Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน - Coggle Diagram
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน
มะเร็ง(Cancer)
คือ กลุ่มของโรคที่เกิดจากความผิดปกติของรหัสสารพันธุกรรม ส่งผลให้การเจริญเติบโตหรือการเพิ่มจำนวนเซลล์เป็นไปอย่างรวดเร็วมากกว่าปกติ ไม่สามารถควบคุมได้และเกิดเป็นเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ หากเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นกับอวัยวะใด ก็จะเรียกชื่อมะเร็งตามอวัยวะนั้นในสภาวะทั่วไป เซลล์ในร่างกายจะมีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ให้ไปทำหน้าแต่ละหน้าที่และในอวัยวะต่างๆของร่างกาย
การแบ่งประเภทยาตามการออกฤทธิ์ในวัฏจักรเซลล์มะเร็ง ได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. Cell cycle-specific drugs (CCS)
เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อเซลล์ที่อยู่ในระยะใดระยะหนึ่งของวงจรเซลล์เท่านั้น ไม่มีผลต่อเซลล์ในระยะอื่น ยากลุ่มนี้ใช้ได้ผลดีในมะเร็งที่มีอัตราการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วหรือมีการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่อง เช่น มะเร็งเม็ดเลือด
2. Cell cycle-nonspecific drugs (CCNS)
เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ทุกระยะในวงจรของเซลล์ ยากลุ่มนี้ใช้ได้ผลดีในมะเร็งที่มีอัตราการโตของก้อนมะเร็งทั้งต่ำและสูง
การรักษาโรคมะเร็งด้วย chemotherapy ในรูปแบบยาฉีดเข้าหลอดเลือดนั้นอาจส่งผลข้างเคียงรุนแรงในผู้ป่วยบางราย เนื่องจากตัวยาไม่เพียงออกฤทธิ์ต่อเซลล์มะเร็งเท่านั้น แต่ยังออกฤทธิ์ต่อเซลล์ปกติในส่วนอื่นๆ ของร่างกายผู้ป่วยอีกด้วย
แบ่งตามคุณสมบัติทางชีวเคมี(Biochemical) จะสามารถแบ่งยา chemotherapy ได้เป็น 7 กลุ่มดังนี้
1. ยากลุ่ม Alkylating agents
- Cyclophosphamide
กลไกการออกฤทธิ์
: เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้กลายเป็น phosphoramide mustard แทรกเข้าไปในขบวนการสร้าง DNA แบบ cross-linking และมีการเติมหมู่ alkyl ที่เบส guanine บนสาย DNA และกระตุ้นให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: มีทั้งรูปแบบฉีดและยารับประทาน ใช้รักษามะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's และ non-Hodgkin lymphorma มะเร็งเม็ดเลือดขาว ทุกชนิด
- Ifosfamide (Holoxan;IFOS)
กลไกการออกฤทธิ์
: กลไกเหมือน Cyclophosphamide
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: มีทั้งรูปแบบฉีดและรับประทาน ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งอัณฑะ และมะเร็.ของเนื้อเยื่ออ่อน เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ หลอดเลือด เป็นต้น
- Chlorambucil
กลไกการออกฤทธิ์
: เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA แบบ cross-linking ส่งผลทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่งตัวได้ และทำให้เซลล์ตาย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยามาตรฐานในการรักษา มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด follicular
- Carmustine
กลไกการออกฤทธิ์
: ทำให้เกิดหมู่ Alkyl ไปจับกับสายของ DNA ส่งผลให้ DNA ทำให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัวไม่ได้ เกิด DNA srtand break และทำให้เซลล์ตาย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: รักษามะเร็งสมอง
- Dacarbazine(DTIC)
กลไกการออกฤทธิ์
: เมื่อยาเข้าสู่ร่ายกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้กลายเป็นสารที่มีพิษต่อการสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์มะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้ร่วมกับยา Adriamycin, Bleomycin, Vinblastine หรือ Dacarbazine ในการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin's lymphoma และมะเร็งผิวหนัง
- Cisplatin, Carboplatin
กลไกการออกฤทธิ์
: เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA ทำให้เกิดการยับยั้งกระบวนการ DNA replication และ DNA transcription
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าทางช่องท้อง ใช้ร่วมกับยื่นในการรักษา มะเร็งอัณฑะ มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และมะเร็งทางเดินอาหาร
- Busulfan (Myleran)
กลไกการออกฤทธิ์
: เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA แบบ cross-linking ส่งผลทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่งตัวได้ และทำให้เซลล์ตาย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด และใช้ร่วมกับาเคมีบำบัดอื่น เช่น cyclophosphamide ก่อนการปลูกถ่ายไขกระดูก
- Mechloretamine (Mustargen, Mustine)
กลไกการออกฤทธิ์
: เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA ทำให้เกิดสาย DNA แตก และยับยั้งกระบวนการ DNA transcription
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เดิมใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่ปัจจุบันใช้น้อยลง เนื่องจากมีกาเปลี่ยนไปใช้ cyclophosphamide และยาอื่นๆแทน
2. ยากลุ่ม Antimetabolites/Antineoplastic agents
2.1 Antifolate/Folate antagonist
- Methotrexate(MTX)
กลไกการออกฤทธิ์
: เป็นยาต้านโฟเลต ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ dihydrofolate reductase ที่เปลี่ยน dihydrofolate ไปเป็น tetrahydrofotate ที่เป็น cofactor สำคัญที่นำไปใช้สร้างสารตั้งต้นของ DNA,RNA และโปรตีน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: มีทั้งยารับประทานและฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ยาฉีดทางกล้ามเนื้อ และทางน้ำไขสันหลัง ใช้รักษาโรคมะเร็งหลายชนิด
- Pemetrexed
กลไกการออกฤทธิ์
: เป็นยาต้านโฟเลตตัวใหม่ เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูก metabolite ให้กลายเป็นสารที่มีฤทธิ์ไปยับยั้งการสังเคราะห์และสร้างสารตั้งต้นของ DNA,RNA และโปรตีน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน
2.2 Purine analogs
- ยา 6-mercaptopurine (6-MP)
กลไกการออกฤทธิ์
: เป็นสารที่มีโครงสร้างเบสเพียวรีน ซึ่งเป็นยาชนิดแรกในกลุ่มที่นำมาใช้รักษาโรคมะเร็ง เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะถูกเปลี่ยนเป็นสารไรโบนิวคลีโอไทด์ ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเอนไซม์หลายตัวที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง purine
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาเม็ดรับประทาน ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL และ AML
- ยา 6-thioguanine (6-TG)
กลไกการออกฤทธิ์
: คล้ายกับ 6-MP
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษษมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ANLL หรือ AML โดยใช้ร่วมกับยา Daunorubicin และ Cytarabine
- ยา Fludarabine
กลไกการออกฤทธิ์
: เข้าไปแทรกกระบวนการเชื่อมจับของสาย DNA เกิดการยับยั้งการสร้าง DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ เนื่องจากเป็นพิษต่อทางเดินอาหารมาก หากให้โดยการรักประทาน ใช้รักษา CLL และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ไม่รุนแรง
2.3 Pyrimdine analogs
- 5-fluorouracil (5-FU)
กลไกการออกฤทธิ์
: ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ thymidylate synthase ซึ่งเป็น เอนไซม์ที่จำเป็นในการสังเคราะห์ DNA และ RNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ชนิดยาฉีดทางหลอดเลือดดำ รักษามะเร็งเต้านม มะเร็งทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งลำไส้ใหญ่
- Capectibine
กลไกการออกฤทธิ์
: คล้ายกับ 5-FU
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาเม็ดรับประทาน ใช้รักษาเพื่อบรรเทาอาการ ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปแล้ว
- Cytarabine
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาจะไปเติมหมู่ฟอสเฟต ทำให้เกิดการยับยั้งการเชื่อมต่อสายของสาย DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ นิยมใช้การหยดแบบช้าๆ เป็นเวลา 5-7 วัน ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML
- Gemcitabine
กลไกการออกฤทธิ์
: เมื่อยาเข้าสู่เซลล์ ยาจะถูกกระตุ้นให้มีการเติมหมู่ฟอสเฟสจะไปแทรกกระบวนการเชื่อมจับกับสาย DNA เกิดการยับยั้งการสร้าง DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ชนิดยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งตับอ่อนที่แพร่กระจายไปแล้ว มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งกระเพาะอาหาร
3. ยากลุ่ม Anticancer antibiotics
- Dactinomycin หรือ actinomycin D
กลไกการออกฤทธิ์
: สอดแทรกเข้าไปในสาย DNA ยับยั้ง RNA polymerase ทำให้สาย single-strand ของ DNA แตก
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ใช้ร่วมกับยา Vincristine ในการรักษา Wilms' tumor และมะเร็งของเนื้อเยื่อเกี่ยวกพันในเด็ก
- Doxorubicin ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Anthracylines
