Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
4.1 การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
4.1 การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
1. วัตถุประสงค์ของการให้ยา
1.2 เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
เช่น ฉีดวัคซีนบีซีจีเพื่อป้องกันวัณโรค ให้วิตามินเพื่อ บำรุงร่างกายให้แข็งแรง
1.3 เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
เช่น ให้กลืนแป้งเบเรี่ยม ซัลเฟต แล้วเอ็กซเรย์เพื่อตรวจดูสภาพของ กระเพาะอาหารและลำไส้หรือการฉีดไอโอดีนทึบรังสีเข้ำทางหลอดเลือดดำ
1.1 เพื่อการรักษา
เป็นการให้ยาเพื่อรักษาตามสาเหตุของโรค หรือช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทา ทุเลา และ หายจากอาการหรือโรคที่เป็นอยู่ สามารถแบ่งเป็น
รักษาเฉพาะโรค เช่น ย่าฆ่าเชื้อในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อ
ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขำด เช่น ผู้ป่วยเป็นโลหิตจางเพราะขำดธาตุเหล็ก ให้ได้รับ เฟอรัส ซัลเฟต
รักษาตามอาการ เช่น อำกำรปวด ให้ได้รับยำบรรเทำอำกำรปวด ให้ของเพื่อบรรเทำ อำกำรคลื่นไส้อำเจียน
ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เช่น หัวใจเต้นเร็วเกินไป อาจได้รับยาดิจิทาลิส
11.กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่
3.การวางแผนการพยาบาล
หลังจากได้ข้อมูลและปัญหาหรือข้อบ่งชี้ในการให้ยาแล้วทำการ วางแผนหาวิธีการว่าจะให้ยาอย่างไร
4.การปฏิบัติการพยาบาล
เป็นการปฏิบัติการให้ยาตามแผนที่วางไว้ไปปฏิบัติ โดยยึดหลัก ความถูกต้อง 7 ประการ
2.การวินิจฉัยการพยาบาล
เมื่อรวบรวมข้อมูลจากการประเมินสภาพได้ทั้งหมดแล้วนำมาจัด
หมวดหมู่ข้อมูลที่เป็นปัญหา
5.การประเมินผล
เนื่องจากยาที่ให้นอกจากจะมีผลทางการรักษา แล้วยังอาจทำให้เกิดปฏิกิริยา ที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
1.การประเมินสภาพ
1.3 ประเมินผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูหน้าที่การทำงานของ ตับ ไต
1.4 การได้รับสารน้ำเพียงพอหรือไม่
1.2 ประวัติการแพ้ยา
1.5 ความรู้ความเข้าใจเรื่องยาที่ได้รับ
1.1ประเมินดูว่าผู้ป่วยมีข้อห้ามในการให้ยาทางปากหรือไม่
1.6 การปฏิบัติตัวในการได้รับยา
6. รูปแบบการบริหารยา
การบริหารยา
6. Right technique (ถูกเทคนิค)
คือการให้ยาถูกตามวิธีการ ใช้เทคนิคที่เหมาะสม โดยการเตรียมยาและให้ยาที่ถูกต้องยึดหลักการปลอดเชื้อสำหรับยารับประทานทางปาก
7. Right documentation (ถูกการบันทึก)
คือการบันทึกการให้ยาที่ถูกต้อง โดยพยาบาลลงนามในเวลาเดียวกับที่ให้ยากับผู้ป่วยในเอกสารที่ได้กำหนดไว้
5. Right route (ถูกวิถีทาง)
คือการให้ยาถูกทำงานโดยการให้ยาแก่ผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่งการรักษา เป็นการประกันว่าผู้ป่วยได้รับยาสอดคล้องกับวิถีการบริหารยา
8. Right to refuse
คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในการจัดการยา ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะปฏิเสธการใช้ยาหากเขามีความสามารถในการทำเช่นนั้น
4. Right time (ถูกเวลา)
คือการให้ยาถูกหรือตรงเวลา โดยการให้ยาตรงตามเวลาหรือความถี่ ตามคำสั่งการให้ยา
4.1 การให้ยาก่อนอาหาร เพื่อไม่ต้องการให้ยาได้สัมผัสกับอาหาร
4.2 การให้ยาหลังอาหารเป้ำหมายเพื่อให้ยาได้สัมผัสกับอาหารเพื่อช่วยเรื่องการดูดซึม
4.3 การให้ยาช่วงใดก็ได้คืออาหารไม่มีผลต่อการดูดซึมดังนั้นจึงให้ช่วงเวลาใดก็ได้
4.4 การให้แบบกำหนดเวลาหรือให้เฉพาะกับอาหารที่เฉพาะ
9. Right History and assessment
คือการซักประวัติและการประเมินอาการก่อน-หลังให้ยา โดยการสอบถามข้อมูล/ ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนการให้ยา
3. Right dose (ถูกขนาด)
คือการให้ยาถูกขนาด โดยการจัดยาหรือคำนวณยาให้มีขนาดและความเข้มข้นของยาตามคำสั่งการให้ยา
10. Right Drug-Drug Interaction and Evaluation
คือการที่จะต้องให้ยาร่วมกัน จะต้อง ดูก่อนว่ายานั้นสมารถให้ร่วมกันได้ไหม
2. Right drug (ถูกยา) คือการให้ยาถูกชนิด
ครั้งที่สอง ก่อนเอายาออกจากภาชนะใส่ยา
ครั้งที่สาม ก่อนเก็บภาชนะใส่ยาเข้ำที่หรือก่อนทิ้งภาชนะใส่ยา
ครั้งแรก ก่อนหยิบภาชนะใส่ยาออกจากที่เก็บ
11. Right to Education and Information
คือก่อนที่พยาบาลจะให้ยาผู้ป่วยทุกครั้งต้องแจ้ง ชื่อยาที่จะให้ทางที่จะให้ยา
1. Right patient/client (ถูกคน)
คือการให้ยาถูกคน หรือถูกตัวผู้ป่วย โดยกำรเช็คชื่อผู้ป่วยทุก ครั้งก่อนให้ยาหรือก่อนฉีดยาเทียบกับใบ Medication administration record
หลักสำคัญในการให้ยา
7.ไม่ให้ยาที่ฉลากมีการลบเลือนไม่ชัดเจน หากมีการเทยาออกมาแล้วไม่ควรเทยากลับไปในขวด เดิมอีก และไม่ควรเทยาที่เหลือจากอีกขวดไปอีกขวดหนึ่ง
8.ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครั้งหากผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวหรือไม่รู้เรื่องต้องทำการตรวจชื่อผู้ป่วยกับป้ายข้อมือก่อนให้ยาทุกครั้ง
6.ไม่ควรเตรียมยาค้างไว้บริเวณที่เตรียมยาต้องสะอาดและมีแสงสว่างเพียงพอ พยาบาลต้องมีสมาธิในการเตรียมยาและให้ยาแก่ผู้ป่วย ไม่ควรพูดคุยขณะเตรียมยา
9.บอกให้ผู้ป่วยทราบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่จะกลับบ้านต้องมีการอธิบายให้ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้ยาผิด
5.ตรวจสอบวันหมดอายุของยาปกติแล้วยาเม็ดจะมีอายุอยู่ได้5 ปีและยาน้ำจะมีอายุได้3 ปีแต่ หากเปิดขวดแล้วนิยมใช้เพียง 6 เดือนเท่านั้นเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคเมื่อเปิดขวด
10.ต้องให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาลเพื่อป้องกันผู้ป่วยไม่ได้รับยา ยกเว้นยาบางชนิดเช่น ยาจิบแก้ไอให้ผู้ป่วยได้จิบยาพื่อบรรเทาไอที่เกิดขึ้น
4.ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาจากตัวผู้ป่วยและญาติในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวและทดสอบการแพ้ ของยาบางชนิด
11.ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันทียาบางชนิดจะต้องมีการลงข้อมูลสำคัญๆ บางอย่างด้วย
3.ก่อนให้ยาต้องทราบวัตถุประสงค์การให้ยา การวินิจฉัยโรค ผลของยาที่ต้องการให้เกิดและฤทธิ์ ข้างเคียงของยา
12.มีการประเมินประสิทธิภาพของยาที่ให้หากยาไม่มีฤทธิ์ตามต้องการอาจต้องหาสาเหตุอื่นเพื่อ ช่วยบรรเทาหรือรักษาอาการนั้น ๆ ด้วย
2.ตรวจสอบคำสั่งแพทย์ก่อนให้ยาทุกครั้ง หากมีข้อสงสัยให้ตรวจสอบจากใบสั่งยาทุกครั้งและหาก ไม่แน่ใจให้ซักถามจากแพทย์ผู้ทำการรักษา
13.สังเกตอาการก่อนและหลังการให้ยาถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์ทันที
1.การให้ยาทางปากใช้หลักสะอาด และการฉีดยาใช้หลัก aseptic technique
14.ในกรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาลหัวหน้าเวรรับทราบเพื่อหาทางแก้ไข พยาบาล จะต้องสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและลงบันทึกในแผ่นบันทึกทางการพยาบาล
4. คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
คำสั่งแพทย์ในการรักษาส่วนใหญ่ใช้เป็นคำย่อและสัญลักษณ์ พยาบาลจึงจำเป็นต้องทราบความหมาย โดยคำย่อที่ใช้บ่อยมีดังนี้
วิถีทางการให้ยา
M เข้ำกล้ามเนื้อ
SC เข้ำชั้นใต้ผิวหนัง
O รับประทานทางปาก
V เข้ำหลอดเลือดดำ
ID เข้ำชั้นระหว่างผิวหนัง
subling อมใต้ลิ้น
Inhal ทางสูดดม
Nebul พ่นให้สูดดม
Supp เหน็บ / สอด
instill หยอด
เวลาการให้ยา
h.s. hora somni ก่อนนอน
p.r.n. pro re nata เมื่อจาเป็น
p.c. post cibum หลังอาหาร
stat statim ทันทีทันใด
a.c. ante cibum ก่อนอาหาร
ความถี่การให้ยา
bid (bis in die) วันละ 2 ครั้ง
tid (ter in die) วันละ 3 ครั้ง
OD (omni die) วันละ 1 ครั้ง
qid (quarter in die) วันละ 4 ครั้ง
q (6 hrs quaque 6 hora) ทุก 6 ชั่วโมง
2. ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
2.3 กรรมพันธุ์
บางคนอาจมีความไวผิดปกติต่อยาบางชนิด บางคนแพ้ยาง่าย ซึ่งอาจเกิดจาก พันธุกรรม
2.4 ภาวะจิตใจ
เช่น ผู้ป่วยมะเร็งปำกมดลูกที่ได้รับยาเคมีบำบัดบางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มาก โดยมีสาเหตุมาจากจิตใจ
2.2. เพศ
ผู้ชายมีขนาดตัวใหญ่กว่าผู้หญิง น้ำหนักย่อมมากกว่า ถ้าได้รับยาขนาดเท่ากัน ยาจะมี ปฏิกิริยาต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
2.5 ภาวะสุขภาพ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีอาการป่วย เมื่อได้รับยาจะมีผลต่อการแสดงออกของฤทธิ์ ยาต่างจากคนปกติ
2.1 อายุและน้ำหนักตัว
เด็กเล็ก ๆ ตับและไตยังเจริญไม่เต็มที่ ผู้สูงอายุมาก ๆ การทำงานของตับ และไตลดลง
2.6 ทางที่ให้ยา
ยาที่ให้ทางหลอดเลือดจะดูดซึมได้เร็วกว่ายาที่ให้รับประทานทางปาก
2.7 เวลาที่ให้ยา
ยาบางชนิดต้องให้เวลาที่ถูกต้องยาจึงออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ เช่น ยาปฏิชีวนะ บางชนิดต้องให้ก่อนอาหาร จึงจะดูดซึมได้ดี
2.8 สิ่งแวดล้อม
ยาที่รักษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางชนิด ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ เพื่อจะได้ พักผ่อน
3. ระบบการตวงวัดยา
3.1 ระบบอโพทีคารี
ถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็นปอนด์ ออนซ์ เกรน ที่พบบ่อยมีดังนี้
20 เกรน (grain) = 1 สครูเปิล (scruple)
3 สครูเปิล (scruple) = 1 แดรม (dram)
8 แดรม (dram) = 1 ออนซ์ (ounce)
12 ออนซ์ (ounce) = 1 ปอนด์ (pound)
3.3 ระบบมาตราตวงวัดประจำบ้าน
มีหน่วยที่ใช้เป็น หยด ช้อนชา ช้อนโต๊ะ ถ้วยชา และถ้วยแก้ว สามารถเทียบได้กับระบบเมตริก
พยาบาลจะต้องทราบระบบการตวงวัดยา เพื่อสามารถคำนวณขนาดของยาได้ถูกต้องกรณีที่แพทย์ สั่งยาในระบบหนึ่ง แต่วิธีการให้ หรือการตวงยา ชั่ง วัดยาเป็นอีกระบบหนึ่ง ระบบการตวงวัดยาที่พบใน ปัจจุบัน
3.2 ระบบเมตริก
ถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็น กรัม มิลลิกรัม ลิตร มิลลิลิตร ดังนี้
1 กรัม * = 1000 มิลลิกรัม (mg)
1 มิลลิกรัม * = 1000 ไมโครกรัม (mcg)
1 กิโลกรัม * = 1000 กรัม (gm)
1 กรัม = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 ลิตร = 1000 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
7. การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
7.1 การให้ยาทางปาก
หมายถึง การให้ยาที่สามารถรับประทานทางปากได้ ซึ่งอาจเป็นชนิดยาเม็ด ยาแคปซูล ยาผง หรือยาน้ำ นับว่าเป็นวิธีที่ง่าย สะดวก และปลอดภัยที่สุด
อุปกรณ์ในการให้ยาทางปาก
น้ำเปล่า หรือ น้ำส้ม หรือน้ำหวานแทนน้ำ (หากไม่มีข้อห้าม)
ถาดหรือรถใส่ยา
ถ้วยยา หรือ Syringe
แบบบันทึกการให้ยา
การพยาบาลเพื่อให้ยาได้ถูกหลักการ
เตรียมยาให้ตรงกับ MAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
อ่านฉลากยาให้ตรงกับ MAR ของผู้ป่วยแต่ละราย ดูวันที่หมดอายุของยา
ดูชื่อยา ขนาดยา เวลาที่ให้ใน MAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
เทยา หรือรินยาให้ได้ตรงตามจำนวนกับขนาดของยาใน MAR ของผู้ป่วยแต่ละราย
ดูเบอร์เตียง ชื่อ นามสกุล ผู้ป่วยใน MAR ให้ตรงกัน
ข้อควรปฏิบัติในการให้ยาทางปาก
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
4.ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ดแล้วเพื่อให้ยาค้างอยู่ที่คอไม่ถูกน้ำล้างออก
2.การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้ ส่วนยาน้ำให้แยกใส่แก้วยาต่างหาก
5.ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้ายเพื่อช่วยลดอาการระคายเคืองและเคลือบผนังของหลอดอาหารและกระเพาะ
1.ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม
6.ยาอมใต้ลิ้น ควรให้หลังจากรับประทานยาทุกชนิดแล้ว และแนะนำให้ห้ามกลืนหรือเคี้ยวยา รอจนกว่ายาละลายหรือดูดซึมเข้ำใต้ลิ้นเอง
การเตรียมยาตามขั้นตอน
ดูเบอร์เตียง ถามชื่อ -สกุลผู้ป่วยให้ตรงกับใบ MAR ของผู้ป่วยแต่ละรายตรวจดูป้าย ชื่อที่ข้อมือ เพื่อระบุตัวผู้ป่วยเป็นการตรวจสอบว่าผู้ป่วยได้รับยาถูกคน เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนใน กรณีป้ายชื่อที่ข้อมือผู้ป่วยไม่ชัดเจนหรือป้ายข้อมือสูญหาย ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถให้ข้อมูลได้ให้สอบถามจาก ญาติผู้ป่วย
แจกยาให้ผู้ป่วยรับประทานภายในเวลาที่กำหนด ไม่แจกยาก่อนหรือหลังเวลาที่ กำหนดเกิน 30 นาที
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาตรงตามเวลาในใบ MAR
ประเมินสัญญาณชีพผู้ป่วยก่อนให้ยา ในกรณีที่ยานั้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ หรือประเมินระดับความปวดก่อนให้ยาแก้ปวด
ดูชื่อ ขนาดยาให้ตรงกับใบ MAR อีกครั้งก่อนเก็บยาเข้ำที่
ให้ผู้ป่วยรับประทานยาต่อหน้าพยาบาล อยู่กับผู้ป่วยจนกลืนยาเรียบร้อย ไม่วางยาไว้ ที่ข้างเตียงผู้ป่วย เพราะการบริหารยาจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมายต่อเมื่อผู้ป่วยได้กลืนยาแล้ว
ยาน้ำ
ให้หันป้ายยาหรือฉลากยาเข้าหาฝ่ามือ เพื่อป้องกันยาหกเปื้อนป้ายยาหรือ ฉลากยาทำให้ป้ายยาหรือฉลากยาเลอะเลือนได้ถือแก้วยาให้อยู่ระดับสายตา โดยวางนิ้วหัวแม่มือไว้ที่ ระดับที่ต้องการเพื่อให้เทยาได้ตามจำนวนที่ถูกต้อง ก่อนรินยาต้องเขย่ายาให้เข้ากันก่อน
สังเกตการเปลี่ยนแปลงหลังรับประทานยาเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงทีและเป็น การประเมินผลการรักษาหลังจากที่ได้รับยา
ยาชนิด Multidose
ค่อยๆ เทยาจากซองยาหรือขวดที่บรรจุยาหรือ Foil โดยที่ไม่ให้ มือสัมผัสยา เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกจากมือปนเปื้อน
บันทึกในแผนการพยาบาลและในใบ MAR ทุกครั้งหลังให้ยา หลังให้ยาต้องลงบันทึก วันที่ เวลา และลายมือชื่อของผู้ให้ยาลงในใบ MAR กรณียา PRN
ยาชนิด Unit dose
(ยาที่จัดมาเป็นแบบวันต่อวัน) หยิบยาใส่ถ้วยยาจำนวนตามที่ แพทย์สั่ง ยาที่หุ้มมาด้วย Foil ให้แกะยาที่เตียงของผู้ป่วย Foil ที่ห่อหุ้มยาไว้จะช่วยป้องกันไม่ให้ยาโดน แสงเพื่อคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของยา
7.2 การให้ยาเฉพาะที่
เป็นการให้ยาภายนอกเฉพาะตำแหน่ง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่ ได้แก่ การให้ยาโดยผ่านทางเยื่อเมือกของอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง เพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการเฉพาะที่
การเหน็บยา
เป็นการให้ยาที่มีลักษณะเป็นเม็ด เข้าทางเยื่อบุตามอวัยวะต่าง ๆ เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที
วิธีการเหน็บยาทางทวารหนัก (Rectum suppository)
ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงข้าง ซ้าย และพยาบาลใส่ถุงมือสะอาด ยกแก้มก้นผู้ป่วยขึ้นจนเห็นรูทวารหนักชัดเจน จึงสอดใส่เม็ดยาเข้ำไป แล้วใช้นิ้วชี้ดันยาพร้อมเขี่ยเม็ดยาให้กระดกขึ้นเพื่อชิดผนังทวารหนัก โดยให้ยาเข้ำไปลึกประมาณ 3-4 นิ้ว หรือเข้ำไปจนสุดนิ้วชี
วิธีการเหน็บยาทางช่องคลอด (Vaginal suppository)
ควรทำหลังจากการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก แล้วให้ผู้ป่วยนอนหงาย และพยาบาลใส่ถุงมือปราศจากเชื้อแล้วสอด ใส่เม็ดยาหรือแท่งเข้าไปทางช่องคลอด แล้วใช้นิ้วชี้ดันยาเข้ำไปลึกประมำณ 2-3 นิ้ว หรือจนเกือบสุดนิ้วชี้
การหยอดยาจมูก (Nose instillation)
ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น และพยาบาลยกปีกจมูก ผู้ป่วยข้างที่จะหยอดยาขึ้นเบาๆ แล้วหยดยาผ่านทางรูจมูกห่างประมาณ 1-2 นิ้ว จากนั้นให้ผู้ป่วยอยู่ในท่า เดิมประมาณ 5 -10 นาทีเพื่อป้องกันยาไหลย้อนออกมา
การให้ยาทางหู(Ear instillation)
เป็นการหยอดยาเข้ำไปในช่องหูชั้นนอก ยาที่ใช้ เป็นยาน้ำ ออกฤทธิ์เฉพาะเยื่อบุในช่องหู มักเป็นยาชาหรือยาฆ่าเชื้อโรคเฉพาะที่
การให้ยาทางตา (Eye instillation)
เนื่องจากดวงตาเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางมาก ติด เชื้อได้ง่าย การใช้ยาบริเวณตาจึงต้องคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ ยาที่ใช้กับตามีทั้งยาหยอดตา ป้ายตา และยาล้างตา
การสูดดม (Inhalation)
เป็นการให้ยาในรูปของก๊าซ (Gas) ไอระเหย (Vapor) หรือ ละออง (Aerosol) สามารถให้โดยการพ่นยาเข้าสู่ทางเดินหายใจ เพื่อให้ยาไปสู่บริเวณที่ต้องการให้ยาออก ฤทธิ์ ยาออกฤทธิ์แบบเฉพาะที่หรือแบบทั่วร่างกาย การให้ยาด้วยวิธีนี้ใช้เพื่อให้ยาดูดซึมในส่วนลึกของ ระบบทางเดินหายใจที่มีเส้นเลือดขนาดเล็กอยู่มาก ดังนั้นการดูดซึมยาจะเร็ว ทางที่พ่นยามีทั้งการพ่นทาง จมูก ทางปาก และทางท่อช่วยหายใจ
8. ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
8.2 ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคำสั่งใช้ยา (Transcribing error)
คือ ความคลาดเคลื่อนของกระบวนการคัดลอกคำสั่งใช้ยาจากคำสั่งใช้ยาต้นฉบับที่ผู้สั่งใช้ยาเขียน
2.ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์
หมายถึง เจ้าหน้าที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ทำหน้าที่คัดกรองการลงข้อมูลยาในคอมพิวเตอร์ไม่ครอบคลุม หรือคัดกรองข้อมูลผิดพลาด
3.ที่เภสัชกรรม
หมายถึง เจ้าหน้าที่ห้องยา/เภสัชกร อ่านคำสั่งแพทย์ ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามแพทย์สั่ง ส่งผลถึงการส่งต่อข้อมูลและการจ่ายยามีความคลาดเคลื่อน
1.ที่หอผู้ป่วย
หมายถึง พยาบาลลอกคำสั่งแพทย์หรืออ่านคำสั่งแพทย์ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามแพทย์สั่ง
8.3 ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา (Dispensing Error)
คือ ความคลาดเคลื่อนในกระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา
8.1 ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา (Prescription error)
คือ ความคลาดเคลื่อนที่พบในใบสั่งยา (ใบ Order) อาจเกิดจากแพทย์เขียนผิดพลาด หรือไม่ชัดเจนรวมถึงการเลือกใช้ยาผิด
3.ผิดวิถีทาง
หมายถึง เขียนใบสั่งยา สั่งใช้ยาผิดวิถีทางทำให้ใช้ยาไม่ถูกวิธี
4.ผิดความถี่
หมายถึง เขียนใบสั่งยา วิธีรับประทานผิด หรือระบุวิธีรับประทานที่ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยคนนั้น
2.สั่งยาผิดชนิด
หมายถึง เขียนใบสั่งยา สั่งยาคนละชนิดกับที่ควรจะเป็น
5.สั่งยาที่มีประวัติแพ้
หมายถึง แพทย์สั่งยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการแพ้ยาซ้ำ
1. สั่งยาผิดขนาด
หมายถึง แพทย์สั่งใช้ยาที่มีขนาดมากเกิน Maximum dose หรือ สั่งยาในขนาดที่ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วย
6.ลายมือไม่ชัดเจน
หมายถึง เขียนใบสั่งยาด้วยลายมือที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด อ่านผิด
8.4 ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา (Administration error)
คือ การบริหารยาที่แตกต่างไปจากคำสั่งใช้ยาของผู้สั่งใช้ยาที่เขียนไว้ในใบบันทึกประวัติการรักษาผู้ป่วย
5.การให้ยาผิดขนาด (Wrong-dose or Wrong-strength error)
หมายถึง เป็น ความคลาดเคลื่อนจากการให้ยาในขนาดที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าขนาดยาที่ผู้สั่งใช้ยาสั่ง
6.การให้ยาผิดวิถีทาง (Wrong-route error)
หมายถึง การให้ยาไม่ถูกวิถีทางตามแพทย์สั่ง
4.การให้ยาผู้ป่วยผิดคน (Wrong patient)
หมายถึง การให้ยาที่ไม่ใช่ของผู้ป่วยคนนั้น อาจเนื่องจากพยาบาลจัดเตรียมยาไว้สำหรับผู้ป่วยหลายราย จึงให้สลับกับผู้ป่วยคนอื่น
7.การให้ยาผิดเวลา (Wrong-time error)
หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยผิดเวลาไปจากที่กำหนดไว้ในนโยบายการให้ยาของโรงพยาบาล
3.การให้ยาซึ่งผู้สั่งใช้ยาไม่ได้สั่ง (Unordered or unauthorized drug)
8.การให้ยามากกว่าจำนวนครั้งที่สั่ง (Extra-dose error)
เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นเมื่อมีการให้ยาแก่ผู้ป่วยเกินจากจำนวนครั้งหรือมื้อยาที่ผู้สั่งใช้ยาสั่งต่อวัน
2.การให้ยาผิดชนิด (Wrong drug error)
หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยคนละชนิด (คนละ ตัวหรือคนละชื่อ Generic name) กับที่แพทย์สั่ง
9.การให้ยาในอัตราเร็วที่ผิด (Wrong rate of administration error)
เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการใช้ยาโดยเฉพาะยาฉีดในอัตราเร็วที่ผิดไปจากที่ผู้สั่งใช้ยาสั่ง
1.การให้ยาไม่ครบ (Omission error)
หมายถึง การให้ยาผู้ป่วยไม่ครบมื้อ (ไม่ครบ Course) ตามที่แพทย์สั่ง
10.การให้ยาผิดเทคนิค (Wrong technique error)
เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการให้ยาผิดเทคนิคแม้จะถูกชนิด ถูกขนาด
11.การให้ยาผิดรูปแบบยา (Wrong dosage-form error)
เป็นความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากการให้ยาผิดรูปแบบจากที่ผู้สั่งใช้ยาสั่ง
9. บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
กรณีผู้ป่วยที่ NPO ให้มีป้าย NPO และเขียนระบุว่า NPO เพื่อผ่าตัดหรือเจาะเลือดเช้า ให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
เวรบ่าย พยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกัน และดูยาในช่องลิ้นชักยาอีกครั้ง
การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาเนื่องจากความผิดพลาดด้านบุคคลโดยเฉพาะยาน้ำ
การจัดยาจะจัดตามหน้าชองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้องแล้ว ในการจัดยาที่เป็นคำสั่งใหม่
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร ลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
2.ยาที่เป็นเศษส่วน และมากกว่าหนึ่ง มักจัดผิดให้วงกลมด้วยปากกาแดงให้เป็นที่สังเกต
3.ยาก่อนนอนทำเครื่องหมายดอกจันทร์ในใบ MAR เพื่อเป็นที่สังเกตในการจัดยา
1.ยาที่แพทย์สั่งในห้องยาไม่มีปริมาณ mg ตามสั่ง
กรณีคำสั่งสารน้ำ+ยา B co 2 ml ให้เขียนคำว่า +ยา B co 2 ml ด้วยปากกาเมจิก อักษรตัว ใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจนเพื่อสังเกตได้ง่าย
การซักประวัติจะถามเรื่องการแพ้ยาทุกครั้งดูสติ๊กเกอร์สีแสดงแพ้ยาที่ติดอยู่ขอบ OPD card และดูรายละเอียดใน OPD card ร่วมด้วยทุกครั้ง
การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยาและให้พยาบาลตรวจดูยา ในลิ้นชักของผู้ป่วยทุกเตียงจนเป็นนิสัยและดูผู้ป่วยประจำเตียงว่ามีหรือไม่ และตามผู้ป่วยมารับยาให้กิน ยาเลยและสอบถามคู่เวรว่าแจกยาหมดหรือยังให้เป็นนิสัย การแจกยาผู้ป่วยที่มีปัญหา
เมื่อผู้ป่วยเข้ำมานอนรักษาในครั้งแรก พยาบาลตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์พร้อมกับ เช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยา หากไม่ตรงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
ให้ยึดหลัก 6R ตำมที่กล่าวมาข้างต้น
5. คำสั่งแพทย์คำนวณขนาดยา
5.1 คำสั่งแพทย์
5.1.3 คำสั่งที่ต้องให้ทันที(Stat order)
เป็นคำสั่งการให้ยาครั้งเดียวและต้องให้ทันที เช่น Diclofenac 1 amp M stat เมื่อปฏิบัติเสร็จแล้วยกเลิกได้
5.1.4 คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น (prn order)
เป็นคำสั่งที่กำหนดไว้ให้ปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีอาการ บางอย่างเกิดขึ้น เช่น มีไข้ ปวดแผล
5.1.2 คำสั่งใช้ภายในวันเดียว (Single order of order for one day)
เป็นคำสั่งที่ใช้ได้ใน 1 วัน เมื่อได้ให้ยาไปแล้วเมื่อครบก็ระงับไปได้เลย
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
2.วันที่เขียนคำสั่งการรักษา
3.ชื่อของยา
1.ชื่อของผู้ป่วย
ขนาดของยา
วิถีทางการให้ยา
เวลาและความถี่ในการให้ยา
ลายมือผู้สั่งยา
5.1.1 คำสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป (Standing order / order for continuous)
เป็นคำสั่งที่ สั่งครั้งเดียวและใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะมีคำสั่งระงับ (discontinue) หรือบางครั้งแพทย์อาจระบุวันที่ระงับ ยาไว้เลยก็ได้
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
3.ทางเยื่อบุ (mucous)
