Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ :beginner: - Coggle Diagram
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ :beginner:
วัตถุประสงค์ของการให้ยา :ballot_box_with_check:
เพื่อการป้องกันโรคและการส่งเสริมสุขภาพ
เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
เพื่อการรักษา
คำสั่งแพทย์ และการคำนวณยา :1234:
Standingorder/ Orderfor continous
คือ คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป
เช่น Ofloxacin(200) 2 tabs bid.pcx 5 days
Stat order
คือ คำสั่งที่ต้องปฏิบัติทันที
เช่น Diclofenac 1 amp M stat
PRN order
คือ คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็นเมื่อผู้ป่วยมีอาการบางอย่างเกิดขึ้น
เช่นTramal 1 amp V PRN q 6 hrs for pain
Single order/ orderfor oneday
คือ คำสั่งใช้ภายในวันเดียว
เช่น Tramal(50) 1 cap q 6 hrs
ส่วนประกอบของ
คำสั่งแพทย์ (order)
ชื่อผู้ป่วย
วัน เวลา ที่สั่งยา
ชื่อยา
ขนาด/ความเข้มข้นของยา
เวลา ความถี่ในการให้ยา
ทางที่ให้ยา
ลายมือชื่อของแพทย์ที่สั่งยา
วิถีทางการให้ยา (Route)
1.ทางปาก (oral)
ใช้รับประทาน,ใช้อม,ชนิดเม็ด,น้ำcapsule,syrup,mixture,elixir,emulsion
ทางสูดดม(inhalation)
สเปรย์ spray inhalation
ใช้พ่น
ทางเยื่อบุ(mucous)
ใช้เหน็บทวารหนัก suppository
ใช้หยอด (instillate) aqueous solution
ใช้สอดช่องคลอด suppository
ใช้ล้าง (irrigate)solution
ใช้อมใต้ลิ้น (sublingual) tablet
ทางผิวหนัง (skin)
ใช้ทา lotion, ointment, paste
ใช้ทาถูนวด(inunction) liniment
ใช้โรยผิวหนัง powder
ใช้ท าลายเชื้อ incture, alcohol
ทางกล้ามเนื้อ (intramuscal)
ใช้ฉีด (parenteral) aqueous solution
ทางชั้นผิวหนัง (intradermal)
ใช้ฉีด (parenteral) aqueous solution
ทางใต้ผิวหนัง (Per subcutaneous/ Hypodermal)
TAT diluted skin test
ทํางหลอดเลือดด ํา (intravenous)
Lasix80 mg iv if urine < 30 cc/hr
ใช้ฉีด (parenteral) aqueous solution
กํารคำนวณขนาดของยํา
ตัวอย่าง
Clindamycin1เม็ดมี 150mg)แพทย์มีคำสั่งให้ Clindamycin(300mg)1X3 opcจะให้ผู้ป่วยรับประทานอย่างไร
วิธีทำ
Clindamycin 150 mg =1เม็ด
ต้องการยา 300 mg = 300 x 1 เม็ด =2เม็ด 150รับประทาน2 เม็ดวันละ 3ครั้งหลังอาหาร
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการออกฤทธิ์ขออยยา :check:
ภาวะจิตใจ
ภาวะสุขภาพ
กรรมพันธุ
ทางที่ให้ยา
เพศ
เวลาที่ให้ยา
อายุ & น้ำหนักตัว
สิ่งแวดล้อม
คำย่อและสัญลักษณ์
เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา :!?:
1) ความถี่การให้ยา
tid วันละ 3ครั้ง
qid วันละ 4ครั้ง
bid วันละ 2ครั้ง
q 2 hr ทุกๆ 2ชั่วโมง
OD วันละ 1ครั้ง
2) วิถีทางการให้ยา
o รับประทานทางปาก
IM เข้ากล้ามเนื้อ
SC เข้าใต้ผิวหนัง
IV เข้าหลอดเลือดดำ
ID เข้าระหว่างชั้นผิวหนัง
subling/ SL อมใต้ลิ้น
inhal ทํางสูดดม
supp เหน็บ/สอด
instill หยอด
3) เวลาการให้ยา
hs ก่อนนอน
PRN เมื่อจำเป็น
pc หลังอาหาร
stat ทันทีทันใด
ac ก่อนอาหาร
ระบบการตวงวัดยา :hourglass_flowing_sand:
2.ระบบเมตริก
1 กรัม = 1000มิลลิกรัม
1 มิลิกรัม = 1000ไมโครกรัม
1กิโลกรัม =1000กรัม
1 กรัม = 1มิลลิลิตร(ซี.ซี)
1 ลิตร= 1000มิลิลิตร(ซี.ซี.)
1.ระบบอโพทีคารี
20 grain (gr.) = 1scruple
8 dram (z) = 1 ounce (oz)
12 ounce (oz) = 1 pound
3 scruple = 1 dram (z)
3.ระบบมาตรตวงวัดประจำบ้าน
ช้อนหวาน = 8 C.C
1 ช้อนโต๊ะ = 15 C.C
1ช้อนชา = 5 C.C.1
1 ถ้วยชา = 180 C.C.
15 หยด = 1 C.C
1 ถ้วยแก้ว = 240 C.C
ตัวย่อที่พยําบําลต้องรู้
1tsp = 5 c.c.
1 grain = 60 mg
1 dram = 4 c.c.
30 gm = 1 ounce (oz)
1 gm = 1 c.c.
30 c.c. = 1 ounce (oz
7.การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่ :open_mouth:
1การให้ยาทางปาก
3.ยําชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปําดแล้วเทใส่แก้วยํา
4.ยาจิบแก้ไอควรให้ภํายหลังรับประทานยาเม็ดแล้วเพื่อให้ยาค้างอยู่ที่คอไม่ถูกน้ำล้างออก
2.การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้ ส่วนยาน้ำให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
5.ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้ายเพื่อช่วยลดอาการระคายเคือง
1.ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม
6.ยาอมใต้ลิ้น ควรให้หลังจากรับประทานยาทุกชนิดแล้ว และแนะนำให้ห้ามกลืนหรือเคี้ยวยา
2การให้ยาเฉพาะที่
3)การให้ยาทางหู(Ear instillation)
4) การหยอดยาจมูก(Nose instillation)
5) การเหน็บยา
2)การให้ยาทางตา(Eye instillation)
1)การสูดดม (Inhalation)
9.บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
7.กรณีคำสั่งสารน้ำ+ยาB co 2 mlให้เขียนคำว่า+ยาB co 2 ml ด้วยปากกาเมจิกอักษรตัวใหญ่
8.การจัดยาจะจัดตามหน้าชองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้องแล้ว
6.กรณีผู้ป่วยที่NPO ให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
9.มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบคนละคนกันตรวจสอบช้ำก่อนให้ยา
5.เวรบ่ายพยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกัน
4.การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาโดยเฉพาะยาน้ำ
3.เมื่อมีคำสั่งใหม่หัวหน้าเวรลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
10.การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยา
2.การซักประวัติ
11.ให้ยึดหลัก6R ตํามที่กล่าวมาข้างต้น
1.เมื่อผู้ป่วยเข้ามานอนรักษาในครั้งแรกพยาบาลตรวจสอบยาเช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยา
รูปแบบการบริหารยา (Medication administration) :pencil2:
Six Rights
Rightdose
การให้ยาถูกขนาดถูกความเข้มข้น
คำนวณยาถูกต้อง
ไม่ให้ยาซ้ำ/ ยาที่แพทย์สั่งให้หยุด
ไม่ต่อยาโดยแพทย์ไม่ได้สั่ง
ไม่ลืมให้ยาโดยการข้ามไปให้เวลาใหม่
Righttime
ให้ยาถูกเวลา/ ตรงเวลา ความถี่ตามวงรอบเวลาที่ให้
ไม่ลืมให้ยาและให้เมื่อนึกได้
ไม่หยดยาเร็ว/ นานกว่าที่แพทย์สั่ง
ให้ยาก่อน/ หลังอาหาร
Rightroute
ให้ยาถูกวิถีทาง
ยาไม่ผิดช่องทาง
ยาถูกข้าง
เป็นไปตามที่แพทย์สั่ง
Righttechnique
ให้ยาถูกตามวิธีการ
เทคนิคการเตรียมยา
เทคนิคการฉีดยาที่เหมาะสม
การผสมยาถูกเทคนิค
ไม่บดยาที่ไม่ควรบด
ไม่เดินยาเร็วเกินไป เช่น IV push
Rightdrug/ medication
อ่านชื่อยาในใบ MARทุกครั้ง
1.เมื่อจะหยิบยา
2.ขณะริน/เทยา
3.ก่อนวาง/เก็บยา
Rightpatient/client
การสั่งจ่ายยาให้ถูกชื่อผู้ป่วย
เช็คชื่อผู้ป่วยกับ ป้ายชื่อข้อมือ
ให้ยาผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่ง
ถามชื่อผู้ป่วย“คุณชื่ออะไรคะ”
ให้ยาแก่ผู้ป่วยถูกคน
เทียบชื่อผู้ป่วยกับใบMAR
Rightdocumentation
การบันทึกการให้ยาที่ถูกต้อง
•ลงนามเวลาเดียวกับที่ให้ยากับผู้ป่วยในเอกสาร
•บันทึกการลงลายมือชื่อผู้ให้ยา วัน เวลาที่ให้ยา ชื่อยาที่ให้ ปริมาณที่ให้ ทางที่ให้ยา
Rightto refuse
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย
ถ้าผู้ป่วยปฏิเสธการรับยาพยาบาลต้องอธิบายถึงผลที่เกิดขึ้นของการไม่รับยา
แต่ว่าถ้าผู้ป่วยไม่ยอมรับก็เป็นสิทธิของผู้ป่วยแต่การปฏิเสธนั้น ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยและบันทึกการปฏิเสธการรับยาของผู้ป่วย
RightHistory and assessment
สอบถามข้อมูล/ ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยทุกครั้ง
ถ้าคาดว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัยในการให้ยาควรตรวจสอบซ ้า
ซักประวัติและการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา
ถ้าผู้ป่วยแจ้งประวัติการแพ้ยาต้องส่งต่อข้อมูลติดประวัติแพ้ยา
หลังการให้ยาต้องประเมินให้แน่ใจว่ายาท างานตามที่ควรจะเป็ นมีการทานยาอย่างสม ่าเสมอการสังเกตอย่างต่อเนื่องถ้าจำเป็น
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation
ต้องแจ้งชื่อยาที่จะให้ทางที่จะให้ยาผลการรักษาผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิดและอาการที่ต้องเฝ้าระวังก่อนการให้ยาทุกครั้ง
ผู้ป่วยและญาติมีสิทธิที่จะได้รับรู้ในเรื่องของยาที่ต้องได้รับ
การให้ยาร่วมกัน จะต้องว่ายานั้นสามารถให้ร่วมกันได้ไหม
ต้องอธิบายให้ผู้ป่วย/ ญาติได้รับรู้ความเข้าใจในการแพ้ยาของผู้ป่วยเพื่อช่วยกันในการสร้างความปลอดภัยในการให้ยา
หลักสำคัญในการให้ยา
ไม่ให้ยาที่ฉลากลบเลือนไม่ชัดเจน ไม่ควรเทยากลับไปในขวดเดิมอีก
ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครั้ง
ไม่ควรเตรียมยาค้างไว้ผู้เตรียมยาและผู้ให้ยาควรเป็นคนเดียวกัน double check
บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียง
ตรวจสอบวันหมดอายุของยา
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาล
ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาเขียนป้ายติดที่แผ่นรายงานการรักษาอย่างชัดเจน
ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันที
ทราบวัตถุประสงค์การวินิจฉัยโรคผลของยาฤทธิ์ข้างเคียงของยา
มีการประเมินประสิทธิภาพของยาที่ให้
2.ตรวจสอบOder ก่อนให้ยาทุกครั้ง
สังเกตอาการก่อนและหลังการให้ยา
ยาทางปากใช้หลักสะอาดฉีดยาใช้หลักAseptictechnique
กรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาล หัวหน้าเวรรับทราบเพื่อหาทางแก้ไข
8.ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา :zap:
2ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา
ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ หมายถึง เจ้าหน้าที่ ทำหน้าที่คัดกรองการลงข้อมูลยําในคอมพิวเตอร์ไม่ครอบคลุม
ที่เภสัชกรรม หมายถึง เจ้าหน้าที่ห้องยา/เภสัชกร อ่านคำสั่งแพทย์ ไม่ถูกต้อง
ที่หอผู้ป่วยหมายถึง พยาบาลลอกคำสั่งแพทย์หรืออ่านคำสั่งแพทย์ไม่ถูกต้อง
3ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา
คือ ภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา
1ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา
สั่งยาที่มีประวัติแพ้
ลายมือไม่ชัดเจน
ผิดความถี่
ผิดวิถีทาง
สั่งยาผิดชนิด
สั่งยาผิดขนาด
4ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
การให้ยําผิดชนิด
การให้ยําซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง
การให้ยาไม่ครบ
การให้ยาผู้ป่วยผิดคน
การให้ยาผิดขนาด
การให้ยาผิดรูปแบบยา
การให้ยาผิดวิถีทาง
การให้ยาผิดเวลา
การให้ยาผิดเทคนิค
การให้ยํามากกว่าจำนวนครั้งที่สั่ง
การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด
11.กระบวนการพยาบาลในการบริหาร
ยาทางปากและยาเฉพาะที่ :smiley:
การวางแผนการพยาบาล
4.การปฏิบัติการพยาบาล
การวินิจฉัยการพยาบาล
การประเมินผล
1.การประเมินสภาพ
10.สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล :<3:
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
7.สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเนื่อง
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล