Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 2 ความรู้พื้นฐานทางเภสัชวิทยา - Coggle Diagram
บทที่ 2 ความรู้พื้นฐานทางเภสัชวิทยา
ความหมายและความสำคัญของยา
วัตถุที่รับรองไว้ในตำรายาที่รัฐมนตรีประกาศ
วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการวินิจฉัย บำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วย ของมนุษย์หรือสัตว์
วัตถุที่เป็นเภสัชเคมีภัณฑ์ หรือเภสัชเคมีภัณฑ์ที่กึ่งสำเร็จรูป
วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับให้เกิดผลแก่สุขภาพโครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ใดๆของร่างกายมนุษย์หรือสัตว์
วัตถุตาม (1) (2) หรือไม่หมายความรวมถึง
(ก) วัตถุที่มุ่งหมายสาหรับใช้ในการเกษตร หรือการอุตสาหกรรม ตามที่รัฐมนตรีประกาศ
(ข) วัตถุที่มุ่งหมายสาหรับใช้เป็นอาหาร สาหรับมนุษย์ เครื่องกีฬา เครื่องมือ เครื่องใช้ในการส่งเสริมสุขภาพ เครื่องสาอาง หรือเครื่องมือ และส่วนประกอบของเครื่องมือ ที่ใช้ในการประกอบโรคศิลปะ หรือวิชาชีพเวชกรรม
(ค) วัตถุที่มุ่งหมายสาหรับใช้ในห้องวิทยาศาสตร์สาหรับการวิจัย การวิเคราะห์ หรือการชันสูตรโรค ซึ่งมิได้กระทาโดยตรงต่อร่างกายของมนุษย์
ยาแผนปัจจุบัน
ยาที่มุ่งหมายสาหรับใช้ในการ ประกอบวิชาชีพเวชกรรม การประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน หรือการบาบัดโรคสัตว์
ยาแผนโบราณ
ยาที่มุ่งหมายสาหรับใช้ในการประกอบโรคศิลปะ แผนโบราณหรือการบาบัดโรคสัตว์ ซึ่งอยู่ในตารายาแผนโบราณ ที่รัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศ เป็นยาแผนโบราณ หรือยาที่ได้รับอนุญาต ให้ขึ้นทะเบียนตารับยา เป็นยาแผนโบราณ
ยาอันตราย
ยาแผนปัจจุบัน หรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศ เป็นยาอันตราย
ยาควบคุมพิเศษ
ยาแผนปัจจุบัน หรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศ เป็นยาควบคุมพิเศษ
ยาใช้ภายนอก
ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณ ที่มุ่งหมายสาหรับใช้ภายนอก ทั้งนี้ไม่รวมถึงยาใช้เฉพาะที่
ยาใช้เฉพาะที่
ยาแผนปัจจุบัน หรือยาแผนโบราณ ที่มุ่งหมายใช้เฉพาะที่ กับผิวหนัง หู ตา จมูก ปาก ทวารหนัก ช่องคลอด หรือท่อปัสสาวะ
ยาสามัญประจำบ้าน
ยาแผนปัจจุบัน หรือ ยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศ เป็นยาสามัญประจำบ้าน
ยาบรรจุเสร็จ
ยาแผนปัจจุบันที่ได้ผลิตขึ้นเสร็จ ในรูปแบบต่าง ๆ ทางเภสัชกรรมซึ่งบรรจุในภาชนะ หรือหีบห่อที่ปิด หรือผนึกไว้ และมีฉลากครบถ้วน ตามพระราชบัญญัตินี้
ยาสมุนไพร
ยาที่ได้จากพฤษชาติ สัตว์ หรือแร่ ซึ่งมิได้ผสม ปรุง หรือแปรสภาพ
ความสำคัญของยา
ยาเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการรักษาความเจ็บป่วย โดยทั้งการบำบัด บรรเทาอาการทุกข์ทรมาน เช่น อาการไข้ปวด หรือคัน และโดยการกำจัดสาเหตุของโรค เช่น ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เป็นต้นแต่ทุกสิ่งในโลกย่อมมีทั้งคุณและโทษอยู่ในตัวเอง จึงต้องมีความระมัดระวังในการใช้ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด และมีโทษน้อยสุด
แหล่งที่มาของยา
(Source of Drug)
ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
พืช ได้จากส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ตัวยารีเซอฟีนสกัดจากรากของต้นระย่อม ใช้ลดความดันเลือดสูง หรือมอร์ฟีน สกัดจากยางของฝิ่น ใช้เป็นยาระงับปวดหรือ ควินินสกัดจากเปลือกต้นซิงโคนาใช้รักษามาลาเรีย เป็นต้น
สัตว์ ได้จากอวัยวะต่างๆ ของสัตว์ เช่น อินซูลินจากตับอ่อนของหมูและวัว
แร่ธาตุ เช่น คาโอลินและกำมะถัน
ยาสังเคราะห์
ยาแผนปัจจุบันที่ใช้กันอยู่ในเวลานี้ส่วนใหญ่ได้มาจากการสังเคราะห์ทางเคมี อาจเป็นยาสังเคราะห์เลียนแบบสารที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ยาคลอแรมเฟนิคอล หรือเป็นอนุพันธ์ของสารที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือยาสังเคราะห์ที่มิได้ปรากฏในธรรมชาติ เช่น ยาอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ สารสังเคราะห์หรือกึ่งสังเคราะห์เหล่านี้ อาจมีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาใกล้เคียง หรือแตกต่างจากสารที่ได้จากธรรมชาติก็ได้
วิถีทางและวัตถุประสงค์การให้ยา
วิถีทางในการให้ยา
( Routesofadministration)
การให้ยาผ่านทางเดินอาหาร
การรับประทาน (Oral ingestion) เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากใช้ง่าย สะดวก และมีความปลอดภัย แต่การดูดซึมยาขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง
การอมใต้ลิ้น (Sublingual administration) ตัวยาจะถูกดูดซึมผ่านหลอดเลือดฝอยในช่องปาก และเข้าสู่หัวใจโดยไม่ผ่านกระเพาะอาหารและลาไส้ ใช้ในกรณีที่ต้องการให้ยาออกฤทธิ์เร็ว
การให้ยาทางทวารหนัก (Rectal administration) วิธีนี้รูปแบบของยาอาจอยู่ในรูปของยาเหน็บหรือยาสวนทวาร ยาจะถูกดูดซึมที่บริเวณลำไส้ส่วนปลาย และมีการดูดซึมยาที่ไม่แน่นอน
การให้ยาโดยไม่ผ่านทางเดินอาหาร
การให้ยาฉีด (Injection)
การฉีดยาเข้าชั้นใต้ผิวหนัง (Subcutaneous administration)
การฉีดยาเข้าชั้นกล้ามเนื้อ (Intramuscular injection)
การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ (Intravenous administration)
วัตถุประสงค์ในการทำยาในรูปแบบต่างๆ
เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประทานยาในขนาดที่ถูกต้อง ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาโรค
ป้องกันการสลายตัวของยา ตัวยาบางอย่างจะสลายตัวเมื่อถูกอากาศและความชื้นจึงทำในรูปยาเม็ดเคลือบนํ้าตาลหรือฟิล์ม
กลบรสตัวยาที่ไม่น่ารับประทาน เช่น ยาแคปซูล
เหมาะสำหรับเด็กหรือผู้สูงอายุที่กลืนยาเม็ด ยาแคปซูลไม่ได้ เช่น ยานํ้าผสม ยานํ้าแขวนตะกอน เป็นต้น
เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ติดต่อกันนาน ไม่ต้องรับประทานยาบ่อยครั้ง เช่น ยาเม็ดชนิดออกฤทธิ์เนิ่นนาน
ต้องการใช้เป็นยาภายนอก ใช้สำหรับผิวหนัง ยาขี้ผึ้ง ครีม หรือใช้เฉพาะที่ เช่น ยาตา ยาหู และยาจมูก เป็นต้น
ใช้สอดเข้าช่องต่างๆ ของร่างกาย เช่น ยาเหน็บทวารหนัก และยาเหน็บช่องคลอดเป็นต้น
ต้องการให้ยาเข้าสู่หลอดเลือด หรือเนื้อเยื่อของร่างกายโดยตรง ทำให้ออกฤทธิ์เร็ว เช่น ยาฉีด
ต้องการให้ตัวยาออกฤทธิ์โดยผ่านระบบสูดดม เช่น ยาสูดดม หรือยาแอโรโซล เป็นต้น
ต้องการให้ตัวยาออกฤทธิ์โดยระบบนำส่งผ่านผิวหนัง เพื่อให้ตัวยาดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้าๆ
การบริหารยาและหลักการใช้ยาในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง
การบริหารยา (Administration)
ยาก่อนอาหาร
ยาที่ต้องรับประทานก่อนอาหาร เป็นยาที่อาหารมีผลรบกวนการดูดซึมของตัวยา ดังนั้นเราควรรับประทานยาในช่วงที่ท้องว่าง คือ ก่อนรับประทานอาหารอย่างน้อย 30นาที ยกเว้นยาควบคุมระดับนํ้าตาลในเลือดบางตัวที่แนะนำให้กินก่อนอาหาร 15นาที
กรณีเราลืมรับประทานยาก่อนอาหาร
อาจรอให้กระเพาะอาหารว่างก่อนแล้วค่อยรับประทานยา ซึ่งก็คือประมาณ 2ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร
ยาหลังอาหาร
ยาที่ต้องรับประทานหลังอาหาร เราควรรับประทานยาหลังอาหารไม่เกิน 15-30นาที
กรณีเราลืมรับประทานยาหลังอาหาร
เราสามารถรับประทานยาได้ทันทีที่นึกได้และไม่เกิน 15-30 นาที แต่ถ้านึกได้หลังจากรับประทานอาหารมากกว่า 30 นาทีแล้ว ควรรอรับประทานยาหลังอาหารในมื้อถัดไปแทน หรืออาจรับประทานอาหารมื้อย่อยแทนมื้อหลักก่อนรับประทานยาก็ได้ กรณีที่ยานั้นมีความสำคัญมาก
ยาหลังอาหารทันที
ยาที่ต้องรับประทานหลังอาหารทันที เนื่องจากยากลุ่มนี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน เราควรทานหลังอาหารทันที หรือพร้อมข้าวคำสุดท้ายก็ได้ จะช่วยลดอาการข้างเคียงได้มาก เช่น ยากลุ่มแก้ปวดNSAIDsยาแอสไพริน เป็นต้น
ยาพร้อมอาหาร
ยาที่ต้องรับประทานพร้อมอาหาร ให้รับประทานอาหารครึ่งหนึ่งแล้วรับประทานยา แล้วจึงรับประทานอาหารต่อจนอิ่ม เนื่องจากอาหารจะเพิ่มการดูดซึมยามากขึ้น เช่น ยาเพิ่มแคลเซียม
กรณีลืมรับประทานยาหลังอาหารทันทีหรือยาพร้อมอาหาร
ถ้าลืมรับประทานยาหลังอาหารทันที หรือ ยาพร้อมอาหาร ควรรอรับประทานหลังอาหารในมื้อถัดไปแทน หรืออาจรับประทานอาหารมื้อย่อยแทนมื้อหลักก่อนรับประทานยาก็ได้ กรณีที่ยานั้นมีความสำคัญมาก
ยาก่อนนอนหรือหลังอาหารเย็น
ยาที่รับประทานก่อนนอนหรือหลังอาหารเย็นมีหลายประเภท แต่โดยทั่วไป ควรรับประทานก่อนนอน 15-30 นาที หรือหลังรับประทานอาหารเย็นไม่เกิน 15-30 นาที เนื่องจากยาบางตัว จะออกฤทธิ์ได้เต็มที่ในช่วงตอนกลางคืน เช่น ยาลดไขมันกลุ่ม Statin
กรณีเราลืมรับประทานยาก่อนนอน
ถ้าลืมรับประทานยาก่อนนอน มักนึกได้เมื่อถึงเช้าของวันรุ่งขึ้นแล้ว ไม่ควรรับประทานยานั้นอีก ควรรอให้ถึงเวลาก่อนเข้านอนในคืนถัดไปค่อยรับประทานยานั้น
ยารับประทานเวลามีอาการ
เราควรรับประทานยาเมื่อมีอาการเท่านั้น หากไม่มีอาการก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานยา ยาในกลุ่มนี้ มักระบุในฉลากว่ารับประทานทุกกี่ชั่วโมงเวลามีอาการ เช่น ทุก 8 ชั่วโมง หรือทุก 12 ชั่วโมง เวลามีอาการ เป็นต้น เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอล เมื่อมีอาการสามารถรับประทานยาได้เลย ไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร เนื่องจากไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือไม่ ก็ไม่ส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หลังรับประทานยาแล้วถ้ายังมีอาการอยู่สามารถทานยาซํ้าได้ ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ ไม่ควรรับประทานบ่อยกว่าที่ระบุไว้บนฉลาก เมื่อหายแล้วสามารถหยุดยาได้เลย
หลักการการใช้ยาในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง
ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร ผู้ป่วยเด็ก ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
เพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัย การใช้ยาทุกครั้งจึงจำเป็นต้องยึดหลักการใช้ยาที่ถูกต้อง 5 ประการ (5 Rights) ได้แก่ ใช้ยาถูกคน (Right patient) ใช้ยาถูกชนิด (Right drug) ใช้ยาถูกขนาด (Right dose) ใช้ยาถูกเวลา (Right time) และใช้ยาถูกวิธี (Right route)
ควรคำนึงถึงวิธีการบริหารยา (Route of drug administration) เพื่อให้ตัวยาสำคัญไปยังบริเวณที่ออกฤทธิ์ในขนาดที่ต้องการและเห็นผลในการรักษา โดยก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยน้อยที่สุด
โดยคำนึงถึงคุณสมบัติทางฟิสิกส์และเคมีของยา ตำแหน่งของยาที่จะออกฤทธิ์ วัตถุประสงค์ในการรักษา และสภาวะของผู้ป่วย
การเรียกชื่อยาและคำสั่งการใช้ยา
การเรียกชื่อยา
ชื่อสามัญ (Generic name)เป็นการเรียกชื่อยาที่สำคัญทางการแพทย์และ สาธารณสุข เนื่องจากถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นชื่อมาตรฐานในการสื่อสารกัน แทนการใช้ชื่อทางเคมีซึ่งมีจดจำได้ยาก เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) เป็นชื่อสามัญของยา ที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวด และลดไข้
ชื่อทางเคมี (Chemical name) เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามระบบการอ่านชื่อทางวิทยาศาสตร์ โดยสามารถแสดงให้เห็นถึงโครง สร้างของยา แต่เป็นชื่อที่มีความยาวและซับซ้อน จึงมักใช้เป็นชื่ออ้างอิงทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นเช่น พาราเซตามอล มีชื่อทางเคมีคือ 4’-Hydroxyacetanilide
ชื่อทางการค้า (Trade name) เป็นชื่อที่บริษัทผู้ขายตั้งขึ้น เพื่อใช้ในการ ประชาสัมพันธ์ยา โดยมักเป็นชื่อที่จดจำได้ง่าย และมีความน่าสนใจ ทั้งนี้จะมีสัญลักษณ์เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนแล้ว (®) กำกับที่ชื่อยาด้วย เช่น พาราเซตามอล มีชื่อทางการค้าหลายชื่อคือ Calpol® Paracap® Sara® Tylenol®
คำสั่งการใช้ยา
องค์ประกอบในใบสั่งยา ได้แก่ วันที่ ชื่อ และที่อยู่ของผู้ป่วย
มีส่วนเริ่มต้นของการสั่งยา โดยทั่วไปจะใช้สัญลักษณ์ Rx
มีส่วนของใบสั่งยาที่บอกชื่อยา รูปแบบของยา และปริมาณตัวยาที่มีอยู่ในยาเตรียม 1หน่วย
บอกจำนวนยาทั้งหมดที่ผู้ป่วยจะได้รับ บอกวิธีการใช้ยา และลงชื่อผู้สั่งใช้ยาผู้จัดยาหรือจ่ายยาให้กับผู้ป่วย
ทั้งนี้การเขียนใบสั่งยาจะใช้อักษรย่อภาษาละตินหรืออักษรย่อภาษาอังกฤษ
หนังสือคู่มือการใช้ยา TIMS
ในวงการเภสัชกร แพทย์ พยาบาล และบุคคลากรทางการแพทย์เกือบทุกคนจะต้องรู้จักหนังสือ MIMS Annual Thailand เป็นวารสารที่จัดทำขึ้นโดย CMPMedicaเนื้อหาเป็นการรวบรวมข้อมูลยาทั้งหมดที่มีในโลกนี้ รวมถึงข้อมูลยาเฉพาะในแต่ละประเทศทั่วโลก (ปัจจุบัน MIMS Annual ทำข้อมูลยาให้กับ 26 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย) ทั้งชื่อทางการค้าต่างๆ (commercial name หรือ trade name) และข้อมูลทางเภสัชวิทยา จัดเรียงเป็นดัชนีตามตัวอักษรเพื่อให้สืบค้นง่าย ถือว่าเป็นฐานข้อมูลยาที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก MIMS Annual Thailand เป็นวารสารราย 4 เดือน คือ เดือนเมษายน สิงหาคม และธันวาคม ใครอยากได้วารสารนี้ต้องสมัครสมาชิกและจ่ายเงิน ราวๆ 1,500 บาท ต่อปี มีหนังสือให้ พร้อม CDROM แต่ถ้าเป็นบุคคลากรทางการแพทย์และสมัครไปรับข้อมูล เค้าจะส่งให้ ฟรีหรือไม่แล้วแต่ลักษณะงานที่ทำอยู่
แต่ ปัจจุบัน MIMS ได้จัดทำฐานข้อมูล online ขึ้นมาสามารถลงทะเบียนใช้ได้ฟรี แต่เราต้องลงข้อมูลส่วนตัวหรือคุณวุฒิให้เขาได้รับทราบ แต่ฐานข้อมูลนี้ ไม่ต้องไปสมัครเสียเงินให้ยุ่งยาก ลองเข้าไปที่เว็ป MIMS Online (Thailand) :
http://www.mims.com/