Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน - Coggle Diagram
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน
ยาต้านโรคมะเร็ง (Antineoplastic drugs)
มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดจากความผิดปกติของรหัสสารพันธุกรรม
เจริญเติบโตหรือการเพิ่มจำนวนเซลล์เป็นไปอย่างรวดเร็วมากกว่าปกติ ไม่สามารถควบคุมได้และเกิดเป็นเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ
ระยะของเซลล์มะเร็ง
S phase เป็นระยะที่เซลล์ทำการสร้างและสังเคราะห์ DNA ให้เพิ่มขึ้นเท่าตัว เพื่อใช้ในการแบ่งเซลล์
G2 phase เป็นระยะที่เซลล์สร้างองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อใช้ในการแบ่ง DNA และแบ่งเซลล์เป็น 2 เซลล์
G1 phase เป็นระยะแรกที่เซลล์เริ่มเข้าสู่การแบ่งตัว เป็นระยะที่เซลล์มีการสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ
M phase เป็นระยะที่โครโมโซมหนาตัวขึ้นและเซลล์มีการแบ่งตัวแบบ mitosis มีการแบ่งแยกโครโมโซม
ออกเป็น 2 เซลล์ที่มีองค์ประกอบเหมือนกันและเท่ากัน
Go phase เป็นระยะพักของเซลล์
Cell cycle-specific drugs (CCS)
เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อเซลล์ที่อยู่ในระยะใดระยะหนึ่งของ
วงจรเซลล์เท่านั้น ไม่มีผลต่อเซลล์ในระยะอื่น ยากลุ่มนี้ใช้ได้ผลดีในมะเร็งที่มีอัตราการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว
Cell cycle-nonspecific drugs (CCNS)
ยากลุ่ม Antimetabolites/Antineoplastic agents
Purine analogs
ยา 6-thioquanine (6-TG)
กลไกการออกฤทธิ์
คล้ายกับ 6-MP
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ANLL หรือ AML โดยใช้ร่วมกับยาDaunorubicin และ Cytarabine
ยา Fludarabine
กลไกการออกฤทธิ์
เข้าไปแทรกกระบวนการเชื่อมจับของสาย DNA เกิดการยับยั้งการสร้าง DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ เนื่องจากเป็นพิษต่อทางเดิน
อาหารมาก หากให้โดยการรับประทาน ใช้รักษา CLL และมะเร็งต่อน้ำเหลืองที่ไม่รุนแรง
ยา 6-mercaptopurine (6-MP)
กลไกการออกฤทธิ์
เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายเบสเพียวรีน (purine analog)
ซึ่งเป็นยาชนิดแรกในกลุ่มนี้ท่นำมาใช้รักษาโรคมะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาเม็ดรับประทาน ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL (acute ympholytic leukemia) และ AML (acute myelogenous leukemia) หรือ acute nonlymphocytic
leukemia ; ANLL
ผลข้างเคียงของยยา
มีแผลในปาก หรือริมฝีปา
อุจจาระสีดำ ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด ไอหรือ
เสียงแหบ อ่อนเพลีย ตัวตาเหลือง ผิวหนังมีสีคล้ำ และท้องเสีย
กดไขกระดูก ขนาดยาที่สูงจะทำให้เกิด Leucopenia, thrombocytopenia เกิดพิษต่อตับและ
รบกวนระบบทางเดินอาหาร
Pyrimidine analogs
Capectibine
กลไกการออกฤทธิ์
คล้ายกับ 5-FU
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาชนิดเม็ดรับประทาน ใช้รักษาเพื่อบรรเทาอาการ (palliativetreatment) ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปแล้ว ปัจจุบันนิยมใช้ร่วมกับยา Oxaliplatin ในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แพร่กระจาย
Cytarabine
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ นิยมใช้การหยดแบบช้า ๆ เป็นเวลา 5-7วัน ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML
กลไกการออกฤทธิ์
ยาจะไปเติมหมู่ฟอตเฟต ทำให้เกิดการยับยั้งการเชื่อมต่อสายของสาย DNA
5-fluorouracil (5-FU)
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ thymidylate synthase ซึ่งเป็น เอนไซม์ที่จำเป็น
ในการสังเคราะห์ DNA และ RNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ thymidylate synthase ซึ่งเป็น เอนไซม์ที่จำเป็น
ในการสังเคราะห์ DNA และ RNA
Gemcitabine
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อยาเข้าสู่เซลล์ ยาจะถูกกระตุ้น้นให้มีการเติมหมู่ฟอตเฟตจะไปเข้าไปแทรกกระบวนการเชื่อมจับของสาย DNA เกิดการยับยั้งการสร้าง DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ชนิดยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งตับ
อ่อนที่แพร่กระจายไปแล้ว มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
ผลข้างเคียงจากยา
อาจพบอาการอ่อนเพลียไม่มีแรง โดยอาการจะค่อยๆดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
มีการลอกของฝ่ามือและฝ่าเท้าเมื่อใช้ยาติดต่อเป็นเวลานาน รวมไปถึงมีเล็บมือเล็บเท้าคล้ำลง
อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนพะอืดพะอมหรืออาการท้องเสีย
ผิวหนังจะถูกแสงแดดเผาได้ง่า
มีแผลในทางเดินอาหารตั้งแต่ที่ริมฝีปาก ในช่องปากและเยื่อบุทางเดินอาหาร
ผมร่วง แต่ผมจะงอกขึ้นใหม่หลังหยุดยา
กดการสร้างเม็ดเลือดและการกดการทำงานของไขกระดูก
Antifolate/Folate antagonist
Methotrexate (MTX)
กลไกการออกฤทธิ์
เป็นยาต้านโฟเลต (antifolate or folate antagonist) ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์dihydrofolate reductase (DHFR) ที่เปลี่ยน dihydrofolate ไปเป็น tetrahydrofolate ที่เป็น cofactor
สำคัญที่นำไปใช้สร้างสารตั้งต้นของ DNA, RNA และโปรตีน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ยามีทั้งยาชนิดเม็ดรับประทาน ยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดยาฉีดทางกล้ามเนื้อ และยาฉีดเข้าทางน้ำไขสันหลัง ใช้รักษาโรคมะเร็งหลายชนิด ใช้รักษามะเร็งต่อไปนี้
Pemetrexed
กลไกการออกฤทธิ์
เป็นยาต้านโฟเลตตัวใหม่ เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกmetabolite ให้กลายเป็นสารที่มีฤทธิ์ไปยับยั้งการสังเคราะห์และสร้างสารตั้งต้นของ
DNA, RNA และโปรตีน
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งปอด (lung cancer) มะเร็งตับอ่อน (pancreatic cancer)
ผลข้างเคียงของยา
จำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง จึงทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้จำนวนเกล็ด
เลือดลดลง ทำให้เลือดออกได้ง่าย
อาจทำให้แท้งและเด็กในครรภ์พิการได้ พิษต่อตับ พิษต่อไต ยากลุ่มนี้ทาให้เกิดอาการ folate
deficiency ในเซลล์ปกติ
ผลข้างเคียงจากยากลุ่มยา Antifolate/Folate antagonist
ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับยาในขนาดสูง
ผิวหนังจะถูกแสงแดดเผาได้ง่าย นำนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด สวมเสื้อแขนยาว หรือ
ทาโลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF (Sun protection factor) มากกว่า 15 เท่า
ผมร่วง พบได้น้อย แต่ผมจะงอกขึ้นใหม่หลังหยุดยา แต่ลักษณะสีและเส้นผมอาจเปลี่ยนไป
ยากลุ่มสารสกัดจากพืชธรรมชาติ (Natural and semi-synthetic products)
ยากลุ่ม vinca alkaloids
Vinblastine (VLB): Velban
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's และ non-Hodgkin lymphoma, มะเร็งลูกอัณฑะ(testicular cancer) และมะเร็งเต้านม
Vinorelbine: Navelbine
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษา non-small cell lung cancer และมะเร็งเต้านม
Vincristine (VCR): Oncovin
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด acute
(ymphocytic leukemia, มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's และ non-Hodgkin(ymphoma, มะเร็งหลายชนิดในเด็กได้แก่ Wilms' tumor (เนื้องอกของไต ) Ewing's sarcoma มะเร็งในกระดูกและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
ผลข้างเคียงของยา
Vinblastine และ vinorelbine กดไขกระดูกมากกว่า vincristine
ผลข้างเคียงอื่นที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเดิน ปวดท้อง เม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ ซีด ความดันโลหิตต่ำ
Vincistine มีพิษต่อระบบประสาทกล้ามเนื้อ เช่น ชาตามปลายมือปลายเท้า เดินเซ(ataxia) และอาจ
ทาให้กล้ามเนื้อฝ่อลี
อาจพบการอักเสบของหลอดเลือดดำ (phlebitis) บริเวณที่ให้ยา
กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่ม vinca alkaloids
ยาจะไปจับกับโปรตีน tubulin ทำให้ยับยั้งการประกอบ microtubules ยับยั้งการประกอบตัวของ mitotic spindle เซลล์หยุดการเจริญเติบโตในระยะ
metaphase (M phase; ระยะที่มีการแบ่งตัวแบบ mitosis)
ยากลุ่ม taxanes
การนำไปใช้รักษาในคลินิกข
เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งเต้านมะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งที่ศีรษะและคอ (head and neck cancers) นอกจากนั้น ยา Cabazitaxel สามารถใช้ร่วมกับ steroids ในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากระยะแพร่กระจายและดื้อต่อยา
ผลข้างเคียงของยา
ปฏิกิริยาแพ้ยา เช่น ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก
ผลต่อทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน
Paclitaxel ถ้าใช้หลายครั้งอาจทำให้เกิดภาวะคั่งน้ำในร่างกาย (fluid retention) ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ได้
อวัยวะส่วนปลายบวม โดยเฉพาะ ยา Docetaxel พบมากกว่ายาตัวอื่น
กดไขกระดูก ทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ
ปลายประสาทผิดปกติ
กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่ม taxanes
กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่ม taxanesสลายของสาย microtubules ทำให้การแบ่งเซลล์ไมโตซิสไม่สมบูรณ์โดยหยุดชะงักที่ระยะ anaphase
ยากลุ่ม Anticancer antibiotics
Doxorubicin (DOX)
กลไกการออกฤทธิ์
มีหลายกลไก เช่น ยับยั้ง topoisomerase 2 แทรกไปอยู่ระหว่าง DNA base pairs ในสาย DNA ปิดกั้นการสังเคราะห์ DNA และ RNA
รบกวนการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์ และสร้างอนุมูลอิสระซึ่งทำให้สาย DNA แตก
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ (หากเป็นยา
รับประทาน ยาจะถูกทำลายในกระเพราะอาหาร)
Bleomycin
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์โดยจับกับธาตุเหล็ก (Fe2+)ได้เป็นสารประกอบเชิงซ้อนของยากับเหล็กซึ่งทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้อนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการแตกของสาย DNA และสอดแทรกในสาย DNA ยามี
ผลต่อเซลล์ระยะ G2
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดชั้น
ใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าช่องต่าง ๆ ของร่างกาย
Dactinomycin หรือ actinomycin D
กลไกการออกฤทธิ์
สอดแทรกเข้าไปในสาย DNA ยับยั้งRNA polymerase ทำให้สาย single-strand ของ DNA แตก
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ใช้ร่วมกับยาVincristine ในการรักษา Wilms' tumor และมะเร็งของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในเด็ก(rhabdomycosarcoma) และใช้ร่วมกับยาMethotrexate ในการรักษา choriocarcinama
Mitomycin
กลไกการออกฤทธิ์
ยาถูกเปลี่ยนแปลงในเซลล์ไปเป็นสาร Alkylating agents
มีฤทธิ์แรงมาก ทำให้เกิดสะพานในสาย DNA มีผลยับยั้งการสังเคราะห์ DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งปากมดลูก (carcinoma of cervix)มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยอาจใช้ร่วมกับ 5-FU,
cisplatin หรือ doxorubicin แต่ปัจจุบันนิยมใช้น้อยลง
ผลข้างเคียงจากยา
ยากดการทำงานของไขกระดูก (bone marrow suppression) โดยเฉพาะยา Mitomycin มีกดไขกระดูกอย่างรุนแรง
รบกวนทางเดินอาหาร มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ และอาเจียน
ยา Mitomycin ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อไต และเกิดพังผืดในปอด (Ling fibrosis)
ผิวหนังไวต่อการฉายรังสี เยื่อบุในช่องปากอักเสบ และผมร่วง
ยา bleomycin มีพิษต่อปอด (pulmonanry toxicity) ทำให้ปอดอักเสบและมีพังผืดในปอด
หากยารั่วออกนอกหลอดเลือด (extravasation) จะทำให้ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ ตาย
นยา
ยา doxorubicin มีพิษต่อหัวใจ (cardiotoxicity) มีผลทั้งพิษเฉียบพลันและเรื้อรัง
ยากลุ่มฮอร์โมน (Hormone and hormone antagonists)
ยาออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมน androgen (anti androgens)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ยา Goserelin เป็นยาที่ใช้ฝังในกล้ามเนื้อ ส่วนยาเป็นยาฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง
ยา Abarelix เป็นยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ใช้บรรเทาอาการผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย
ผลข้างเคียงของยา
ร้อนวูบวาบ
เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ในระยะแรกอาจทำให้เซลล์มะเร็งเจริญมากขึ้น จากผลกระตุ้นการหลั่ง FSH และ LH ในช่วงแรก
ยาฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestins)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเยื่อบุมดลูก (endometrialcarcinoma) มะเร็งเต้านม (breast cancer) และมะเร็งของไต (renal carcinoma)
ผลข้างเคียงของยา
progestins เพิ่มอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน (antiestrogens)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
Tamoxifen: เป็นตัวเลือกแรกในการนำมาใช้รักษามะเร็งเต้า,Toremifene: ใช้รักษามะเร็งเต้านม, และ Raloxifene: ใช้การป้องกันการเกิดมะเร็งโรคกระดูกพรุน(osteoporosis)
ผลข้างเคียงของยา
ร้อนวูบวาบ รบกวนทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
มีเลือดประจำเดือนผิดปกติ
ใช้ในระยะยาวเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด (thromboembolic diseases)
ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Glucocorticoids)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's
และ non-Hodgkinlymphoma มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL (acute
(ymphocytic leukemia)
ผลข้างเคียงของยา
มีโอกาสติดเชื้อง่าย กลูโคสในเลือดสูง (hyperglycemia) โรคกระดูกพรูน (osteoporosis) โรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
ยากลุ่ม Alkylating agents
Carmustine
กลไกการออกฤทธิ์
ทำให้เกิด หมู่ Alkyl ไปจับกับสายของ DNA ส่งผลให้ DNA ทำให้เซลล์มะเร็ง
แบ่งตัวไม่ได้ เกิด DNA strand break และทำให้เซลล์ตาย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
รักษามะเร็งสมอง
Dacarbazine (DTIC)
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้กลายเป็นสารที่มีพิษต่อ
การสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์มะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้กลายเป็นสารที่มีพิษต่อ
การสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์มะเร็งVinblastine หรือ Dacarbazine ในการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin's lymphoma และมะเร็ง
ผิวหนัง (melanoma)
Chlorambucil
กลไกการออกฤทธิ์
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA แบบ cross-
linking ส่งผลทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่งตัวได้ และทำให้เซลล์ตาย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยามาตรฐานในการรักษา มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื่อรัง (Chronic lymphocytic leukaemia; CLL) และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด follicular
Cisplatin, Carboplatin
กลไกการออกฤทธิ์
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA ทำให้เกิดการยับยั้งกระบวนการ DNA replication และ DNA transcription
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าทางช่องท้อง ใช้ร่วมกับยื่นในการรักษา มะเร็งอัณฑะ มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปอด และมะเร็งทางเดินอาหาร
Ifosfamide (Holoxan; IFOS)
กลไกการออกฤทธิ์
กลไกเหมือน Cyclophosphamide
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ยามีทั้งรูปแบบฉีดและยารับประทาน ใช้รักษามะต่อมนำเหลือง มะเร็งเร็งอัณฑะ (testicular carcinoma) และ มะเร็งของเนื้อเยื่ออ่อน (soft tissue sarcoma) เช่น กระดูก กระดูกอ่อน ไขมัน กล้ามเนื้อและหลอดเลือด
Busulfan (Myleran)
กลไกการออกฤทธิ์
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA แบบ cross-linking ส่งผลทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่งตัวได้ และทำให้เซลล์ตาย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด (chronic myelgenous leukemia;CML) และใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดอื่น เช่น cyclophosphamide ก่อนการปลูกถ่ายไขกระดูก
Cyclophosphamide
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้กลายเป็น phosphoramide mustard แทรกเข้าไปในขบวนการสร้าง DNA แบบ crosslinking และมีการเติมหมู่ alkyl ที่เบส guanine บนสาย DNA และกระตุ้นให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ยามีทั้งรูปแบบฉีดและยารับประทาน ใช้รักษามะเร็งไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin's และ non-Hodgkin lymphoma มะเร็งเม็ดเลือดขาว (eukemia) ทุกชนิด
Mechlorethamine (Mustargen, Mustine)
กลไกการออกฤทธิ์
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA ทำให้เกิดสาย DNAแตก และยับยั้งกระบวนการ DNA transcription
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
เดิมใช้รักษารักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดHodgkin's Iymphoma แต่ปัจจุบันใช้ยานี้น้อยลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนไปใช้Cyclophosphamide และยาอื่น ๆ แทน
ผลข้างเคียงจากยากลุ่ม Alkylating agents
อาการพิษต่อระบบประสาท (neurotoxicity) พบในยา Ifosfamide สูงกว่ายาชนิดอื่น จะทำให้ผู้ป่วย
มีอารมณ์แปรปรวน เสียการทรงตัว เดินเซ
ความเป็นพิษต่อไต gyclophosphamide และ ifosfamide ทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะปัสสาวะ
(hemorhagic cystitis)
ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร โดยมีผลต่อ mucosal cells ของทางเดินอาหาร ทำให้คลื่นไส้
อาเจียน มีแผลในปาก และมีอาการเบื่ออาหาร ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยเกือบทุกราย
ยากลุ่มนี้มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงการเกิดพิษต่อหัวใจได้ ดังนั้นจึงควรระวังการใช้ยาหรือเลี่ยงการใช้ยา
กลุ่มนี้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ
ทำให้เกิดการกดการทำงานของไขกระดูก
ผลต่อผิวหนัง คือทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำ โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ เอว และรักแร้ ทำให้ผมร่วง
ยามะเร็งมุ่งเป้า (Targeted gene therapy)
ยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ (Monoclonal antibodies)
Trastuzumab (Herceptin)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปแล้ว
ผลข้างเคียงจากยา
อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวคั่ง เป็นผลข้างเคียงที่สำคัญผลข้างเคียงอื่น ๆ คือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เป็นต้น
กลไกการออกฤทธิ์
ยาจะไปจับกับ human epidermoid growthยาจะไปจับกับ human epidermoid growthkinase ที่มีมากในมะเร็งเต้านม
Rituximab (Rituxan
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด B-lymphoma
ผลข้างเคียงจากยา
อาจทำให้เกิด infusion reaction ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวีต
กดไขกระดูก
กลไกการออกฤทธิ์
ยาไปจับกับ CD20 ที่ผิว B cell ได้ หลังจากที่จับกันหลังจากที่จับกันแล้วจะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้มากำจัดเซลล์มะเร็ง เกิดการตายของเซลล์มะเร็งในที่สุด
Cetuximab (Erbitux )
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษา มะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอ
และมะเร็งลำไส้ส่วนล่าง
ผลข้างเคียงจากยา
ในระยะแรก อาจทำให้ความดันต่ำ และหายใจลำบากได้
กลไกการออกฤทธิ์
ซึ่งไปจับที่ epidermal growth factor (EGFR) ทำ
ให้ไม่สามารถรับสัญญาณที่จะไปกระตุ้น การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
Alemtuzumab (Campath )
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด B-cell chronic lymphocytic leukemia (B CLL)
ผลข้างเคียงจากยา
อาจทำให้เกิด infusion reaction ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวีต เช่น มีอาการความดันเลือดต่ำ
เกร็ง บวม angioedema เป็นต้น
กดไขกระดูก
กลไกการออกฤทธิ์
ไปจับกับ CD52 ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบได้ในเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งชนิด B cell หรือ T cellแล้วจะไปกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้มากำจัดเซลล์มะเร็งต่อไป
ยาโมเลกุลขนาดเล็ก (Small molecules)
Dasatinib (Sprycel )
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด chronicmyeloid leukemia และ acute tymphoblastic leukemia และรักษามะเร็งที่ดื้อต่อยา Imatinib ได้
Nilotinib (Tasigna)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษา chronic myeloid leukemia และรักษามะเร็งที่ดื้อต่อยา Imatinib ได้
Imatinib (Gleevec )
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษา gastrointestinal tumor stromal ซึ่งเป็นมะเร็งลำไส้ที่พบได้น้อยชนิดหนึ่งและมะเร็งเม็ดเลือดขาว(leukemia) โดย Imatinib จัดเป็น small-molecule drug ที่สามารถผ่านเข้าสู่เยื่อหุ้มเซลล์ไปออกฤทธิ์ที่ target ได้โดยตรง
ปฏิกิริยาระหว่างยา
ยับยั้งเอนไซม์ CYP450 เช่น CYP3A4, CYP2C9 และ CYP2D6 ถ้าหากให้ร่วมกับยา Warfarin,
Theophylline จะทำให้ระดับยาเหล่านี้ในกระแสเลือดสูงขึ้น เกิดพิษจากยาได้
ยาต้านเชื้อราในกลุ่ม Azole และ Erythromycin ลดการทำลายและขับยา Imatinib ทำให้ระดับยา
Imatinib ในกระแสเลือดสูงขึ้น เกิดพิษจากยาได้
ผลข้างเคียงจากยา
เกล็ดเลือดต่ำ ทำให้เลือดออกง่าย
กดไขกระดูกทำให้เม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil ต่ำ เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
พิษต่อตับ ทำให้บวมน้ำ
Dasatinib และ Nilotinib ทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ (QT prolongation) จนทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ
มีของเหลวคั่งในร่างกาย (Fluid
retention
ยากลุ่ม อื่น ๆ (Other anticancer agents)
Asparaginase
กลไกการออกฤทธิ์
ยาจะไปเร่งปฏิกิริยา hydrolysis ทำให้เซลล์มะเร็งขาดสารจำเป็นที่จะนำไปสร้างการเจริญเติบโตและสร้างโปรตีน ทำให้เซลล์ไม่สามารถสังเคราะห์และสร้างตัวเองได้
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้ในการรักษา ALL ในเด็ก โดยใช้
ร่วมกับ Vincristine และ Prednisone
ผลข้างเคียงจากยา
อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง อาจทำให้เสียชีวิตได้ ทำให้เกิดตับอ่อนอักเสบ พิษต่อตับ ชัก และ
โคม่าได้
Mitotane
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก
ใช้รักษามะเร็งต่อมหมวกไตชั้นนอก
(Adrenocortical carcinoma)
ผลข้างเคียงจากยา
อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า (Depression) มีนศีรษะ (Dizziness) มีผัน (SKn
rash) รบกวนทางเดินอาหาร
กลไกการออกฤทธิ์
รบกวนการทำงานของไมโตครอนเดรียในเซลล์ต่อมหมวก
ไตชั้นนอก ทำให้ฝ่อลงและลดการสร้าง cortisol
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านมะเร็ง
แนะนำให้ดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล เช่น การล้างมือบ่อยๆ สวมใส่เสื้อผ้าสะอาด
แนะนำให้ดูแลสุขภาพปากและฟันด้วยแปรงสีฟันขนนิ่ม ๆ แปรงฟันเบา ๆหรือใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำยา
พันนิ้วมือเช็ดปากและฟัน บ้วนปากบ่อยๆ
ถ้าผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ ควรดื่มเครื่องดื่มประเภทเหลวเย็น
แนะนำผลข้างเคียงที่อาจพบ เช่น ผมร่วง เพื่อป้องกันความวิตกกังวล
ดูแลการได้รับยาตามแผนการรักษา และสังเกตผลข้างเคียงหลังได้รับยา
ควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดหรือสัมผัสกับบุคคลที่เป็นโรคติดต่อ โรคติดเชื้อ
กรณีที่ได้รับยาชนิดฉีด
จัดเตรียมยาในห้องที่มีพัดลมดูดอากาศกรณีที่ยาเคมีบำบัดที่หกตามที่ต่างๆควรเช็ดออก
ด้วยกระดาษซับ และทำความสะอาดด้วยสบู่และนำ แล้วจึงเช็ดด้วย 70% alcohol
กำจัดอุปกรณ์ และภาชนะบรรจุยา ในถุงขยะ ปิดปากถุงให้แน่น แยกสีถุงขยะต่างจากถุง
ควรมีอุปกรณ์ป้องกันตัว
การเลือกเส้นเลือดดำที่จะให้ยา ควรเป็นเส้นเลือดที่เห็นชัด มีขนาดใหญ่ หลอดเลือดนุ่ม
เรียบตรง ไม่แข็งหรือคดงอ
พยาบาลที่ให้ยาควรมีความรู้ ใช้ทักษะที่ถูกต้องเหมาะสม
กรณีผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัดหลายชนิด ควรเลือกฉีดยากลุ่ม vesicant ก่อน
ผู้ป่วยมีโอกาสการเป็นหมันชั่วคราวหรือถาวรหลังจากได้ยาเคมีบำบัด ดังนั้นผู้ป่วยที่ยังต้องการมีบุตร
จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน
กรณีได้ยาชนิดรับประทานดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและดื่มน้ำตามมากๆ
ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้วงดผักสด ผลไม้ที่รับประทานทั้งเปลือก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
จากอาหาร
ประเมินผลข้างเคียงจากการได้รับยาเคมีบำบัดที่พบบ่อย
แนะนำให้สังเกตอาการเลือดออกง่าย เช่น มีจำเลือดตามตัว ปัสสาวะเป็นเลือด
ประเมินสัญญาณชีพก่อนและหลังให้ยา
กรณีที่รับประทานยาที่บ้าน แนะนำให้รับประทานยาตรงเวลา ขนาดที่แพทย์กำหนดเพราะส่งผลต่อ
ประสิทธิภาพของการรักษา
ประเมินภาวะสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยา โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาที่มีผลข้างเคียงสูง
ในกรณีที่มีอาการชาตามปลายประสาทส่วนปลาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง ควรระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุ
ให้ความรู้และคำแนะนำผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับ เหตุผลของการให้ยาเคมีบำบัด ผลดีของการให้ยาเคมีบำบัด ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการให้ยาเคมีบาบัด
ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive agents)
กลุ่มยาที่มีพิษต่อเซลล์ (Cytotoxic
Mycophenolate mofetil (MMF)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้ป้องกันและรักษา acute graft rejection (การปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน) ในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะร่วมกับยาตัวอื่นแทน Azathioprine
Mycophenolate
ผลข้างเคียงจากยา
มีผลข้างเคียงที่ต่ำกว่า Azathioprine ที่พบบ่อยได้แก่ กดไขกระดูกทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ เสี่ยงต่อการ
ติดเชื้อ
ผลข้างเคียงที่พบน้อย ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ตับอ่อนอักเสบ พิษต่อตา พิษต่อตับ
มีผื่น ปวดกล้ามเนื้อ
กลไกการออกฤทธิ์
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น mycophenolic
acid (MPA)มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ inosine monophosphate dehydrogenaseส่งผลยับยั้งการสร้าง DNA, RNA และโปรตีน ยามีผลยับยั้งการแบ่งตัวของ B และ T lymphocytes
Sirolimus หรือ Everolimus
กลไกการออกฤทธิ์
ยาไปยับยั้งการทำงานของ mammalian target ofrapamycin ; MTOR (ซึ่งเป็นเอนไซม์ kinase ที่สำคัญต่อการออกฤทธิ์ของ IL-2)ยับยั้งการเจริญและแบ่งตัวของ T cell และยับยั้งการตอบสนองของ T cell ต่อ
(Sirolimus ไม่ได้ยับยั้งการสร้าง IL-2 เหมือน Cyclosporinและtacrolimus)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้ป้องกันการเกิด acute graft rejection (การปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน) โดยให้ร่วมกับ cyclosporineytotoxic agents และ antiproliferative ที่นำมาใช้กดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ผลข้างเคียงจากยา
กดไขกระดูก ทำให้เกร็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) และเม็ดเลือดขาวต่ำ (leukemia) ทำให้ติด
เชื้อง่าย ซีด
หากใช้ยา Sirolimus ร่วมกับ Cyclosporine จะทำให้พิษต่อโตของ Cyclosporine สูงขึ้น และภาวะ
ไขมันในเลือดสูงรุนแรงขึ้น
ภาวะโพแทสเซียมต่ำในเลือด (hypokalemia)
Azathioprine (Imuran)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้ร่วมกับยากลุ่ม Corticosteroids และCyclosporin ในการรักษาแบบ triple therapy เพื่อป้องกัน acute graftrejection (การปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน) จากการปลูกถ่ายไต
หรือตับ หรือใช้รักษาโรคภูมิคุ้มกันต้านตัวเองหลายชนิด
ผลข้างเคียงจากยา
คลื่นไส้ อาเจียน เกิดพิษต่อตับ (hepatotoxicity)
ตัวเหลือง ตาเหลือง ผมร่วง กล้ามเนื้ออ่อนแรง อ่อนเพลีย เป็นผืน
กดการทำงานของไขกระดูก เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำบ่อยกว่าโลหิตจางหรือเกร็ดเลือดต่ำ
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งการสร้าง DNA, RNA และโปรตีน ส่วน active metabolite คือ 6-thioinosinic acid มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ต่าง ๆ ในการสร้างสารพิวรีน มีผลยับยั้งการสร้าง DNA และยับยั้งการ แบ่งตัวของเซลล์
Leflunomide
กลไกการออกฤทธิ์
ยาไปยับยั้งการสังเคราะห์pyrimidine ส่งผลให้การสังเคราะห์และการสร้าง DNA และ RNA ถูกยับยั้ง จึงทำให้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านการเจริญเติบโตของเซลล์
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ผลข้างเคียงจากยา
พิษต่อตับ พิษต่อไต ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคตับและโรคไต
กดไขกระดูก ทำให้เกร็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) และเม็ดเลือดขาวต่ำ(leukemia) ทำให้ติด
เชื้อง่าย
กลุ่มอดรีโนคอร์ติคอยด์ (Adrenocorticoids)
กลไกการออกฤทธิ์ของยา
cytokine ชนิดต่าง ๆ ยาสามารถ
ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันได้หลายวิธี เช่น กดการทำงานของเซลล์ macrophage
B lymphocyte ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ lymphocyte ยับยั้งการสร้าง cytokine หลายชนิด ทำให้จำนวน lymphocyte ในกระแสเลือดลดลงได้ทันทีและได้นานถึง 24 ชั่วโมง โดยทำให้เซลล์ lymphocyte
เคลื่อนย้ายออกจากกระแสเลือด
การออกฤทธิ์ยาจะไปควบคุมการทำงานขของ gene โดยจับกับ steroid receptorภายในเซลล์ได้เป็น drug-receptor complex ไปออกฤทธิ์ที่นิวเคลียสโดยไปยับยั้งการสร้าง mRNA ของโปรตีนหลายชนิด
มีผลต่อการเคลื่อนย้าย T cell มากกว่า B cell ฤทธิ์ลดการอักเสบมีส่วนช่วยในการรักษาด้วย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ในด้านการกดภูมคุ้มกัน หากใช้ในขนาดสูง (high dose) สามารถนำไปใช้กดอาการแสดงของโรคภูมิคุ้มกัน (autoimmune disorders)
ผลข้างเคียงของยา
ผลข้างเคียงเหมือนกับการใช้ยากลุ่ม Steroidsโดยความรุนแรงของผลข้างเคียงขึ้นกับขนาดและระยะเวลาในการใช้ยา า เพื่อลดผลข้างเคียง
ควรให้ยา corticosteroids ร่วมกับยาอื่น เช่น cyclosporine จะช่วยลดขนาดการให้ยากลุ่ม corticosteroids ได้
การใช้ยา corticosteroids เป็นระยะเวลานานมีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกายหลายระบบ เช่น
น้ำหนักตัวเพิ่ม หน้ากลมคล้ายรูปพระจันทร์
กลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แคลซินิวริน (Calcineurin inhibitors)
Cyclosporin A (CsA)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้ป้องกันและรักษา acute graft rejection (การปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน) ในผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายไต
หัวใจ ปอดและตับ โดยนิยมให้ร่วมกับยากลุ่ม corticosteroids และ cytotoxic
ผลข้างเคียงจากยา
พิษต่อระบบประสาท (neurotoxicity) เช่น แขนขา ชา สัน (tremor)
อาจทำให้ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง การทำงานของตับผิดปกติ เหงือกบวม
พิษต่อไต (nephrotoxicity) ขึ้นกับขนาดยาที่ให้ และระดับยาในเลือด
ยามีฤทธิ์กดไขกระดูกเพียงเล็กน้อย จึงทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้น้อยกว่ายากดภูมิคุ้มกันตัวอื่น ๆ
เมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
กลไกการออกฤทธิ์
ยับยั้งเอนไซม์ calcineurin ส่งผลยับยั้งการสร้างและการหลั่ง IL-2 จาก T cell (ที่จะไปกระตุ้นการแบ่งตัวของ T-cell และกลายเป็น cytotoxic I ymphocytes; CTL)ส่งผลให้ T lymphocyte activation ลดลง
Tacrolimus (FK506 )
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้แทน Cyclosporin ในการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ (organ transplantation) เนื่องจากมีผลข้างเคียงน้อยกว่าและลดขนาดของยา corticosteroids ที่ใช้ร่วมด้วยได้
ผลข้างเคียงจากยา
คล้ายกับ Cyclosporin แต่ยาไม่ทำให้เหงือกหนาและขนดก
ยามีพิษต่อระบประสาท ซึ่งพบได้บ่อยกว่า Cyclosporin
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์เหมือนกับ cyclosporin แต่เป็นยาใหม่กว่า
Cyclosporin และฤทธิ์แรงกว่า Cyclosporin 100 เท่า
กลุ่มสารยับยัง Cytokines (Cytokines inhibitors)
Anti-TNF-4a antibody
กลไกการออกฤทธิ์
เป็น antibodies ที่จับกับ TNF-g ซึ่งเป็น cytokine ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ เช่น IL-1, IL-6 และกระตุ้นการเคลื่อนตัวของเม็ดเลือดขาว
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ร่วมกับยา Methothexate ให้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อกลุ่มยา DMARDS นอกจากนั้นยังใช้รักษา Crohn's diseaseกรณีที่ไม่ตอบสนอง
ต่อการรักษาด้วยยาอื่น
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ
กดไขกระดูก ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
พบปฏิกิริยาบริเวณที่ฉีดยา เช่น ผื่นแดง คัน ปวดหรือบวม
อาจพบอาการ ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
Anti-lgE mAbs
กลไกการออกฤทธิ์
ยาจะไปปิดกั้นการจับของ IgE กับ FC receptor ส่งผลให้ลดการหลั่งสารที่ก่อให้เกิดการแพ้แบบ hypersensitivity ชนิดที่ 1 นอกจากนั้น ยายังทำให้นะดับ lgE ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะหยุดยาไปแล้ว
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักโรคหอบหืดที่เกิดจากภูมิแพ้ (allergic asthma) ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยากลุ่ม steroids ชนิดสูดพ่น
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ
เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น และอาจเหนี่ยวนำทำให้เกิดมะเร็งได้
อาจพบอาการปวดศีรษะ หรือปวดบริเวณที่ฉีดยา
อาจเกิด anaphylactic reaction หลังจากได้รับยา 2 ชั่วโมง
Anti-CD2
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน (psoriasis)
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ
อาจพบอาการ ใข้ หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ติดเชื้อได้ง่าย (cytokine release syndrome)และห้าม
ใช้ยานี้ในผู้ป่วย HIV
กลไกการออกฤทธิ์
ยาออกฤทธิ์โดยจับกับ CD2 บนพื้นผิว T cell ทำให้ลดการแบ่งตัว ยับยั้งการกระตุ้นและเกิดการทำลาย T cell และทำให้จำนวน T cell ในกระแสเลือดลดลง
Anti-lymphocyte globulin (ATG)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้รักษาภาวะปฏิเสธการปลูกถ่ายไตแบบเฉียบพลัน (acute renaltransplant rejection)
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ
มักมีไข้ หนาวสั่น ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ เป็นตุ่มตามผิวหนังและปวดข้อ เกิดการติดเชื้อ
ไวรัสและแบคทีเรียได้สูง
กลไกการออกฤทธิ์
ยาออกฤทธิ์โดยจับกับโมเลกุลบนพื้นผิว T cell ทำให้ลดการแบ่งตัว ยับยั้งการกระตุ้นและเกิดการทำลาย T cell ยาออกฤทธิ์แรง กดภูมิคุ้มกันแบบ cell-mediated
Anti-IL-2 receptor antibody
การนำไปใช้รักษาในคลินิก
ใช้ในผู้ป่วยที่มีการปลูกถ่ายไต เพื่อเป็นการป้องกันการเกิด acute graftrejection หรือการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ
rejection หรือการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน
กลไกการออกฤทธิ์
ออกฤทธิ์ยับยั้งการกระตุ้น \ymphocyte ด้วย IL-2 ที่เป็น pathway สำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ที่ทำให้เกิดการปฏิเสธการปลูก25 mg/8 mtถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน
ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressive agents)
หรือ Immunosuppressive agents)เป็นกลุ่มยาที่ใช้เพื่อกดหรือลดความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบยากดภูมิคุ้มกัน หรือ ยากดภูมิต้านทาน หรือยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันโดยรวม
กรณีที่ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะแนะนำผู้ป่วยถึงความจำเป็นในการรับประทานยากดภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะที่ปลูกถ่าย ควรมีระเบียบวินัยต่อตนเองในการรับประทานยาซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่สำคัญมาก
กรณีที่ผู้ป่วยกินยาอยู่ที่บ้านแนะนำให้รับประทานยาตรงตามเวลาและขนาดที่แพทย์กำหนดอย่าง
ต่อเนื่อง ไม่ควรเพิ่ม/ลดขนาดยาหรือหยุดยาเอง หากลืมรับประทานยาให้รับประทานทันที่ที่นึกได้
ยกเว้นว่าใกล้ถึงเวลารับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่ต้อง เพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่า
ยากดภูมิคุ้มกันหลายๆชนิดมีผลกดการกระทำงานของไขกระดูกอาจทำให้มีโลหิตจาง เม็ดเลือดขาว
และเกล็ดเลือดต่ำได้ หากมีอาการผิดปกติ
แนะนำให้ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากยาบางชนิดมีปฏิกิริยาต่อกัน ทำให้เพิ่มความเป็นพิษของยาได้และควรแจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษาทุกครั้งว่าตนเองมีโรคประจำตัวใดหรือรับประทาน
ยาใดอยู่บ้าง
ระหว่างที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่ มีข้อควรระวังในการรับวัคซีนบางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
วัคซีนที่มีเชื้อมีชีวิต (Iive attenuated vaccine) จึงควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนรับวัคซีน
ยากลุ่มนี้มีผลทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด (teratogenic effects) ระหว่างที่รับประทานยา ต้อง
คุมกำเนิดและเว้นการให้นมบุตร หากตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ ให้รีบปรึกษาแพทย์
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการห้องปฏิบัติการ เช่น CBC, BUN, Creatinine, electrolyteLFT ผลตรวจวัดระดับยาในเลือด เนื่องจากยากดภูมิคุ้มกันบางชนิดเช่น tacrolimus ต้องปรับขนาน
ยาตามระดับความเข้มข้นของยาในกระแสเลือด
แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หรือสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อหรือผู้ป่วยโรคติดต่อ
ดูแลการได้รับยาตามแผนการรักษา ให้ยาโดยยึดหลัก 7R ประเมินผลข้างเคียง ความเป็นพิษที่อาจเกิดขึ้น
ยาบางชนิดเช่น azthioprine ทำใหเกิดแผลในปากแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพปากและฟัน
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาครั้งแรก พยาบาลเตรียมความพร้อมของผู้ป่วย และครอบครัวโดยการให้
ความรู้และคำแนะนำผู้ป่วยและญาติเกี่ยวกับ เหตุผลของการให้ยากดภูมิคุ้มกัน ผลดีของการให้ยา