Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน - Coggle Diagram
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน
ยาต้านมะเร็ง (Antineoplastic druge)
ระยะของการแบ่งตัวในวัฏจักรของเซลล์
S phase เป็นระยะที่เซลล์ทําการสร้างและสังเคราะห์ DNA ให้เพิ่มขึ้นเท่าตัว
G2 phase เป็นระยะที่เซลล์สร้างองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อใช้ในการแบ่ง DNA และแบ่งเซลล์เป็น 2 เซลล์
G1, phase phase เป็นระยะแรกที่เซลล์เริ่มเข้าสู่การแบ่งตัว เป็นระยะที่เซลล์มีการสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ
M phase เป็นระยะที่โครโมโซมหนาตัวขึ้นและเซลล์มีการแบ่งตัวแบบ mitosis มีการแบ่งแยกโครโมโซม
ออกเป็น 2 เซลล์ที่มีองค์ประกอบเหมือนกันและเท่ากัน
G0 Phase เป็นระยะพักของเซลล์ หลังจากที่เซลล์แบ่งตัวเสร็จสมบูรณ์แล้ว
การเเบ่งประเภทยาตามการออกฤทธื์
Cell cycle - specici druge (CCS) ยาที่ออกฤทธิ์ที่อยู่ในระยะใดระยะหนึ่งของวงค์จรเซลล์
Cell cycle - nonspecific druges (CCNS) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ทุกระยะ
Chemotherapy
1. ยากลุ่ม Alkylating agents
1.1 Cyclophosphamide
กลไกการออกฤทธิ์
: น phosphoramide mustard แทรกเข้าไปในขบวนการสร้าง DNA แบบ crossLinking และมีการเติมหมู่ alkyl ที่เบส guanine บนสาย DNA และกระตุ้นให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็ง รังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ําเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's และ non-Hodgkin lymphoma มะเร็งเม็ดเลือด ขาว (leukemia) ทุกชนิด และมะเร็งหลายชนิดในเด็ก นอกจากนี้ยังใช้เป็นยากดภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะ
1.2 Ifosfamide (Holoxan; IFOS)
กลไกการออกฤทธิ์
: กลไกเหมือน Cyclophosphamide
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: ยามีทั้งรูปแบบฉีดและยารับประทาน ใช้ รักษามะต่อมน้ําเหลือง มะเร็งเร็งอัณฑะ (testicular carcinoma) และ มะเร็งของ เนื้อเยื่ออ่อน (Soft tissue sarcoma)
1.3 Chlorambucil
กลไกการออกฤทธิ์
: เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA แบบ CrossLinking ส่งผลทําให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่งตัวได้ และทําให้เซลล์ตาย
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยามาตรฐานในการรักษา มะเร็งเม็ด เลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic lymphocytic leukaennia; CLL) และมะเร็งต่อมน้ําเหลืองชนิด follicular
1.4 Carmustine
กลไกการออกฤทธิ์:
ทําให้เกิด หมู่ Alkyl ไปจับกับสายของ DNA ส่งผลให้ DNA ทําให้เซลล์มะเร็ง แบ่งตัวไม่ได้ เกิด DNA strand break และทําให้เซลล์ตาย
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: รักษามะเร็งสมอง
1.5 Dacarbazine (DTIC)
กลไกการออกฤทธิ์
: เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้กลายเป็นสารที่มีพิษต่อ การสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์มะเร็ง
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดํา ใช้ร่วมกับยา Adriamycin, Bleomycin, Vinblastine หรือ Dacarbazine ในการรักษามะเร็งต่อมน้ําเหลืองชนิด Hodgkin's lymphoma และมะเร็ง ผิวหนัง (melanoma)
1.6 Cisplatin, Carboplatin
กลไกการออกฤทธิ์
: เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA ทําให้เกิดการยับย้ง กระบวนการ DNA replication และ DNA transcription
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดําหรือฉีดเข้าทางช่องท้อง ใช้ ร่วมกับยืนในการรักษา มะเร็งอัณฑะ มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และมะเร็งทางเดินอาหาร
1.7 Busulfan (Myleran)
กลไกการออกฤทธิ์
: เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA แบบ cross-linking ส่งผลทําใน เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่งตัวได้ และทําให้เซลล์ตาย
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด (chronic Invelg4 CML) และใช้ร่วมกับยาเคมีบําบัดอื่น
1.8 Mechlorethamine (Mustargen, Mustine)
กลไกการออกฤทธิ์:
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA ทําให้เกิดสาย DNA แตก และยับยั้งกระบวนการ DNA transcription
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
เดิมใช้รักษารักษามะเร็งต่อมน้ําเหลืองชนิด Hodgkin's lymphoma แต่ปัจจุบันใช้ยานี้น้อยลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนไปใช้ Cyclophosphamide และยาอื่น ๆ แทน
ผลข้างเคียงจากยากลุ่ม Alkylating agents
ทำให้เกิดการกดการทำงานของไขกระดูก ทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ เม็ดเลือดแดงต่ำ และเกล็ดเลือดต่ำ
ความเป็นพิษต่อไต
อาการพิษต่อระบบประสาท
ยากลุ่มนี้มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงการเกิดพิษต่อหัวใจได้
ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร
ผลต่อผิวหนัง
2. ยากลุ่ม Antimetabolites / Antineoplastic agent
2.1 Antifolate/Folate antagonist: Methotrexate
2.1.1 Methotrexate (MTX)
กลไกการออกฤทธิ์
: เป็นยาต้านโฟเลต ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ dihydrofolate reductase (DHFR) ที่เปลี่ยน dihydrofolate ไปเป็น tetrahydrofolate ที่เป็น Cofactor สําคัญที่นําไปใช้สร้างสารตั้งต้นของ DNA, RNA และโปรตีน
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษาโรคมะเร็งหลายชนิด ใช้รักษามะเร็งต่อไปนี้เช่น มะเร็งรก (choriocarcinoma) มะเร็งที่ศีรษะและคอ (head and neck Cancers) มะเร็งปอด
2.1.2 Pemetrexed
กลไกการออกฤทธิ์:
เป็นยาต้านโฟเลตตัวใหม่ เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูก metabolite ให้กลายเป็นสารที่มีฤทธิ์ไปยับยั้งการสังเคราะห์และสร้างสารตั้งต้นของ DNA, RINA และโปรตีน
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน
ผลข้างเคียงจากยากลุ่มยา Antifolate/Folate antagonist
อาจทําให้แท้งและเด็กในครรภ์พิการได้ พิษต่อตับ
ผิวหนังจะถูกแสงแดดเผาได้ง่าย
จํานวนเม็ดเลือดขาวลดลง จึงทําให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
ผมร่วง
ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับยาในขนาดสูง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน
2.2 Purine analogs
2.2.1 ยา 6-mercaptopurine (6-MP)
กลไกการออกฤทธิ์
: เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายเบสเพียวรีน (purine analog) ซึ่งเป็นยาชนิดแรกในกลุ่มนี้ที่นํามาใช้รักษาโรคมะเร็ง เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดจะถูกเปลี่ยนเป็นสารไรโบนิวคลีโอไทด์ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเอนไซม์หลายตัวที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง purine ที่ถูกนำมาใช้ในการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก ที่จำเป็นในการสร้าง DNA จึงทำให้ไม่สามารถสร้างและสังเคราะห์ DNA และ RNA ได้
การนำไปใช้ทางคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวALLและ AML หรือANLL
2.2.2 ยา 6-thioguanine (6-TG)
กลไกการออกฤทธิ์:
คล้ายกับ 6-MP
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ANLL หรือ AML โดยใช้ร่วม Daunorubicin ua: Cytarabine
2.2.3 ยา Fludarabine
กลไกการออกฤทธิ์:
เข้าไปแทรกกระบวนการเชื่อมจับของสาย DNA เกิดการยับยั้งการจะไปเข้าไปสร้าง DNA
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
เนื่องจากเป็นพิษต่อทางเดิน อาหารมาก หากให้โดยการรับประทาน ใช้รักษา CLL และมะเร็งต่อน้ําเหลืองที่ไม่รุนแรง
ผลข้างเคียงจากยากลุ่มยา Purine analogs
กดไขกระดูก ขนาดยาที่สูงจะทําให้เกิด Leucopenia, thrombocytopenia เกิดพิษต่อตับและ
รบกวนระบบทางเดินอาหาร
มีแผลในปาก หรือริมฝีปาก
อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ แต่พบไม่บ่อย เช่น อุจจาระสีดํา ปัสสาวะหรืออจจาระเป็นเลือด
2.3 Pyrimidine analogs
2.3.1 5-fใuorouracil (5-FU)
กลไกการออกฤทธิ์:
ยับยั้งการทํางานของเอนไซม์ thymidylate Synthase ซึ่งเป็น เอนไข ในการสังเคราะห์ DNA และ RNA
การนําไปใช้ในคลินิก:
รักษามะเร็งเต้านม มะเร็งทางเดินอาหาร เช่น เมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งลําไส้ใหญ่
2.3.2 Capectibine
กลไกการออกฤทธิ์:
คล้ายกับ 5-FU
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษาเพื่อบรรเทาอาการ (palliative
ment) ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปแล้ว ปัจจุบันนิยมใช้ร่วมกับยา Oxaltiplatin ในการรักษา มะเร็งลําไส้ใหญ่ที่แพร่กระจาย
2.3.3 Cytarabine
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาจะไปเติมหมู่ฟอตเฟต ทําให้เกิดการยับยั้งการเชื่อมต่อสายของสาย DNA
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดํา นิยมใช้การหยดแบบช้า ๆ เป็นเวลา 5-7 วัน ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML
2.3.4 Gemcitabine
กลไกการออกฤทธิ์: เมื่อยาเข้าสู่เซลล์ ยาจะถูกกระตุ้นให้มีการเติมหมู่ฟอตเฟต จะไปเข้าไปแทรกกระบวนการเชื่อมจับของสาย DNA เกิดการยับยั้งการสร้าง DNA
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งตับ อ่อนที่แพร่กระจายไปแล้ว มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็ง กระเพาะอาหาร และมะเร็งที่ศีรษะและคอ
ผลข้างเคียงจากยากลุ่ม Pyrimidine analogs
กดการสร้างเม็ดเลือด (myelosuppression) และการกดการทํางานของไขกระดูก (bone marrow
suppression)
มีแผลในทางเดินอาหารตั้งแต่ที่ริมฝีปาก ในช่องปากและเยื่อบุทางเดินอาหาร
อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนพะอืดพะอมหรืออาการท้องเสีย
อาจพบอาการอ่อนเพลียไม่มีแรง
ผิวหนังจะถูกแสงแดดเผาได้ง่าย
ผมร่วง
3. ยากลุ่ม Anticancer antibiotics
3.1 Dactinomycin หรือ actinomycin D
กลไกการออกฤทธิ์:
สอดแทรกเข้าไปในสาย DNA ยับยั้ง RNA polymerase ทําให้สาย single-strand ของ DNA แตก
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้ร่วมกับยา hCristine ในการรักษา Wilms” tumor และมะเร็งของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในเด็ก (rhabdomyCosarcoma) และใช้ร่วมกับยาMethotrexate ในการรักษา Choriocarcinama
3.2 Doxorubicin (DOX): ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Anthracyclines
กลไกการออกฤทธิ์:
มีหลายกลไก เช่น ยับยั้ง topoisomerase 2 แทรกไป อยู่ระหว่าง DNA base pairs ในสาย DNA ปิดกั้นการสังเคราะห์ DNA และ RNA รบกวนการทํางานของเยื่อหุ้มเซลล์ และสร้างอนุมูลอิสระซึ่งทําให้สาย DNA แตก
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดํา (หากเป็นยา รับประทาน ยาจะถูกทําลายในกระเพราะอาหาร) มีฤทธิ์ในการรักษามะเร็งหลายได้
3.3 Bleomycin
กลไกการออกฤทธิ์:
ออกฤทธิ์โดยจับกับธาตุเหล็ก
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดํา ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดชั้น ใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าช่องต่าง ๆ ของร่างกาย
3.4 Mitomycin
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาถูกเปลี่ยนแปลงในเซลล์ไปเป็นสาร Alkylating agents ที่ มีฤทธิ์แรงมาก ทําให้เกิดสะพานในสาย DNA มีผลยับยั้งการสังเคราะห์ DNA
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งปากมดลูก (Carcinoma of Cervix) มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งลําไส้ใหญ่
ผลข้างเคียงจากยากลุ่ม Anticancer antibiotics
ยา doxorubicin มีพิษต่อหัวใจ (Cardiotoxicity) มีผลทั้งพิษเฉียบพลันและเรื้อรัง
ยา Mitomycin ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อไต และเกิดพังผืดในปอด (ling fibrosis)
ยากดการทํางานของไขกระดูก (bone marrow suppression)
ผิวหนังไวต่อการฉายรังสี เยื่อบุในช่องปากอักเสบ และผมร่วง
หากยารั่วออกนอกหลอดเลือด (extravasation) จะทําให้ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ ตาย
ยากลุ่มสารสกัดจากพืชธรรมชาติ (Natural and semi-synthetic products)
4.1 ยากลุ่ม vinca alkaloids
กลไกการออกฤทธิ์
ของยากลุ่ม vinca alkaloids: ยาจะไปจับกับโปรตีน tubulin ทําให้ยับยั้งการ ประกอบ microtubules ยับยั้งการประกอบตัวของ mitotic spindle เซลล์หยุดการเจริญเติบโตในระยะ metaphase
4.1.1 Vincristine (VCR): Oncovin
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด acute lymphocytic leukemia, มะเร็งต่อมน้ําเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's และ non-Hodgkin tymphoma, มะเร็งหลายชนิดในเด็ก
4.1.2 Vinblastine (VLB): Velban
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษามะเร็งต่อม น้ําเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's และ non-Hodgkin lymphoma, มะเร็งลูกอัณฑะ (testicular cancer) และมะเร็งเต้านม
4.1.3 Vinorelbine: Navelbine
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษา non-small cell ในng cancer และมะเร็งเต้านม
ผลข้างเคียงจากยากลุ่ม vinca alkaloids
ผลข้างเคียงอื่นที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเดิน ปวดท้อง เม็ดเลือดขาวต่ํา เกล็ด
เลือดต่ํา ซีด ความดันโลหิตต่ํา
Vincistine มีพิษต่อระบบประสาทกล้ามเนื้อ เช่น ชาตามปลายมือปลายเท้า เดินเซ (ataxia) และอาจ
ทาให้กล้ามเนื้อฝ่อลีบ
อาจพบการอักเสบของหลอดเลือดดํา (phlebitis) บริเวณที่ให้ยา
Vinblastine และ Vinorelbine กดไขกระดูกมากกว่า vincristine
4.2 ยากลุ่ม taxanes
กลไกการออกฤทธิ์
ของยากลุ่ม taxanes ยาจะไปจับกับ B-tubulin ทําให้เพิ่มการก่อตัวเป็น microtubules แต่ยับยั้งการสลายของสาย microtubules ทําให้การแบ่งเซลล์ไมโตซิสไม่สมบูรณ์โดยหยุดชะงักที่ระยะ anaphase
การนําไปใช้รักษาในคลินิกของยากลุ่ม taxanes:
ใช้รักษา มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งที่ศีรษะและคอ
5. ยากลุ่มฮอร์โมน (Hormone and hormone antagonists)
5.1 ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Glucocorticoids)
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ําเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's และ non-Hodgkin lymphoma มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL
ผลข้างเคียงของยากลุ่มสเตียรอยด์
มีโอกาสติดเชื้อง่าย กลูโคสในเลือดสูง (hyperglycemia) โรคกระดูกพรุน (osteoporosis) โรคและในกระเพาะอาหารและลําไส้
5.2 ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน (antiestrogens)
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
Tamoxifen: เป็นตัวเลือกแรกในการนํามาใช้รักษามะเร็งเต้า,
Torennifene ใช้รักษามะเร็งเต้านม, และ Raloxifene: ใช้การป้องกันการเกิดมะเร็งโรคกระดูกพรุน(osteoporosis)
5.3 ยาออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมน androgen (anti androgens)
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ยา Goserelin เป็นยาที่ใช้ฝังในกล้ามเนื้อ ส่วนยา Leuprolide เป็นยาฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง กลุ่มยานี้ใช้รักษามะเร็งต่อมลูกหมาก (prostate Cancer) มะเร็งเต้านม ในระยะแพร่กระจาย
ยา Abarelix เป็นยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ใช้บรรเทาอาการผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย
ผลข้างเคียงของยากลุ่มออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมน androgen
ร้อนวูบวาบ
เสมรรถภาพทางเพศ
ในระยะแรกอาจทําให้เซลล์มะเร็งเจริญมากขึ้น จากผลกระตุ้นการหลั่ง FSH และ LH ในช่วงแรก
5.4 ยาฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestins)
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งเยื่อบุมดลูก (endometrial carcinoma) มะเร็งเต้านม (breast cancer) และมะเร็งของไต (renal carcinoma)
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ
progestins เพิ่มอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
6. ยามะเร็งมุ่งเป้า (Targeted gene therapy)
6.1 ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal antibodies)
6.1.1 Trastuzumab (Herceptin)
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาจะไปจับกับ human epidermoid growth factor receptor 2 (HER-2) ซึ่ง receptor ชนิดนี้เกี่ยวข้องกับ tyrosine kinase ทมีมากในมะเร็งเต้านม ทําให้ HER-2 receptor ไม่สามารถส่งสัญญาณไปกระตุ้นการเจริญเต่เซลล์มะเร็งได้
การนําไปใช้รักษาทางคลินิก:
ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปแล้ว
ผลข้างเคียงจากยา Trastuzumab (Herceptin )
อาจทําให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวคั่ง
6.1.2 Rituximab (Rituxan)
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาไปจับกับ CD20 ที่ผิว B cell ได้ หลังจากที่จับกัน แล้วจะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้มากําจัดเซลล์มะเร็ง เกิดการตายของเซลล์มะเร็งในที่สุด
การนําไปใช้รักษาทางคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ําเหลืองชนิด B-cell lymphoma
ผลข้างเคียงจากยา Rituximab (Rituxan ) -
อาจทําให้เกิด infusion reaction ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น มีอาการความดันเลือดดํา
6.1.3 Cetuximab (Erbitux)
กลไกการออกฤทธิ์:
ซึ่งไปจับที่ epidermal growth factor (EGFR) ทํา ให้ไม่สามารถรับสัญญาณที่จะไปกระตุ้น การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
การนําไปใช้รักษาทางคลินิก
: ใช้รักษา มะเร็งบริเวณศีรษะและลําคอ และมะเร็งลําไส้ส่วนล่าง
6.1.4 Alemtuzumab (Campath )
กลไกการออกฤทธิ์:
ไปจับกับ CD52 ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบได้ในเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งชนิด B cell หรือ T cell แล้วจะไปกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้มากําจัดเซลล์มะเร็งต่อไป
การนําไปใช้รักษาทางคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด B-cell chronic Lymphocytic leukemia (B CLL)
ผลข้างเคียงจากยา Alermtuzumab (Campath )
- อาจทําให้เกิด infusion reaction ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
6.2 ยาโมเลกุลขนาดเล็ก (Small molecules)
กลไกการออกฤทธิยากลุ่ม Smal molecules
:ยาไปยับยั้งเอนไซม์ไคเนส (tyrosine kinase) เอนไซม์นี้มีความสําคัญในการส่งสัญญาณให้เซล** เกิดการแบ่งเซลล์ ทําให้เกิดกระบวนการยับยั้งการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของเซลล์ และยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ในก้อนเนื้อมะเร็ง
6.2.1 Imatinib (Gleevec)
การนําไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษา gastrointestinal stronmal tumor ซึ่งเป็นมะเร็งลําไส้ที่พบได้น้อยชนิดหนึ่งและมะเร็งเม็ดเลือดขาว
6.2.2 Dasatinib (Sprycel®)
การนําไปใช้รักษาทางคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด chronic myeloid leukemia และ acute lymphoblastic leukemia และรักษามะเร็งที่ ดื้อต่อยา Imatinib ได้
6.2.3 Nilotinib (Tasigna)
การนําไปใช้รักษาทางคลินิก
: ใช้รักษา chronic myeloid leukemia และรักษามะเร็งที่ดื้อต่อยา เmatinib ได้ ปฏิกิริยาระหว่างยา - ยับยั้งเอนไซม์ CYP450
ผลข้างเคียงจากยากลุ่ม Small molecules:
มีของเหลวคั่งในร่างกาย
พิษต่อตับ ทําให้บวมน้ํา
เกล็ดเลือดต่ํา ทําให้เลือดออกง่าย
กดไขกระดูกทําให้เม็ดเลือดขาวชนิด neutrophit ต่ํา เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
Dasatinib และ Nilotinib ทําให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
7. ยากลุ่ม อื่น ๆ (Other anticancer agents)
7.1 Asparaginase
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาจะไปเร่งปฏิกิริยา hydrolysis ทําให้ เซลล์มะเร็งขาดสารจําเป็นที่จะนําไปสร้างการเจริญเติบโตและสร้างโปรตีน ทํา ให้เซลล์ไม่สามารถสังเคราะห์และสร้างตัวเองได้
การนําไปใช้รักษาทางคลินิก:
ใช้ในการรักษา ALL ในเด็ก โดยใช้ ร่วมกับ Vincristine และ Prednisone
ผลข้างเคียงจากยา Asparaginase
อาจทําให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง อาจทําให้เสียชีวิตได้ ทําให้เกิดตับอ่อนอักเสบ พิษต่อตับ ชัก และโคม่าได้
7.2 Mitotane
การออกฤทธิ์:
รบกวนการทํางานของไมโตครอนเดรียในเซลล์ต่อมหมวกไตชั้นนอก
การนําไปใช้รักษาทางคลินิก:
ใช้รักษา (Adrenocortical carcinoma)
ผลข้างเคียงจากยา Mitotane - อาจทําให้เกิดอาการซึมเศร้า (Depression) มีนศีรษะ (Dizziness) มีผืน (Skin)
ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive agents)
1.กลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แคลซินิวริน (Calcineurin inhibitors)
1.1 Cyclosporin A (CSA)
กลไกการออกฤทธิ์
: ยับยั้งเอนไซม์ calcineurin ส่งผลยับยั้งการสร้างและการหลั่ง IL-2 จาก T cell
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้ป้องกันและรักษา acute graft rejection (การปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน) ในผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไต หัวใจ ปอดและตับ
1.2 Tacrolimus (FK506)
กลไกการออกฤทธิ์
: ออกฤทธิ์เหมือนกับ Cyclosporin แต่เป็นยาใหม่กว่า Cyclosporin และฤทธิ์แรงกว่า Cyclosporin 100 เท่า
การนําไปใช้ในคลินิก:
ใช้แทน Cyclosporin ในการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับ การปลูกถ่ายอวัยวะ (organ transplantation) เนื่องจากมีผลข้างเคียงน้อยกว่า และลดขนาดของยา corticosteroids ที่ใช้ร่วมด้วยได้
ผลข้างเคียงจากยา Tacrolimus (FK506 )
คล้ายกับ Cyclosporin แต่ยาไม่ทําให้เหงือกหนาและขนดก
ยามีพิษต่อระบประสาท ซึ่งพบได้บ่อยกว่า Cyclosporin
2. กลุ่มยาที่มีพิษต่อเซลล์ (Cytotoxic agents)
2.1 Azathioprine (Imuran)
กลไกการออกฤทธิ์:
ยับยั้งการสร้าง DNA, RNA และโปรตีน ส่วน active metabolite
การนําไปใช้ในคลินิก
: ใช้ร่วมกับยากลุ่ม Corticosteroids และ Cyclosporin ในการรักษาแบบ triple therapy เพื่อป้องกัน acute graft rejection
ผลข้างเคียงของยา Azathiopr"
กดการทํางานของไขกระดูก
คลื่รไส้ อาเจียน
ตัวเหลือง ตาเหลือง ผมร่วง กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลีย เป็นผื่น
2.2 Mycophenolate mofetil (MMF): Cellcept
กลไกการออกฤทธิ์:
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น mycophenolic acid (MPA)มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ inosine monophosphate dehydrogenase
การนําไปใช้รักษาในคลินิก: ใช้ป้องกันและรักษา acute graft rejection (การปฏิเสธการปลูก อวัยวะแบบเฉียบพลัน) ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะร่วมกับยาตัวอื่นแทน
2.3 Sirolimus uža Everolimus
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาไปยับยั้งการทํางานของ mammalian target of rapamycin mTOR (ซึ่งเป็นเอนไซม์ kinase ที่สําคัญต่อการออกฤทธิ์ของ IL-2) ยับยั้งการเจริญและแบ่งตัวของ T cell และยับยั้งการตอบสนองของ T cell ต่อ IL-2
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้ป้องกันการเกิด acute graft rejection (การปฏิเสธการปลูกตาย อวัยวะแบบเฉียบพลัน)
2.4 Leflunomide
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาไปยับยั้งการสังเคราะห์ pyrimidine ส่งผลให้การ สังเคราะห์และการสร้าง DNA และ RNA ถูกยับยั้ง จึงทําให้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและ ต้านการเจริญเติบโตของเซลล์
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ผลข้างเคียงของยา Lefในnomide
พิษต่อตับ พิษต่อไต ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคตับและโรคไต
3. กลุ่มอดรีโนคอร์ติคอยด์ (Adrenocorticoids)
กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่มอดรีโนคอร์ติคอยด์ (Adrenocorticoids)
: การออกฤทธิ์ยาจะไปควบคุมการทํางานขของ gene โดยจับกับ steroid receptor ภายในเซลล์ได้เป็น drug-receptor Complex ไปออกฤทธิ์ที่นิวเคลียสโดยไปยับยั้ง การสร้าง mRNA ของโปรตีนหลายชนิด รวมทั้ง Cytokine ชนิดต่าง ๆ ยาสามารถ ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันได้หลายวิธี เช่น กดการทํางานของเซลล์ macrophage, T และ B lymphocyte ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ lymphocyte ยับยั้งการสร้าง Cytokine หลายชนิด ทําให้ จํานวน lymphocyte ในกระแสเลือดลดลงได้ทันทีและได้นานถึง 24 ชั่วโมง
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ในด้านการกดภูมคุ้มกัน หากใช้ในขนาดสูง (high dose) สามารถนําไปใช้กด อาการแสดงของโรคภูมิคุ้มกัน (autoimmune disorders)
4. กลุ่มสารยับยั้ง Cytokines (Cytokines inhibitors)
4.1 Anti-IL-2 receptor antibody
กลไกการออกฤทธิ์
: ออกฤทธิ์ยับยั้งการกระตุ้น (ymphocyte ด้วย IL-2 ที่ เป็น pathway สําคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ที่ทําให้เกิดการปฏิเสธการปลูก ถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้ในผู้ป่วยที่มีการปลูกถ่ายไต เพื่อเป็นการป้องกันการเกิด acute graft rejection หรือการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน โดยให้ร่วมกับยา Cyclosporine และ Corticosteroids ในผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไต
4.2 Anti-CD2
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาออกฤทธิ์โดยจับกับ CD2 บนพื้นผิว T cell ทําให้ลดการแบ่งตัว ยับยั้งการ กระตุ้นและเกิดการทําลาย T cell และทําให้จํานวน T cell ในกระแสเลือดลดลง
การนําไปใช้รักษาในคลินิก
: ใช้รักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน (psoriasis)
4.3 Anti-TNF-d antibody
กลไกการออกฤทธิ์:
เป็น antibodies ที่จับกับ TNF-4 ซึ่งเป็น cytokine ที่เหนี่ยวนําให้เกิดการ อักเสบ เช่น IL-1, IL-6 และกระตุ้นการเคลื่อนตัวของเม็ดเลือดขาว
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ร่วมกับยา Methothexate ให้ ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อกลุ่มยา DMARDs นอกจากนั้นยังใช้รักษา Crohn's disease กรณีที่ไม่ตอบสนอง ต่อการรักษาด้วยยาอื่น
4.4 Anti-lgE mAbs
กลไกการออกฤทธิ์
: ยาจะไปปิดกั้นการจับของ lgE กับ FC receptor ส่งผลให้ลด การหลั่งสารที่ก่อให้เกิดการแพ้แบบ hypersensitivity ชนิดที่ 1 นอกจากนั้น ยายังทําให้นะ ดับ leE ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะหยุดยาไปแล้ว
การนําไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักโรคหอบหืดที่เกิดจากภูมิแพ้ (allergic asthma) ในผู้ป่วยที่ไม่ ตอบสนองต่อการใช้ยากลุ่ม steroids ชนิดสูดพ่น
4.5 Anti-lymphocyte globulin (ATG) bag Antilymphocyte globulin (ALG): Lymphoglobulin, Thymoglobulin
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาออกฤทธิ์โดยจับกับโมเลกุลบนพื้นผิว T cell ทําให้ลดการ แบ่งตัว ยับยั้งการกระตุ้นและเกิดการทําลาย T cell ยาออกฤทธิ์แรง กดภูมิคุ้มกันแบบ cell-mediated immune response ทําให้จํานวน T cell ลดลงอย่างมาก
การนําไปใช้รักษาในคลินิก: ใช้รักษาภาวะปฏิเสธการปลูกถ่ายไตแบบเฉียบพลัน (acute renal transplant rejection) ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต นิยมใช้ร่วมกับยากดภูมิคุ้มกันอื่น ๆ และใช้รักษาโรค ใจกระดูกฝ่อ (aplastic anemia)