กลไกการออกฤทธิ์
: ยับยั้ง topoisomerase 2 แทรกไปอยุ่ระหว่าง DNA pairs ในสาย DNA ปิดกั้นการสังเคราะห์ DNA และ RNA รบกวนการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์ และสร้างอนุมูลอิสระซึ่งทำให้สาย DNA แตก
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ มีฤทธิ์ในการรักษามะเร็งหลายชนิด เช่น ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- Bleomycin
กลไกการออกฤทธิ์
: ออกฤทธิ์โดยจับกับธาตุเหล็ก ได้เป็นสารประกอบเชิงซ้อนของยากับเหล็กซึ่งทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้อนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการแตกของสาย DNA และสอดแทรกในสาย DNA ยามีผลต่อเซลล์ระยะ G2
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดชั้นใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าช่องต่างๆของร่างกาย เช่น ช่องท้อง ช่องอ ช่องอุ้งเชิงกราน เป็นต้น
- Mitomycin
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาถูกเปลี่ยนแปลงในเซลล์ไปเป็นสาร Alkylating agents ที่มีฤทธิ์แรงมาก ทำให้เกิดสะพานในสาย DNA มีผลยับยั้งการสังเคราะห์ DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งปากมดลูก มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งลำไส้ใหญ่
4. ยากลุ่มสารสกัดจากพืชธรรมชาติ(Natural and semi-synthetic products)
4.1 ยากลุ่ม vinca alkaloids
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาจะไปจับกับโปรตีน ทำให้ยับยั้งการประกอบ microtubules ยับยั้งการประกอบตัวของ mitotic spindle เซลล์หยุดการเจริญเติบโตในระยะ M phase
- Vincristine : Oncovin
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งเม็เลือดขาวชนิด acute lymphocytic lekemia , มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- Vinblastine : Velban
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- Vinorelbine : Navelbine
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษา non-small cell lung cancer และมะเร็งเต้านม
4.2 ยากลุ่ม taxanes
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาจะไปจับกับ B-tubulin ทำให้เพิ่มการก่อตัวเป็น microtubules แต่ยับยั้งการสลายของสาย microtubules ทำให้การแบ่งเซลล์ไมโตซิสไม่สมบูรณ์โดยหยุดชะงักที่ระยะ anaphase
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่
5. ยากลุ่มฮอร์โมน (Hormone and hormone antagonists)
- ยากลุ่มสเตียรอยด์(Glucocorticoids)
ได้แก่ Prednisolone, Prednisone และ Hydrocortisone
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน(antiestrogens)
ได้แก่ Tamoxifen, Toremifene, Raloxifene
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: Tamoxifen เป็นตัวเลือกแรกในการนำมาใช้รักษามะเร็งเต้านม Toremifene ใช้รักษามะเร็งเต้ามนม Raloxifene ใช้การป้องกันการเกิดมะเร็งโรคกระดูกพรุน
- ยาออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมน(anti androgens)
ได้แก่ Goserelin, Leuprolide, Abarelix
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ยาGoserelin เป็นยาที่ใช้ฝังในกล้ามเนื้อ ส่วนยา Leuprolide เป็นยาฉียเข้าชั้นใต้ผิวหนัง ใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ยา Abarelix เป็นยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ใช้บรรเทาอาการผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย
- ยาฮอร์โมนโปรเจสติน(Progestins)
ได้แก่ Megestrol acetate เป็น progesterone สังเคราะห์
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งของไต
6. ยามะเร็งมุ่งเป้า (Tarted gene therapy)
6.1 ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal antibodies)
- Trastuzumab
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาจะไปจับกับ human epidermoid growth factor receptor ซึ่งเกี่ยวข้องกับ tyrosine kinase ที่มีมากในมะเร็งเต้านม
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปแล้ว
- Rituximab
กลไกการออกกฤทธิ์
: ยาไปจับกับ CD20 ที่ผิว B Cell ได้ หลังจากที่จับกันแล้วจะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้มากำจัดเซลล์มะเร็ง เกิดการตายของเซลล์มะเร็งในที่สุด
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- Cetuximab
กลไกการออกฤทธิ์
: ซึ่งไปจับที่ epidermal growth factor ทำให้ไม่สามารถรับสัญญาณที่จะไปกระตุ้น การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอ และมะเร็งลำไส้ส่วนล่าง
- Alemtuzumab
กลไกการออกฤทธิ์
: ไปจับกับ CD52 ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบได้ในเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งชนิด B cell หรือ T cell แล้วจะไปกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้มากำจัดเซลล์มะเร็งต่อไป
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด B cell chronic lymphocytic leukemia
6.2 ยาโมเลกุลขนาดเล็ก (Small molecules)
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาไปยับยั้งเอนไซม์ไคเนส ซึ่งมีความสำคัญในการส่งสัญญาณให้เซลล์มะเร็งเกิดการแบ่งเซลล์ ทำให้เกิดกระบวนการยับยั้งการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของเซลล์ และยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ในก้อนเนื้อมะเร็ง
- Imatinib
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษา gastrointestinal stromal tumor ซึ่งเป็นมะเร็งลำไส้ที่พบได้น้อยชนิดหนึ่งและมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- Dasatinib
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด chronic myeloid leukemia และรักษามะเร็งที่ดื้อต่อยา Imatinib ได้
- Nilotinib
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษา chronic myeloid leukemia และรักษามะเร็งที่ดื้อต่อยา Imatinib ได้
7. ยากลุ่มอื่นๆ (Other anticancer agents)
7.1 Asparaginase
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาจะไปเร่งปฏิกิริยา hydrolysis ทำให้เซลล์มะเร็งขาดสารจำเป็นที่จะนำไปสร้างการเจริญเติบโนและสร้างโปรตีน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้ในการรักษา ALL ในเด็ก โดยใช้ร่วกับ Vincristine และ Prednisone
7.2 Mitotane
กลไกการออกฤทธิ์
: รบกวนการทำงานของไมโตครอนเดรียในเซลล์ต่อมหมวกไตชั้นนอก ทำให้ฝ่อลงและลดการสร้าง cortisol
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งต่อมหมวกไตชั้นนอก(Adrenocortical carcinoma)
ยากดภูมิคุ้มกัน(Immunosuppressive agents)
เป็นกลุ่มยาที่้เพื่อกดหรือลดความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค และระบบภูมิต้านทานในร่างกาย
1. กลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แคลซินิวริน(Calcineurin inhibitors)
- Cyclosporin A
กลไกการออกฤทธิ์
: ยับยั้งเอนไซม์ calcineurin ส่งผลยับยั้งการสร้างและการหลั่ง IL-2 จาก T cell และกลายเป็น cytotoxic T lymphocytes ส่งผลให้ T lymphocyte activation ลดลง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้ป้องกันและรักษา acute graft rejection ในผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไต หัวใ ปอดและตับ
- Tacrolimus
กลไกการออกฤทธิ์
: ออกฤทธิ์เหมือนกับ cyclosporin แต่เป็นยาใหม่กว่า Cyclosporin และฤทธิ์แรงกว่า Cyclosporin 100 เท่า
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้แทน Cyclsporin ในการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
2. กลุ่มยาที่มีพิษต่อเซลล์(Cytotoxic agents)
- Azathioprine
กลไกการออกฤทธิ์
: ยับยั้งการสร้าง DNA,RNA และโปรตีน ส่วน active metabolite คือ 6-thioinosinic acid มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ต่างๆในการสร้างสารพิวรีน มีผลยับยั้งการสร้าง DNA และยั่บยั้งการแบ่งตัวของเซลล์
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้ร่าวมกับยากลุ่ม Corticosteroides และ Cyclosporin ในการรักษาแบบ triple therapy เพื่อป้องกัน acute araft rejection จากการปลูกถ่ายไตหรือตับ หรือใช้รักษาโรคภูมิคุ้มกันต้านตัวเองหลายชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ที่รุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยาอื่น SLE
- Mycophenolate mofetil : Cellcept
กลไลการออกฤทธิ์
: เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น mycophenolic acid มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ inosine monophosphate dehydrogenase ส่งผลยับยั้งการสร้าง DNA,RNA และโปรตีน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้ป้องกันและรักษา acute graft rejection ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะร่วมกับยาตัวอื่นแทน Azathioprine Mycophenolate
- Sirolimus หรือ Everolimus
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาไปยับยั้งการทำงานของ mammalian target of rapamycin ยับยั้งการเจริญและแบ่งตัวของ T cell และยับยั้งการตอบสนองของ T cell ต่อ IL-2 ไม่ได้ยับยั้งการสร้าง IL-2 เหมือน Cyclosporin
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้ป้องกันการเกิด acute graft rejection โดยให้ร่วมกับ cyclosporine และ corticosteroids นอกจานี้ยังมียากลุ่ม cytotoxic agents และ antiproliferative ที่นำมาใช้กดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น Methotrexate, Cyclophosphamide และ Leflunomide เป็นต้น
- Leflunomide
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาไปยับยั้งการสังเคราะห์ pyrimidine ส่งผลให้การสังเคราะห์และการสร้าง DNA และ RNA ถูกยับยั้ง จึงทำให้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านการเจริญเติบโตของเซลล์
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
3. กลุ่มอดรีโนคอร์ติคอยด์(Adrenocorticoides)
ยากลุ่มนี้เป็นยากดภูมิคุ้มกันที่ใช้ในระยะยาว ได้แก่ Prednisolone, Prednisone, Betamethasone, Dexamethasone และ Methyprednisolne
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาจะไปควบคุมการทำงานของ gene โดยจับกับ Steroid receptor ภายในเซลล์ได้เป็น drug-receptor complex ไปออกฤทธิ์ที่นิวเคลียสโดยไปยับยั้งการสร้าง mRNA ของโปรตีนหลายชนิด ยาสามารถออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันได้หลายวิธี
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ในด้านการกดภูมิคุ้มกัน หากใช้ในขนาดสูง สามารนำไปใช้กดอาการแสดงของโรคภูมิคุ้มกัน เช่น โรคภูมิแพ้ตนเอง ใช้ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ เพื่อป้องกันและรักษาการต้านเนื้อเยื่อจากการปลูกถ่ายอวัยวะ ใช้รักษาภาวะผู้รับปฏิเสธเซลล์ของผู้ให้ในการปลูก่ายไขกระดูก
4. กลุ่มสารยับยั้ง(Cytokines inhibitors)
- Anti-IL-2 receptor antibody
ได้แก่ Daclizumab และ Basiliximab
กลไกการออกฤทธิ์
: ออกฤทธิ์ยับยั้งการกระตุ้น lymphocyte ด้วย IL-2 ที่เป็น phthway สำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ที่ทำให้เกิดการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้ในผู้ป่วยที่มีการปลูกถ่ายไต เพื่อเป็นการป้องกันการเกิด acute graft rejection หรือการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน โดยให้ร่วมกับยา cyclosporine corticosteroids ในผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไต
- Anti-CD2
ได้แก่ Alefacept
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาออกฤทธิ์โดยจับกับ CD2 บนพื้นผิว T cell ทำให้ลงการแบ่งตัว ยับยั้งการกระตุ้นและเกิดการทำลาย T cell และทำให้จำนวน T cell ในกระแสเลือดลดลง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน
- Anti-TNF-a antibody
ได้แก่ Adalimumab, Infiximab, Golimumab และ Certolizumab pegol
กลไกการออกฤทธิ์
: เป็น anibodies ที่จับกับ TNF-a ซึ่งเป็น cytokine ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ เช่น IL-1, IL-6 และกระตุ้นการเคลื่อนตัวของเม็ดเลือดขาว
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ร่วมกับยา Methothexate ให้ผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อกลุ่มยา DMARDs นอกจากนั้นยังใช้รักษา Crohn's disease กรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่น
- Anti-IgE mAbs
ได้แก่ Omalizumab
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาจะไปปิดกั้นการจับของ IgE กับ Fc receptor ส่งผลให้เกิดการกลั่งสารที่ก่อให้เกิดการแพ้แบบ hypersensitivity ชนิดที่ 1 นอกจากนั้น ยายังทำให้ระดับ IgE ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะหยุดยาไปแล้ว
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษาโรคหอบหืดที่เกิดจากภูมิแพ้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยากลุ่ม Steroides ชนิดสูดพ่น
- Anti-lymphocyte globulin และ Antilymphocyte globulin:Lymphoglobulin, Thymoglobulin
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาออกฤทธิ์โดยจับกับโมเลกุลบนพื้นผิว T cell ทำให้ลดการแบ่งตัว ยับยั้งการกระตุ้นและเกิดการทำลาย T cell ยาออกฤทธิ์แรง กดภูมิคุ้มกันแบบ cell-mediated immune response ทำให้จำนวน T cell ลดลงอย่างมาก
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษาภาวะปฏิเสธการปลูกถ่ายไตแบบเฉียบพลัน ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต นิยมใช้ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกันอื่นๆ และใช้รักษาโรคไขกระดูกฝ่อ