผลของยามีประสิทธิภำพ
ไม่มีอาการไม่พึงประสงค์
ไม่มีอาการแพ้ยำ
ไม่เกิดอาการสำลัก
กำรวำงแผนกำรพยำบำลผู้ป่วยที่ได้รับยำ
ช่วยให้ได้รับประทานยา…………..ให้ครบตามแผนการรักษา
ดูแลให้ได้รับยา………….ตามแผนการรักษา
การปฏิบัติการพยาบาล
ช่วยให้รับประทานยาให้ครบตามแผนการรักษา
ปฏิบัติตามหลัก 7 right
ดูแลให้ได้รับยา……. ตามแผนการรักษา
การประเมินผล
ประเมินดูว่าเป็นไปตามเกณฑ์ การประเมินที่ตั้งไว้ในขั้นตอนการวางแผนหรือไม่
สามารถบอกการปฏิบัติตัวขณะได้รับยาได้ถูกต้อง
สามารถอธิบายวัตถุประสงค์ของการให้ยาได้ถูกต้อง
หลังจากได้รับยา 30 นาที ไม่มีอาการแพ้ยา