ยาที่ใช้สอดใส่หรือหยอดทางอวัยวะต่างๆของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้ำทางเยื่อบุสู่ระบบไหลเวียนของเลือดบริเวณอวัยวะนั้น ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะต่างๆ
4. ทางผิวหนัง (skin)
ยาที่ใช้ทาบริเวณผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้ำร่างกายทางผิวหนัง ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะต่างๆ กัน
2. ทางสูดดม (inhalation)
ยาที่ใช้พ่นให้ผู้ป่วยสูดดมทางปากหรือจมูก โดยดูดซึมทางระบบทางเดินหายใจ ชนิดของการปรุงยาเป็นลักษณะต่างๆ กัน
5. ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular)
ยาที่ใช้ฉีดเข้ำทางกล้ามเนื้อของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้า ร่างกายทางระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นกล้ามเนื้อ
1. ทางปาก (oral)
ยาที่ให้ผู้ป่วยรับประทานทำงปาก โดยยาจะดูดซึมทำงระบบทางเดิน อาหารและลำไส้ ชนิดของการปรุงยามีลักษณะต่างๆ กัน
6. ทางชั้นผิวหนัง (intradermal)
ยาที่ใช้ฉีดเข้ำทางชั้นผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึม เข้าร่างกายทางระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นผิวหนัง
7. ทางหลอดเลือดดำ (intravenous)
ยาที่ใช้ฉีดเข้ำทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วย โดยเข้ำสู่ระบบไหลเวียนเลือดโดยตรง
8 .ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous / hypodermal)
ยาที่ใช้ฉีดเข้ำที่ใต้ผิวหนังของผู้ป่วย โดยดูดซึมเข้าระบบไหลเวียนเลือดที่ชั้นใต้ผิวหนัง
5.2 การคำนวณขนาดยา
การคำนวณยาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา
10. สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Competencies of nurses for Rational
Drug Use)
5. สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ (Provide information)
5.3 แนะนำผู้ป่วย/ผู้ดูแลเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในเรื่องยา และการรักษา
5.4 สร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วย/ผู้ดูแล ว่าจะจัดการอย่างไรในกรณีที่มีอาการไม่ดีขึ้นหรือการ รักษาไม่ก้าวหน้าในช่วงเวลาที่กำหนด
5.2 ให้ข้อมูลเกี่ยวกับยาที่ชัดเจน เข้ำใจได้ง่าย และเข้าถึงได้กับผู้ป่วย/ผู้ดูแล
5.5 สนับสนุนผู้ป่วย/ผู้ดูแลให้มีส่วนรับผิดชอบในการจัดการตนเองเรื่องยาและภาวะเจ็บป่วย
5.1 ตรวจสอบความเข้ำใจและความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้ป่วย/ผู้ดูแลในการจัดการ เฝ้าระวังติดตาม และการมาตรวจตามนัด
6. สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้ำงเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้(Monitor and review)
6.2 ต้องมีการติดตามประสิทธิภาพของการรักษาและอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา
6.3 ค้นหาและรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาโดยใช้ระบบการรายงานที่เหมาะสม
6.1 ทบทวนแผนการบริหารยาให้สอดคล้องกับแผนการรักษาที่ผู้ป่วยได้รับ
6.4 ปรับแผนการบริหารยาให้ตอบสนองต่ออาการและความต้องการของผู้ป่วย
4. บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
4.4 คำนึงถึงโอกาสที่จะเกิดการใช้ยาผิด (เช่น ผิดขนาด ผิดทาง ผิดวิธี ผิดชนิด)
4.5 ใช้ข้อมูลที่ทันสมัยเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (เช่น การเก็บรักษาการบรรจุ ฯลฯ)
4.3 ตรวจสอบและคำนวณการใช้ยาให้ถูกต้อง
4.6 ใช้ระบบที่จำเป็นเพื่อการบริหารยาอย่างมีประสิทธิภาพ (เช่น ใบ MAR)
4.2 เข้ำใจการสั่งจ่ายยาของแพทย์ตามกรอบบัญชียาหลักแห่งชาติ
4.7 สื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับยาและการใช้ยาแก่ผู้เกี่ยวข้องเมื่อต้องมีการส่งต่อข้อมูลการรักษา
4.1 เข้ำใจโอกาสที่จะเกิดผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา และดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยง/ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ตระหนักและจัดการแก้ไขปัญหา
7. สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (Prescribe safely)
7.3 บริหารยาอย่างปลอดภัย ตามกระบวนการบริหารยา
7.4 พัฒนาหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอในประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยา
7.2 ระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการสั่งยาผ่านสื่อหรือบุคคลอื่น
7.5 รายงานความคลาดเคลื่อนในการใช้ยา และ ทบทวนการปฏิบัติเพื่อป้องกัน การเกิดซ้ำ
7.1 รู้เกี่ยวกับชนิด สาเหตุ ของความคลาดเคลื่อนทางยาที่พบบ่อย และวิธีการป้องกันการ หลีกเลี่ยง และการประเมิน
3. สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา
3.3 อธิบายเหตุผล และความเสี่ยง/ประโยชน์ของทางเลือกในการรักษาที่ผู้ป่วย/ผู้ดูแลเข้ำใจได้
3.4 ประเมินความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ด่วนตัดสิน
3.2 ระบุและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
3.5 สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย/ผู้เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยา
3.1 ชี้แจงทางเลือกในการรักษา
3.6 ทำควำมเข้าใจกับการร่วมปรึกษาหารือก่อนใช้ยา
8. สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ และเป็นไปตามหลักเวชจริยศาสตร์ (Prescribe professionally)
8.2 ยอมรับความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการสั่งยาและเข้าใจในประเด็นกฎหมายและจริยธรรม
8.3 รู้และทำงานภายใต้กฎหมาย และระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการสั่งยา
8.1 มั่นใจว่าพยาบาลสามารถสั่งจ่ายยาได้ตามพรบ.วิชาชีพและพรบ.ยาแห่งชาติ
2. สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น (Consider the options)
2.3 ประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยาและไม่ใช้ยา
2.4 ใช้ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของยาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยต่อไปนี้
2.2 พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยเพื่อประกอบการปรับขนาดยา หยุดการให้ยาหรือเปลี่ยนยา
2.5 พิาจารณาโรคร่วม ยาที่ใช้อยู่ การแพ้ยา ข้อห้ามการใช้ยา และคุณภาพชีวิตที่อาจส่งผล กระทบต่อการเลือกใช้ยา
2.1 พิจารณาข้อมูลที่สำคัญของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกใช้ยาหรือการรักษาแบบไม่ใช้ยา ในการรักษาและการส่งเสริมสุขภาพ
2.6 คำนึงถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วย
2.7 พัฒนาความรู้ให้เป็นปัจจุบัน ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และคำนึงถึงความคุ้มทุนในการพิจารณาการใช้ยาอย่างสมเหตุผล
2.8 เข้าใจเรื่องเชื้อดื้อยา และแนวทางการป้องกันและควบคุมเชื้อดื้อยา (antimicrobial stewardship measures)
9. สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา ได้อย่างต่อเนื่อง (Improve prescribing practice)
9.1 สะท้อนคิดการบริหารยาของตนเองและการสั่งยาของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อปรับปรุงการใช้ยา อย่างสมเหตุผล
9.2 เข้ำใจและใช้เครื่องมือหรือกลไกที่เหมาะสมในการปรับปรุงการบริหารยาและการสั่งยา
1. สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
1.3 ประเมินอาการที่ดีขึ้นหรือเลวลง
1.4 ติดตามความร่วมมือในการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง
1.2 ประเมินอาการข้างเคียงจากการใช้ยา
1.5 การส่งต่อ
1.1 การประเมินประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา และประวัติการแพ้ยา/แพ้อาหาร
10. สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Prescribe as part of a team)
10.1 มีส่วนร่วมกับสหวิชาชีพเพื่อให้มั่นใจว่าการดูแลมีความต่อเนื่อง เชื่อมโยงกันในทุกหน่วย โดยไม่ขัดแย้ง
10.2 สร้างสัมพันธภาพกับทีมสหวิชาชีพ บนพื้นฐานของความเข้ำใจ ความไว้วางใจและ ยอมรับในบทบาทของสหวิชาชีพ