Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การบริหารยา การบริหารยากินและยาเฉพาะที่ - Coggle Diagram
การบริหารยา
การบริหารยากินและยาเฉพาะที่
วัตถุประสงค์ของการให้ยา
มี 3ประการ
เพื่อการรักษาเป็นกํารให้ยาเพื่อรักษาตามสาเหตุของโรค หรือช่วยให้ผู้ป่วยบรรเทํา
รักษาตามอาการ
อาการปวด
รักษาเฉพาะโรค
ยาฆ่าเชื้อในผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อ
ทดแทนสิ่งที่ร่างกายขาด
ผู้ป่วยเป็นโลหิตจางเพราะขาดธาตุเหล็ก
ให้ร่างกายปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
หัวใจเต้นเร็วเกินไป
อาจได้รับยาดิจิทําลิส
เพื่อการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ
ฉีดวัคซีนบีซีจีเพื่อป้องกันวัณโรค
ให้วิตามินเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง
เพื่อการตรวจวิเคราะห์โรค
ให้กลืนแป้งเบเรี่ยม
แล้วเอ็กซเรย์เพื่อตรวจดูสภาพของกระเพาะอาหารและลำไส้หรือการฉีดไอโอดีนทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดำ
ปัจจัยที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยา
ยาที่ผู้ป่วยได้รับแต่ละคน จะออกฤทธิ์ไม่เท่ากัน แม้จะได้ขนาดที่เท่ากัน มีปัจจัยหลายประการที่พยาบาลต้องคำนึงถึง ดังนี้
อายุและน้ำหนักตัว
เด็กเล็กๆ ตับและไตยังเจริญไม่เต็มที่ ผู้สูงอายุมํากๆ การทำงานของตับและไตลดลง จึงทำให้ยามีปฏิกิริยามากขึ้น
ขนาดของยาที่ให้จึงต้องน้อยกว่าคนปกติส่วนคนที่มีน้ำหนักตัวมากต้องได้รับขนาดของยาเพิ่มสูงขึ้น
เพศ
ผู้ชายมีขนาดตัวใหญ่กว่าผู้หญิง น้ำหนักย่อมมากกว่ํา ถ้าได้รับยาขนาดเท่ากัน ยาจะมีปฏิกิริยาต่อผู้หญิงมากกว่ําผู้ชาย
กรรมพันธุ์
บางคนอาจมีความไวผิดปกติต่อยาบางชนิด บางคนแพ้ยาง่าย ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม
ภาวะจิตใจ
ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่ได้รับยาเคมีบำบัดบางรายมีอาการคลื่นไส้
มีสาเหตุมาจากจิตใจ เป็นการตอบสนองแบบมีเงื่อนไขจากการเรียนรู้และจดจำประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการได้รับยาเคมีบำบัดครั้งก่อน
ภาวะสุขภาพ
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีอาการป่วย เมื่อได้รับยาจะมีผลต่อการแสดงออกของฤทธิ์ยาต่างจากคนปกติ
ทางที่ให้ยา
ยาที่ให้ทํางหลอดเลือดจะดูดซึมได้เร็วกว่ายาที่ให้รับประทานทางปาก
เวลาที่ให้ยา
ยาบางชนิดต้องให้เวลาที่ถูกต้องยาจึงออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ
สิ่งแวดล้อม
ยาที่รักษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางชนิด ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ
ระบบการตวงวัดยา
พยาบาลจะต้องทราบระบบการตวงวัดยา เพื่อสามารถคำนวณขนาดของยาได้ถูกต้องกรณีที่แพทย์สั่งยาในระบบหนึ่ง แต่วิธีการให้
ตวงยา
ชั่ง
วัดยาเป็นอีกระบบหนึ่ง
ระบบการตวงวัดยาที่พบในปัจจุบัน
ระบบอโพทีคารี
ถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็นปอนด์ ออนซ์ เกรนที่พบบ่อยมีดังนี้
20 เกรน (grain) = 1 สครูเปิล(scruple)
3 สครูเปิล (scruple) = 1 แดรม (dram)
8 แดรม (dram) = 1 ออนซ์(ounce)
12 ออนซ์ (ounce) = 1 ปอนด์ (pound)
ระบบเมตริก
ระบบเมตริกถ้าเป็นน้ำหนักส่วนใหญ่ใช้หน่วยเป็น กรัม มิลลิกรัม ลิตรมิลลิลิตรดังนี้
1 ลิตร =1000 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
1 กิโลกรัม
= 1000 กรัม (gm)
1 กรัม
= 1000มิลลิกรัม (mg)
1 มิลลิกรัม*= 1000 ไมโครกรัม (mcg)
1 กรัม = 1 มิลลิลิตร (ซี.ซี.)
ระบบมาตรตวงวัดประจำบ้าน
ระบบมาตราตวงวัดประจำบ้านมีหน่วยที่ใช้เป็น หยด ช้อนชาช้อนโต๊ะ ถ้วยชํา และถ้วยแก้ว สามารถเทียบได้กับระบบเมตริก
คำย่อและสัญลักษณ์เกี่ยวกับคำสั่งการให้ยา
คำสั่งแพทย์ในกํารรักษาส่วนใหญ่ใช้เป็นคำย่อและสัญลักษณ์ พยาบาลจึงจำเป็นต้องทรําบควํามหมําย โดยคำย่อที่ใช้บ่อย
ความถี่การให้ยา
ภาษาลาติน
omni die
ความหมาย
วันละ 1 ครั้ง
ตัวย่อ OD
วิถีทางการให้ยา
O รับประทานทางปาก
M เข้ากล้ามเนื้อ
SC เข้าชั้นใต้ผิวหนัง
ID เข้าชั้นระหว่างผิวหนัง
V เข้าหลอดเลือดดำ
คำสั่งแพทย์คำนวณขนาดยา
คำสั่งแพทย์
การให้ยาแก่ผู้ป่วยแพทย์จะต้องรับผิดชอบในกํารเขียนคำสั่งการให้ยาเป็นลายลักษณ์อักษรพยาบาลเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดยาเตรียมยาและน ําไปให้ผู้ป่วยโดยตรง
การเขียนคำสั่งแพทย์มี 4 ชนิด
คำสั่งที่ต้องให้ทันที
เป็นคำสั่งกำรให้ยาครั้งเดียวและต้องให้ทันที
คำสั่งใช้ภายในวันเดียว
เป็นคำสั่งที่ใช้ได้ใน 1 วัน เมื่อได้ให้ยาไปแล้วเมื่อครบก็ระงับไปได้เลย
คำสั่งที่ให้เมื่อจำเป็น
เป็นคำสั่งที่กำหนดไว้ให้ปฏิบัติเมื่อผู้ป่วยมีอาการบางอย่างเกิดขึ้น
มีไข้
ปวดแผล
ชัก
การสั่งครั้งเดียวใช้ได้ตลอดไป
เป็นคำสั่งที่สั่งครั้งเดียวและใช้ได้ตลอดไปจนกว่ำจะมีคำสั่งระงับ
ส่วนประกอบของคำสั่งการรักษา
ชื่อของผู้ป่วย จะต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุลของผู้ป่วยห้ำมเขียนแต่ชื่อเพียงอย่างเดียวเพราะว่าอาจเกิดควำมผิดพลำดเกิดขึ้นได้หากมีชื่อซ้ำกัน
วันที่เขียนคำสั่งการรักษา
ชื่อของยา
ขนาดของยา
วิถีทางการให้ยา
ลักษณะคำสั่งแพทย์ตามทางวิถีทางการให้ยา
ทางปาก (oral)
ทางสูดดม (inhalation)
ทางเยื่อบุ (mucous)
ทางผิวหนัง (skin)
ทางกล้ามเนื้อ (intramuscular)
ทางชั้นผิวหนัง (intradermal)
ทางหลอดเลือดดา (intravenous)
ทางหลอดเลือดดำ (intravenous)
ทางใต้ผิวหนัง (subcutaneous / hypodermal)
เวลาและความถี่ในกำรให้ยา
ลายมือผู้สั่งยา
คำนวณขนาดยา
การคำนวณยาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา มีหลักกำรคำนวณดังนี้
ความเข้มข้นของยา (ในแต่ละส่วน) =
ขนาดความเข้มข้นของยาที่มี/
ปริมาณยาที่มี
รูปแบบการบริหารยา
การให้ยาอย่างถูกต้องพยาบาลต้องตระหนักถึงหลักการบริหารยา ที่เรียกว่า Six rights คือ Right patient, Right drug, Right dose, Right time, Right route, Right technique
พยาบาลวิชาชีพจะต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ป่วยและวิชาชีพมากยิ่งขึ้นต้องยึดหลักถึง 11 ข้อ ดังนี้
Right patient/client (ถูกคน) คือการให้ยาถูกคน หรือถูกตัวผู้ป่วย โดยการเช็คชื่อผู้ป่วยทุกครั้งก่อนให้ยาหรือก่อนฉีดยาเทียบกับใบ Medication administration record
Right drug (ถูกยา) คือการให้ยาถูกชนิด โดยการอ่านชื่อยาอย่างน้อย 3 ครั้ง
ครั้งแรก ก่อนหยิบภาชนะใส่ยาออกจากที่เก็บ
ครั้งที่สอง ก่อนเอายาออกจากภาชนะใส่ยา
ครั้งที่สาม ก่อนเก็บภาชนะใส่ยาเข้าที่หรือก่อนทิ้งภาชนะใส่ยา
Right dose (ถูกขนาด) คือการให้ยาถูกขนาด โดยการจัดยาหรือคำนวณยาให้มีขนาดและความเข้มข้นของยาตามคำสั่งการให้ยา
Right time (ถูกเวลา) คือการให้ยาถูกหรือตรงเวลา โดยการให้ยาตรงตามเวลาหรือความถี่ตามคำสั่งกำรให้ยา
การให้ยาควรให้ถูกเวลาเพื่อการออกฤทธิ์ที่เหมาะสมที่สุด ได้แก่
การให้ยาหลังอาหารเป้าหมายเพื่อให้ยาได้สัมผัสกับอาหารเพื่อช่วยเรื่องการดูดซึม
การให้ยาช่วงใดก็ได้คืออาหารไม่มีผลต่อการดูดซึมดังนั้นจึงให้ช่วงเวลาใดก็ได้
การให้ยาก่อนอาหาร
การให้แบบกำหนดเวลาหรือให้เฉพาะกับอาหารที่เฉพาะ
Right route (ถูกวิถีทาง) คือการให้ยาถูกทาง โดยการให้ยาแก่ผู้ป่วยตามที่แพทย์สั่งกำรรักษา
Right technique (ถูกเทคนิค) คือการให้ยาถูกตามวิธีการ ใช้เทคนิคที่เหมาะสม โดยการเตรียมยาและให้ยาที่ถูกต้องยึดหลักการปลอดเชื้อสำหรับยารับประทานทางปาก
Right documentation (ถูกการบันทึก) คือการบันทึกการให้ยาที่ถูกต้อง โดยพยาบาลลงนามในเวลาเดียวกับที่ให้ยากับผู้ป่วยในเอกสารที่ได้กำหนดไว้
Right to refuse คือการตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยในการจัดการยา ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะปฏิเสธการใช้ยาหากเขามีความสามารถในการทำเช่นนั้น
Right History and assessment คือกำรซักประวัติ และกำรประเมินอรการก่อน หลังให้ยำ โดยกำรสอบถำมข้อมูล/ ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาของผู้ป่วยทุกครั้งก่อนการให้ยา
Right Drug-Drug Interaction and Evaluation คือกสรที่จะต้องให้ยรร่วมกัน จะต้องดูก่อนว่ำยำนั้นสำมำรถให้ร่วมกันได้ไหม
Right to Education and Information คือก่อนที่พยาบาลจะให้ยาผู้ป่วยทุกครั้งต้องแจ้งชื่อยาที่จะให้ ทำงที่จะให้ยา ผลการรักษา ผลข้างเคียงของยาที่อาจจะเกิด และอาการที่ต้องเฝ้าระวัง
หลักสำคัญในการให้ยา
การให้ยาทางปากใช้หลักสะอาดและการฉีดยำใช้หลัก aseptic technique
ตรวจสอบคำสั่งแพทย์ก่อนให้ยาทุกครั้ง
ก่อนให้ยาต้องทราบวัตถุประสงค์กราให้ยา การวินิจฉัยโรค ผลของยสที่ต้องการให้เกิดและฤทธิ์ข้างเคียงของยา
ตรวจสอบประวัติการแพ้ยาจากตัวผู้ป่วยและญาติในกรณีที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวและทดสอบการแพ้ของยาบางชนิด
ตรวจสอบวันหมดอายุของยา
ไม่ควรเตรียมยรค้ำงไว้
ไม่ให้ยาที่ฉลากมีการลบเลือนไม่ชัดเจน
ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนให้ยาโดยการถามชื่อและนามสกุลก่อนทุกครั้ง
บอกให้ผู้ป่วยทรสบถึงวัตถุประสงค์ของการให้ยาและผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย
ต้องให้ผู้ป่วยรับประทานยรต่อหน้าพยาบาลเพื่อป้องกันผู้ป่วยไม่ได้รับยา
ลงบันทึกการให้ยาหลังจากให้ยาทันที
มีกสรประเมินประสิทธิภสพของยาที่ให้
สังเกตอาการก่อนและหลังกรรให้ยาถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นต้องรีบรายงานแพทย์ทันที
ในกรณีที่ให้ยาผิดต้องรีบรายงานให้พยาบาลหัวหน้าเวรรับทราบเพื่อหาทางแก้ไข
การให้ยาทางปากและยาเฉพาะที่
การให้ยาทางปาก
การให้ยาที่สามารถรับประทานทางปากได้ ซึ่งอาจเป็นชนิดยาเม็ด
ยาแคปซูล
ยาผง
ยาน้ำ
มีข้อควรปฏิบัติในกำรให้ยำทำงปำก
ยาที่ระคายเคืองทางเดินอาหารให้กินหลังอาหารหรือนม
การให้ยาเม็ดในเวลาเดียวกัน สามารถรวมกันได้
ยาชนิดผงให้ใช้ช้อนตวงปาดแล้วเทใส่แก้วยา
ยาจิบแก้ไอควรให้ภายหลังรับประทานยาเม็ดแล้วเพื่อให้ยาค้างอยู่ที่คอไม่ถูกน้ำล้างออก
ยาลดกรดในกระเพาะอาหารควรให้อันดับสุดท้ายเพื่อช่วยลดอาการระคายเคือง
ยาอมใต้ลิ้น
การให้ยาเฉพาะที่
เป็นการให้ยาภายนอกเฉพาะตำแหน่ง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่
โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
การสูดดม (Inhalation) เป็นการให้ยาในรูปของก๊าซ (Gas) ไอระเหย (Vapor) หรือละออง (Aerosol) สามารถให้โดยการพ่นยาเข้ำสู่ทางเดินหายใจ
การให้ยาทางตา (Eye instillation) เนื่องจากดวงตาเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบางมาก ติดเชื้อได้ง่ำย
การให้ยาทางหู (Ear instillation) เป็นการหยอดยาเข้าไปในช่องหูชั้นนอก ยาที่ใช้เป็นยาน้ำ
การหยอดยาจมูก (Nose instillation) ให้ผู้ป่วยเงยหน้าขึ้น และพยาบาลยกปีกจมูกผู้ป่วยข้างที่จะหยอดยาขึ้นเบาๆ
การเหน็บยา เป็นการให้ยาที่มีลักษณะเป็นเม็ด เข้าทำงเยื่อบุตามอวัยวะต่าง ๆเพื่อให้ยาออกฤทธิ์เฉพาะที่
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
เหตุการณ์ใดๆ ที่สามารถป้องกันได้ ที่อาจเป็นสาเหตุ หรือนำไปสู่การใช้ยาที่ไม่เหมาะสม หรือเป็นอันตรายแก่ผู้ป่วย
ความคลาดเคลื่อนในการสั่งใช้ยา แบ่งเป็นประเภทดังนี้
สั่งยาผิดขนาด หมายถึง แพทย์สั่งใช้ยาที่มีขนาดมากเกิน Maximum dose
สั่งยาผิดชนิด หมายถึง เขียนใบสั่งยา สั่งยาคนละชนิดกับที่ควรจะเป็น
ผิดวิถีทาง หมายถึง เขียนใบสั่งยา สั่งใช้ยาผิดวิถีทาง ทำให้ใช้ยาไม่ถูกวิธี
ผิดความถี่ หมายถึง เขียนใบสั่งยา วิธีรับประทานผิด หรือระบุวิธีรับประทานที่ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยคนนั้น
สั่งยาที่มีประวัติแพ้ หมำยถึง แพทย์สั่งยาที่ผู้ป่วยมีประวัติแพ้
ลายมือไม่ชัดเจน หมายถึง เขียนใบสั่งยาด้วยลายมือที่ทำให้ผู้อ่านเข้ำใจผิด อ่านผิด
ความคลาดเคลื่อนในการคัดลอกคาสั่งใช้ยา
จำแนกตามสถานที่ที่เกิดความคลาดเคลื่อนขึ้น
ที่หอผู้ป่วย หมายถึง พยาบาลลอกคำสั่งแพทย์หรืออ่ำนคำสั่งแพทย์ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตำมแพทย์สั่ง
ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ หมายถึง เจ้าหน้าที่ศูนย์คอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่คัดกรองการลงข้อมูลยาในคอมพิวเตอร์ไม่ครอบคลุม
ที่เภสัชกรรม หมายถึง เจ้าหน้าที่ห้องยา/เภสัชกร อ่านคำสั่งแพทย์ ไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตำมแพทย์สั่ง
ความคลาดเคลื่อนในการจ่ายยา
ตวามคลาดเคลื่อนในกระบวนการจ่ายยาของกลุ่มงานเภสัชกรรม ที่จ่ายยาไม่ถูกต้องตามที่ระบุในคำสั่งใช้ยา
ความคลาดเคลื่อนในการบริหารยา
การบริหารยาที่แตกต่ำงไปจากคำสั่งใช้ยาของผู้สั่งใช้ยาที่เขียนไว้ในใบบันทึกประวัติกำรรักษาผู้ป่วย
บทบาทพยาบาลในการให้ยาผู้ป่วย
เมื่อผู้ป่วยเข้ามานอนรักษาในครั้งแรก พยาบาลตรวจสอบยาให้ตรงกับคำสั่งแพทย์ พร้อมกับเช็คยาและจำนวนให้ตรงตามฉลากยา
การซักประวัติ
เมื่อมีคำสั่งใหม่ หัวหน้าเวร ลงคำสั่งในใบ MAR ทุกครั้ง
การจัดยาให้ระมัดระวังในการจัดยาเนื่องจากความผิดพลาดด้านบุคคลโดยเฉพาะยาน้ำ
เวรบ่าย พยาบาลจะตรวจสอบรายการยาในใบ MAR กับคำสั่งแพทย์ให้ตรงกัน
กรณีผู้ป่วยที่ NPO ให้มีป้าย NPO และเขียนระบุว่ำ NPO เพื่อผ่ำตัดหรือเจาะเลือดเช้ำ ให้อธิบายและแนะนำผู้ป่วยและญาติทุกครั้ง
กรณีคำสั่งสำรน้ำ+ยา B co 2 ml ให้เขียนคำว่า +ยำ B co 2 ml ด้วยปากกาเมจิก อักษรตัวใหญ่บนป้ายสติ๊กเกอร์ของสารน้ำให้ชัดเจนเพื่อสังเกตได้ง่ำย
การจัดยาจะจัดตามหน้าชองยาหลังจากตรวจสอบความถูกต้อง
มีผู้จัด-ผู้ตรวจสอบ คนละคนกันตรวจสอบช้ำก่อนให้ยำ ให้ตรวจสอบ 100% เช็คดูตามใบMAR ทุกครั้ง
การแจกยาไล่แจกยาตามเตียงพร้อมเซ็นชื่อทุกครั้งหลังให้ยำและให้พยาบาลตรวจดูยาในลิ้นชักของผู้ป่วยทุกเตียงจนเป็นนิสัยและดูผู้ป่วยประจำเตียงว่ามีหรือไม่
ให้ยึดหลัก 6R ตามที่กล่าวมาข้างต้น
สมรรถนะของพยาบาลในการใช้ยาอย่างสมเหตุผล(Competencies of nurses for Rational Drug Use)
สามารถประเมินปัญหาผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา
สามารถร่วมพิจารณาการเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น
สามารถสื่อสารเพื่อให้ผู้ป่วยร่วมตัดสินใจในการใช้ยา
บริหารยาตามการสั่งใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
สามารถให้ข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ยาได้อย่างเพียงพอ (Provide information)
สามารถติดตามผลการรักษา และรายงานผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาได้
สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัยทั้งต่อผู้ป่วย และไม่เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
สามารถใช้ยาได้อย่างเหมาะสม ตามความรู้ความสามารถทางวิชาชีพ
สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ยา
สามารถทำงานร่วมกับบุคลากรอื่นแบบสหวิชาชีพ
กระบวนการพยาบาลในการบริหารยาทางปากและยาเฉพาะที่
การประเมินสภาพ
การวินิจฉัยการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล