Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน - Coggle Diagram
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน
มะเร็ง (Cancer)
คือกลุ่มของโรคที่เกิดจากความผิดปกติของรหัสสารพันธุกรรมส่งผลให้การเจริญเติบโตหรือการเพิ่มจำนวนเซลล์เป็นไปอย่างรวดเร็วมากกว่าปกติไม่สามารถควบคุมได้และเกิดเป็นเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ (Malignant tumor) หากเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นกับอวัยวะใดก็จะเรียกชื่อมะเร็งตามอวัยวะนั้นในสภาวะทั่วไป
โดยระยะของการแบ่งตัวในวัฏจักรของเซลล์ประกอบไปด้วย 5 ระยะ
G0 phase เป็นระยะพักของเซลล์หลังจากที่เซลล์แบ่งตัวเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือเรียกว่าระยะที่เซลล์อยู่เฉย ๆ ไม่มีการแบ่งตัว
G1 phase เป็นระยะแรกที่เซลล์เริ่มเข้าสู่การแบ่งตัวเป็นระยะที่เซลล์มีการสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ เช่นโปรตีนและเอนไซม์เพื่อใช้ในการสร้าง DNA และ RNA
Sphase เป็นระยะที่เซลล์ทำการสร้างและสังเคราะห์ DNA ให้เพิ่มขึ้นเท่าตัวเพื่อใช้ในการแบ่งเซลล์
G3 phase เป็นระยะที่เซลล์สร้างองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อใช้ในการแบ่ง DNA และแบ่งเซลล์เป็น 2 เซลล์
M phase เป็นระยะที่โครโมโซมหนาตัวขึ้นและเซลล์มีการแบ่งตัวแบบ mitosis มีการแบ่งแยกโครโมโซมออกเป็น 2 เซลล์ที่มีองค์ประกอบเหมือนกันและเท่ากัน
โดยได้การแบ่งประเภทยาตามการออกฤทธิ์ในวัฏจักรเซลล์มะเร็งได้เป็น 2 ประเภท
Cell cycle-specific drugs (CCS) วงจรเซลล์เท่านั้นไม่มีผลต่อเซลล์ในระยะอื่นยากลุ่มนี้ใช้ได้ผลดีในมะเร็งที่มีอัตราการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วหรือมีการแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องเช่นมะเร็งเม็ดเลือด
Cell cycle-nonspecific drugs (CCNS) ลุ่มนี้ใช้ได้ผลดีในมะเร็งที่มีอัตราการโตของก้อนมะเร็งทั้งต่ำและสูงถ้าหากแบ่งตามคุณสมบัติทางชีวเคมี (Biochemical)
ยากลุ่ม Alkylating agents ยากลุ่มนี้เป็นสาร alkylating agents ที่ทำให้เกิดหมู่อัลคิล (Alkyl group) เข้าไปทำปฏิกิริยาทางเคมีโดยไปจับกับสายของ DNA ส่งผลให้ DNA ไม่ให้แยกออกจากกันได้ทำให้เซลล์แบ่งตัวไม่ได้
ผลข้างเคียงจากยากลุ่ม Alkylating agents ทำให้เกิดการกดการทำงานของไขกระดูก (bone marrow suppression) ทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ (leucopenia) เม็ดเลือดแดงต่ำ (anemia) และเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) หลังได้รับยาเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยของยากลุ่มนี้
ยากลุ่ม Antimetabolites / Antineoplastic agents มีฤทธิ์ต้านมะเร็งโดยการไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ DNA โดยยาจะเข้าไปขัดขวางขบวนการการสร้าง folate, purine, pyrimidine ที่มีความจำเป็นต่อการสร้าง DNA และ RNA ยาออกฤทธิ์ทำลายเฉพาะเจาะในระยะ 5 ของ cell cycle โดยไปยับยั้ง DNA polymerase ทำให้หยุดการสร้าง DNA และ RNA และนำไปสู่การตายของเซลล์มะเร็งสารกลุ่มนี้จะมีโครงสร้างทางเคมีคล้ายกับนิวคลีโอไทด์
ผลข้างเคียงจากยากลุ่มยา Antifolate / Folate antagonist ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารมักจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับยาในขนาดสูงเช่นคลื่นไส้อาเจียนเมื่ออาหารเยื่อบุในช่องปากอักเสบอาจต้องใช้ยาต้านการอาเจียนร่วมด้วยจำนวนเม็ดเลือดขาวลดลงจึงทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงเลือดลดลงทำให้เลือดออกได้ง่ายอาจทำให้แท้งและเด็กในครรภ์พิการได้พิษต่อตับพิษต่อไตยากลุ่มนี้ทาให้เกิดอาการ folate deficiency ในเซลล์ปกติแก้ไขโดยการให้ Leucovorin ร่วมด้วย
ยากลุ่ม Anticancer antibiotics เป็นสารที่สกัดมาจากเชื้อราดินที่เรียกว่า Streptomyces ยามีผลต่อเซลล์ในทุกระยะ (cell cycle nonspecific; CCNS) จึงทำให้ยามีผลข้างเคียงมากกลไกของยาคือยาจะไปรบกวนเมแทบอลิซึมของ DNA โดยสอดแทรกเข้าไปในสาย DNA ซึ่งเป็นผลให้ DNA แตกและสามารถยังยั้งเซลล์มะเร็งได้ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Dactinomycin (แด็กทิโนมัยซิหรือ Actinomycin D), Doxorubicin (ดอกโซรูบิซิน), Bleomycin (บลีโอมัยซิน), Mitomycin C (ไมโตไมซินซี),
ผลข้างเคียงจากยากลุ่ม Anticancer antibiotics ยา doxorubicin มีพิษต่อหัวใจ (Cardiotoxicity) มีผลทั้งพิษเฉียบพลันและเรื้อรังทำให้เกิด Arrhyth กา ia และ CHF ตามลำดับยา bleomycin มีพิษต่อปอด (pulmonary toxicity) ทำให้ปอดอักเสบและมีพังผืดในปอดการให้ครั้งแรก ๆ ต้องระมัดระวังเพราะมีโอกาสแพ้ยาอย่างรุนแรงและเสียชีวิตได้ แต่มีข้อเด่นของยาตัวคือกดไขกระดูกน้อยมาก
ยากลุ่มฮอร์โมน (Hormone and hormone antagonists) การรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมนมักจะใช้ในกรณีที่มะเร็งมีการแพร่กระจายไปแล้วหรือใช้การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษาเนื่องจากฮอร์โมนต่าง ๆ จะไปกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ผลข้างเคียงจากกลุ่มยานี้ Progestins เพิ่มอุบัติการณ์ของการเกิกดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
ยามะเร็งมุ่งเป้า (Targeted gene therapy) ยามุ่งเป้าเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งโดยการไปยับยั้งสัญญาณที่ทำให้เซลล์มะเร็งเพิ่มจำนวนและเจริญเติบโตหรือรบกวนการทำงานของโมเลกุลที่มีความจำเพาะต่อการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งโดยยสส่งผลต่อเซลล์ปกติของร่างกายเพียงเล็กน้อย
ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal antibodies) เป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยจับกับโมเลกุลเป้าหมายที่อยู่ภายนอกเซลล์ ทำให้ยาสามารถยับยั้งและหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ตัวอย่างเช่นยา Transtuzumab / แทรซทูซูแม็บ (Herceptin / เฮอร์เซปติน) และ Rituximab / ริทักซิ
ยากลุ่มอื่นๆ (Other anticancer agents)
Asparaginase กลไกการออกฤทธิ์: ยาจะไปเร่งปฏิกิริยา hydrolysis ทำให้เซลล์มะเร็งขาดสารจำเป็นที่จะนำไปสร้างการเจริญเติบโตและสร้างโปรตีนทำให้เซลล์ไม่สามารถสังเคราะห์และสร้างตัวเองได้
ผลข้างเคียงจากยา Asparaginase อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบพิษต่อตับชักและโคม่าได้
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านมะเร็งโดยรวม
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาครั้งแรกพยาบาลเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยและครอบครัวโดยการให้บำบัดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการให้ยาเคมีบาบัดแผนและขั้นตอนในการให้ยาเคมีบำบัด
ประเมินภาวะสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาโดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาที่มีผลข้างเคียงสูงและได้รับยาหลาย ๆ ชนิดในเวลาเดียวกัน
ประเมินสัญญาณชีพก่อนและหลังให้ยา
ประเมินผลข้างเคียงจากการได้รับยาเคมีบำบัดที่พบบ่อยเช่นการกดการทำงานของไขกระดูก (ใช้หนาวสั่นเจ็บคอไอซีด) ภาวะเลือดออกผิดปกติ (เลือดออกตามไรฟันจำเลือดจุดเลือดออกตามร่างกายเลือดกำเดาไหลอุจจาระปัสสาวะเป็นเลือด)
กรณีได้ยาชนิดรับประทานดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและดื่มน้ำตามมาก ๆ หลังรับประทานยา เป็นต้น
ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive agents)
เป็นกลุ่มยาที่ใช้เพื่อกดหรือลดความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคและระบบภูมิต้านทานในร่างกาย
กลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แคลซินิวริน (Calcineurin inhibitors) ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Cyclosporine A (ไซโคลสปอริน) และ tacrolimus (ทราโคลิมัส)
เช่น Cyclosporin A (CSA)
กลไกการออกฤทธิ์: ยับยั้งเอนไซม์ calcineurin ส่งผลยับยั้งการสร้างและการหลั่ง IL-2 จาก T cell (ที่จะไปกระตุ้นการแบ่งตัวของ T-cell และกลายเป็น cytotoxic I lymphocytes; CTL) ส่งผลให้ T lymphocyte activation ลดลง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก: ใช้ป้องกันและรักษา acute graft rejection (การปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน)
ผลข้างเคียงจากยา Cyclosporin A (CSA) พิษต่อไต (nephrotoxicity) ขึ้นกับขนาดยาที่ให้และระดับยาในเลือดพิษต่อระบบประสาท (neurotoxicity) เช่นแขนขาชาสั่น (tremor) อาจทำให้ความดันโลหิตสูงน้ำตาลในเลือดสูงไขมันในเลือดสูงการทำงานของตับผิดปกติเหงือกบวม (gum hyperplasia)
กลุ่มยาที่มีพิษต่อเซลล์ (Cytotoxic agents) ได้แก่ Azathioprine (อะซาไธโอพรีน), Mycophenolate mofetit (ไมโคฟีโนเลตโมฟีทิล), Sirolimus (ไซโลลิมัส) หรือ Everolimus (เอฟเวอร์โรไลมัส), Lef ใน nomide (เล็ฟฟลูโนมายด์), Methotrexate, Cyclophosphamide
เช่น Azathioprine (Imuran)
กลไกการออกฤทธิ์: ยับยั้งการสร้าง DNA, RNA และโปรตีนส่วน active metabolite คือ 6 thioinosinic acid มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ต่าง ๆ ในการสร้างสารพิวรีนมีผลยับยั้งการสร้าง DNA และยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์
การรนำไปใช้ในคลินิก: ใช้ร่วมกับยากลุ่ม Corticosteroids และ Cyclosporin ในการรักษาแบบ triple therapy เพื่อป้องกัน acute graft rejection (การปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน) จากการปลูกถ่ายไตหรือตับหรือใช้รักษาโรคภูมิคุ้มกันต้านตัวเองหลายชนิด
ผลข้างเคียงของยา Azathioprine (Imuran Infliximab (remicade กดการทำงานของไขกระดูกเกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำบ่อยกว่าโลหิตจางหรือเกร็ดเลือดต่ำเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากขึ้นคลื่นไส้อาเจียนเกิดพิษต่อตับ (hepatotoxicity) เมื่อให้ในขนาดสูงตัวเหลืองตาเหลืองผมร่วงกล้ามเนื้ออ่อนแรงอ่อนเพลียเป็นผื่น
กลุ่มอดรีโนคอร์ติคอยด์ (Adrenocorticoids) กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่มอดรีโนคอร์ติคอยด์ (Adrenocorticoids): การออกฤทธิ์ยาจะไปควบคุมการทำงานขของโดยจับกับ steroid receptor ภายในเซลล์ได้เป็น drug-receptor complex ไปออกฤทธิ์ที่นิวเคลียสโดยไปยับยั้งการสร้าง mRNA ของโปรตีนหลายชนิดรวมทั้ง cytokine ชนิดต่าง ๆ
การรักษาด้วยการนำไปใช้รักษาในคลินิก: ในด้านการกดภูมคุ้มกันหากใช้ในขนาดสูง (high dose) สามารถนำไปใช้กดอาการแสดงของโรคภูมิคุ้มกัน (autoimmune disorders) เช่นโรคภูมิแพ้ตนเอง (severe systemic lupus erythematosus; SLE)
ผลข้างเคียงเหมือนกับการใช้ยากลุ่ม Steroids โดยความรุนแรงของผลข้างเคียงขึ้นกับขนาดและระยะเวลาในการใช้ยาเพื่อลดผลข้างเคียงควรให้ยา Corticosteroids ร่วมกับยาอื่นเช่น cyclosporine จะช่วยลดขนาดการให้ยากลุ่ม corticosteroids ได้การใช้ยา Corticosteroids เป็นระยะเวลานานมีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายหลายระบบเช่นน้ำหนักตัวเพิ่มหน้ากลมคล้ายรูปพระจันทร์ (moon face) ติดเชื้อง่ายอารมณ์แปรปรวนได้ง่ายเยื่อบุกระเพาะอาหารบางลงและเพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารระดับน้ำตาลในเลือดสูงน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นบวมความดันโลหิตสูงภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ (hypokalemia) ภาวะร่างกายเป็นกรด (metabolic acidosis) คลื่นไส้อาเจียนขนดกผื่นคันภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis) กล้ามเนื้อฝ่อกล้ามเนื้ออ่อนแรง
กลุ่มสารยับยั้ง Cytokines (Cytokines inhibitors)
กลไกการออกฤทธิ์: ออกฤทธิ์ยับยั้งการกระตุ้น lymphocyte ด้วย IL-2 เป็น pathway สำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายที่ทำให้เกิดการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก: ใช้ในผู้ป่วยที่มีการปลูกถ่ายไตเพื่อเป็นการป้องกันการเกิด acute graft rejection หรือการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลันโดยให้ร่วมกับยา cyclosporine
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษอาจพบอาการแพ้ยาได้ (hypersensitivity reaction)
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันโดยรวม
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาครั้งแรกพยาบาลเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยและครอบครัวโดยการให้ความรู้และคำแนะนำผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับเหตุผลของการให้ยากดภูมิคุ้มกัน
ดูแลการได้รับยาตามแผนการรักษาให้ยาโดยยึดหลัก 7R ประเมินผลข้างเคียงความเป็นพิษที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับยาแต่ละชนิด
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการห้องปฏิบัติการเช่น CBC, BUN, Creatinine, electrolyte, LFT ผลตรวจวัดระดับยาในเลือดเนื่องจากยากดภูมิคุ้มกันบางชนิดเช่น tacrolimus ต้องปรับขนาดยาตามระดับความเข้มข้นของยาในกระแสเลือด
กรณีที่ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะแนะนำผู้ป่วยถึงความจำเป็นในการรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะที่ปลูกถ่ายควรมีระเบียบวินัยต่อตนเองในการรับประทานยาซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญมาก
กรณีที่ผู้ป่วยกินยาอยู่ที่บ้านแนะนำให้รับประทานยาตรงตามเวลาและขนาดที่แพทย์กำหนดอย่างต่อเนื่องไม่ควรเพิ่ม / ลดขนาดยาหรือหยุดยาเองหากลืมรับประทานยาให้รับประทานทันที่ที่นึกได้ยกเว้นว่าใกล้ถึงเวลารับประทานยาในมื้อถัดไปไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า
ยากดภูมิคุ้มกันหลาย ๆ ชนิดมีผลกดการกระทำงานของไขกระดูกอาจทำให้มีโลหิตจางเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำได้หากมีอาการผิดปกติเช่นซีดมีไข้ไม่สบายหรือมีจำเลือดให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
แนะนำให้ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยารับประทานเองเนื่องจากยาบางชนิดมีปฏิกิริยาต่อกันทำให้เพิ่มความเป็นพิษของยาได้และควรแจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษาทุกครั้งว่าตนเองมีโรคประจำตัวใดหรือรับประทานยาใดอยู่บ้าง
ระหว่างที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่มีข้อควรระวังในการรับวัคซีนบางชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัคซีนที่มีเชื้อมีชีวิต (Live attenuated vaccine) จึงควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับวัคซีน
ยากลุ่มนี้มีผลทำให้ทารกพิการ แต่กำเนิด (teratogenic effects) ระหว่างที่รับประทานยาต้องคุมกำเนิดและเว้นการให้นมบุตรหากตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ให้รีบภ์ให้รีบปรึกษาแพทย์
แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หรือสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อหรือผู้ป่วยโรคติดต่อเช่นอีสุกอีใสวัณโรคหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่ชุมชนเพราะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ 11. ยาบางชนิดเช่น azthioprine ทำให้เกิดแผลในปากแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพปากและฟัน