Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 2 การประเมินสัญญาณชีพ - Coggle Diagram
บทที่ 2 การประเมินสัญญาณชีพ
2.1 สัญญาณชีพ
2.1.2 ข้อบ่งชี้ในการวัดสัญญาณชีพ
4) ก่อนและหลังการตรวจวินิจฉัยโรคที่ต้องใส่เครื่องมือตรวจเข้าไปภายในร่างกาย
5) ก่อนและหลังให้ยาบางชนิดที่มีผลต่อหัวใจและหลอดเลือด(Cardiovascular) การ หายใจและการควบคุมอุณหภูมิร่างกาย
3) ก่อนและหลังการผ่าตัด
6) เมื่อสภาวะทั่วไปของร่างกายผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงเช่นความรู้สึกตัวลดลงมีความรุนแรงของอาการปวดเพิ่มขึ้นเป็นต้น
2) วัดตามระเบียบแบบแผนที่ปฏิบัติของโรงพยาบาลหรือตามแผนการรักษาของแพทย์
7) ก่อนและหลังการให้การพยาบาลที่มีผลต่อสัญญาณชีพเช่นก่อนให้ผู้ป่วยที่เดิมBed rest มีการambulate หรือก่อนให้ผู้ป่วยออกกําลังกาย
1) เมื่อแรกรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล
2.1.3 ค่าปกติของสัญญาณชีพ
ค่าสัญญาณชีพ ของแต่ละบุคคลปกติจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอายุ เพศ และตรวจในขณะพัก หรือหลังการเคลื่อนไหว ในที่นี้จะเสนอค่าสัญญาณชีพปกติในผู้ใหญ่ ที่มักใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินความผิดปกติของสัญญาณชีพ
หายใจ = 12-20 ครั้ง/นาที
ความดันโลหิต
Systolic = 90-140 mmHg
Diastolic = 60-90 mmHg
ชีพจร = 60-100 ครั้ง/นาที
อุณหภูมิ = 36.5-37.5 องศาเซลเซียส
2.1.1 ความหมายของสัญญาณชีพ
สัญญาณชีพ(Vital signs) เป็นสิ่งที่แสดงให้ทราบถึงการมีชีวิตสามารถสังเกตและตรวจพบได้จากอุณหภูมิ ชีพจร การหายใจและความดันโลหิต
เมื่อใดที่สัญญาณชีพผิดปกติผู้ป่วยจะต้องได้รับการเฝ้าระวังและค้นหาสาเหตุอย่างต่อเนื่องเนื่องจากแสดงว่ากําลังเกิดความผิดปกติกับร่างกาย เช่นร่างกายอาจได้ออกซิเจนไม่เพียงพอเสียเลือดเสียความสมดุลของน้ํา
2.2 อุณหภูมิของร่างกาย
อุณหภูมิของร่างกาย เป็นระดับความร้อนของร่างกายซึ่งเกิดจากความสมดุลของการสร้างความร้อนของร่างกายและการสูญเสียความร้อนจากร่างกายไปยังสิ่งแวดล้อม
อุณหภูมิส่วนแกนกลางเป็นอุณหภูมิของเนื้อเยื่อชั้นลึก ของร่างกาย เช่น ศีรษะ
อุณหภูมิผิวนอก ป็นอุณหภูมิเนื้อเยื่อชั้นผิว ลอดเลือดส่วนปลายและอวัยวะส่วนปลายเช่น แขน ขา
2.2.1 ปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างความร้อน และการระบายความร้อนออกจากร่างกาย
1) กลไกของร่างกาย
(3)การแผ่รังสี การส่งผ่านความร้อนในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากพื้นผิววัตถุหนึ่งไปยังพื้นผิวของอีกวัตถุหนึ่ง โดยไม่มีการสัมผัสกันของทั้ง 2 พื้นผิว
(2) การพาความร้อน การระบายความร้อนโดยอาศัยตัวกลาง
(1) การนําความร้อน การระบายความร้อนโดยอาศัยสื่อร่างกายต้องสัมผัสโดยตรงกับสิ่งที่เย็นกว่าซึ่งอาจจะเป็นอากาศรอบตัวหรือวัตถุ
(4)การระเหยเป็นไอ การระบายความร้อนออกมาโดยการระเหยจากพื้นผิวของร่างกาย การระบายความร้อนได้ 3 คือ ทางผิวหนังร้อยละ 87.5 ทางลมหายใจ ร้อยละ 10.7 และทางอุจจาระปัสสาวะ ร้อยละ1.7
2) กลไกของการเกิดพฤติกรรม ได้แก่ การถอดเสื้อผ้า หรือสิ่งตกแต่งที่ทําให้อุ่น
2.2.2 ปัจจัยที่มีผลต่ออุณหภูมิของร่างกาย
4) อารมณ์
5)ฮอร์โมน เพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายมากกว่าเพศชายในรอบของการมีประจําเดือน
3)การออกกําลังกาย มีผลทําให้ความร้อนสะสมในร่างกายมากขึ้น อุณหภูมิในร่างกายจึงสูงขึ้น
6)สิ่งแวดล้อม
2)อายุ
7)ภาวะโภชนาการและชนิดของอาหารที่รับประทาน
1)ความผันแปรในรอบวัน อุณหภูมิสูงสุดระหว่าง 20.00 และ 24.00น.และต่ําสุดช่วงที่นอนหลับ 04.00-06.00 น
8)การติดเชื้อในร่างกาย เช่น แบคทีเรีย
2.2.3 การประเมินอุณหภูมิของร่างกาย
2)การวัดอุณหภูมิทางรักแร้
ข้อดี ของการวัดอุณหภูมิทางนี้ คือสามารถวัดได้ทุกช่วงวัย ปลอดภัยและแพร่เชื้อจุลินทรีย์น้อยกว่าการวัดทางปากและทางทวารหนัก และรบกวนจิตใจน้อยกว่าวัดทางทวารหนัก
ข้อเสียในการวัด คือต้องใช้เวลานาน
3)การวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก มักจะใช้วัดในเด็กเล็กที่ไม่สามารถอมปรอทได้
1)การวัดอุณหภูมิทางปาก เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า ปรอทวัดไข้ชนิดอมในปาก มีทั้งชนิดเป็นแท่งแก้วบรรจุปรอท (Mercurial temperature) มีขีดบอกค่าอุณหภูมิที่ด้านข้างและปรอทที่เป็นดิจิทัลบอกค่าตัวเลข
4)การวัดอุณหภูมิโดยใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ การวัดทางหู และ การวัดทางผิวหนัง
เครื่องมือที่ใช้วัดอุณหภูมิของร่างกายเรียกว่า “Thermometer” เรียกง่าย ๆ ว่า “ปรอท”
2.2.4 ภาวะอุณหภูมิร่างกายผิดปกติและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอุณหภูมิของร่างกายผิดปกติ
2)อุณหภูมิร่างกายต่ํากว่าปกติ ภาวะที่อุณหภูมิแกนกลางของร่างกายต่ํากว่าอุณหภูมิปกติ
1)อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ เป็นภาวะที่ร่างกายมีการผลิตหรือรับความร้อนมากแต่ไม่สามารถระบายความร้อนออกไปนอกร่างกายได้
2.3 ชีพจร
2.3.1 ความหมายและปัจจัยที่มีผลต่อการเต้นของชีพจร
ชีพจร(Pulse) หมายถึง การหดและขยายตัวของผนังหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย
ปัจจัยที่มีผลต่อการเต้นของชีพจร
4)ภาวะไข้
5)ยา ยาบางชนิด ลดอัตราการเต้นของชีพจร
3)การออกกําลังกาย
6)อารมณ์
2)เพศ
7)ท่าทาง
1)อายุ
8)ภาวะเสียเลือด
2.3.2 การประเมินชีพจร
4)Radial pulseอยู่ที่ข้อมือด้านในบริเวณกระดูกปลายแขนด้านนอกหรือด้านหัวแม่มือ
5)Femoral pulseอยู่บริเวณขาหนีบตรงกลางๆส่วนของเอ็นที่ยึดขาหนีบ
3)Brachial pulse อยู่ด้านในของกล้ามเนื้อBicepคลําได้ที่บริเวณข้อพับแขนด้านใน
6)Popliteal pulse อยู่บริเวณตรงกลางข้อพับเข่าถ้างอเข่าจะสามารถคลําได้ง่ายขึ้น
2)Carotid pulseอยู่ด้านข้างของคอคลําได้ชัดเจนที่สุดบริเวณมุมขากรรไกรล่าง
7)Dorsalis pedis pulse อยู่บริเวณกลางหลังเท้าระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้
1)Temporal pulse จับที่เหนือและข้างๆตาบริเวณTemporal bone
8)Apical pulseอยู่ที่ยอดของหัวใจหน้าอกด้านซ้ายบริเวณที่ตั้งของหัวใจ
9)Posterior tibial pulseอยู่บริเวณหลังปุ่มกระดูกข้อเท้าด้านใน
การประเมินชีพจรสามารถคลําได้ 9 ตําแหน่ง แต่ Radialartery จะได้ Radialpulse ซึ่งอยู่ที่ข้อมือด้านนิ้วหัวแม่มือ เป็นตําแหน่งที่ง่ายต่อการจับและสะดวกสําหรับผู้ป่วย จึงนิยมใช้ในการวัดสัญญาณชีพเบื้องต้น
2.3.3 ลักษณะชีพจรที่ผิดปกติ
2)จังหวะ(Rhythm) การเต้นชีพจร
(1)จังหวะของชีพจรปกติ จะมีช่วงพักระหว่างจังหวะเท่ากัน ชีพจรเต้นสม่ําเสมอ เรียกว่า Pulse regularis
(2)จังหวะของชีพจรผิดปกติ ชีพจรที่เต้นไม่เป็นจังหวะแต่ละช่วงพักไม่สม่ําเสมอ ชีพจรเต้นไม่สม่ําเสมอ หรืออาจจะมีจังหวะการเต้นสม่ําเสมอสลับกับไม่สม่ําเสมอเรียกว่า Arrhythmiaหรือ Irregular
3)ปริมาตรความแรง(Volume)
ระดับ 1 Threadyมีลักษณะชีพจรแผ่วเบา
ระดับ 0 ไม่มีชีพจรคลําชีพจรไม่ได้
ระดับ 2 Weak ชีพจรแรงกว่าระดับ 1 ค่อนข้างเบา
ระดับ 3 Regular ลักษณะชีพจรเต้นจังหวะสม่ําเสมอ
ระดับ 4 Bounding pulseลักษณะชีพจรเต้นแรง
1)อัตรา(Rate) การเต้นของชีพจร อัตราการเต้นของชีพจรปกติในวัยผู้ใหญ่อยู่ระหว่าง 60-100 ครั้งต่อนาที
(1)ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่มากกว่า100ครั้ง/นาที เรียกว่าTachycardia
(2)ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่น้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที เรียกว่า Bradycardia
4)ความยืดหยุ่นของผนังของหลอดเลือด
ปกติผนังหลอดเลือดจะมีลักษณะตรงและเรียบมีความยืดหยุ่นดี ในผู้สูงอายุผนังหลอดเลือดแดงมีความยืดหยุ่นน้อยขรุขระ และไม่สม่ําเสมอ
2.6 กระบวนการพยาบาลในการประเมินสัญญาณชีพ
กรณีตัวอย่าง ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการมีไข้ ไอมีน้ํามูก วัดสัญญาณชีพ อุณหภูมิ 38.7องศาเซลเซียส ชีพจร 98ครั้งต่อนาที หายใจ 24ครั้งต่อนาที ความดันโลหิต 110/70มิลลิเมตรปรอท
2.6.3 การวางแผนการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยมีอุณหภูมิร่างกายปกติ ป้องกันอาการชักจากภาวะไข้สูง และให้ผู้ป่วยสุขสบายขึ้น และหากพบว่าอุณหภูมิร่างกายสูงจากการติดเชื้อการพยาบาลต้องรวมไปถึงเพื่อให้ภาวะติดเชื้อลดลงด้วย
2.6.4 การปฏิบัติการพยาบาล
2)เช็ดตัวลดไข้โดยใช้น้ําธรรมดาหรือน้ําอุ่น ไม่ควรใช้น้ําเย็นเพราะจะทําให้เส้นเลือดหดตัว ทําให้การระบายความร้อนไม่ดีเท่าที่ควร
3)ดูแลให้ได้รับน้ําอย่างเพียงพอเพื่อชดเชยปริมาณสารน้ําที่สูญเสีย
1)ประเมินสัญญาณชีพ ได้แก่ อุณหภูมิ ชีพจร หายใจ และความดันโลหิต อย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง หรือเมื่อจําเป็น
4)จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ อาการถ่ายเทได้สะดวก เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นการลดการใช้พลังงาน
5)ให้ยา Paracetmol ลดไข้/ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ (กรณีมีการติดเชื้อร่วมด้วย) ตามแผนการรักษา
6)ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
2.6.2 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1)ไม่สุขสบายเนื่องจากอุณหภูมิร่างกายสูง
2)มีภาวะติดเชื้อในร่างกาย.....(หากทราบผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ)
2.6.5 การประเมินผลสัญญาณชีพ
ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่น สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล
2.6.1 การประเมินสภาพ
2)ตรวจร่างกาย และประเมินสัญญาณชีพ
3)จากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจพิเศษอื่นๆ
1)ซักประวัติการสัมผัสเชื้อ ระยะเวลา การรักษาก่อนมาโรงพยาบาล
2.5 ความดันโลหิต
2.5.1 ความหมายและปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต
ความดันโลหิตหมายถึง แรงดันของเลือดที่ไปกระทบกับผนังเส้นเลือดแดงมีหน่วยเป็นมิลลิเมตรปรอท
Systolic pressure ซึ่งเป็นความดันที่เกิดจากการหดรัดตัวของหัวใจห้องล่างซ้ายเพื่อฉีดเลือดออกจากหัวใจจึงเป็นความดันที่สูงสุด
Diastolic pressure เป็นความดันที่วัดเมื่อหัวใจห้องล่างซ้ายคลายตัวจึงเป็นความดันที่ต่ําสุด
ปัจจัยที่ทำให้ค่าความดันโลหิตปกติในแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน
2)อิริยาบถขณะวัดความดันโลหิตและการออกกําลังกาย การวัดความดันโลหิตควรวัดในขณะที่ร่างกายผ่อนคลาย
1)อายุเด็กแรกเกิดจะมีSystolic pressureประมาณ40-70 มิลลิเมตรปรอทในผู้ใหญ่ปกติจะมีSystolic pressureระหว่าง90-140 มิลลิเมตรปรอทและDiastolic pressureระหว่าง60-90 มิลลิเมตรปรอท
3)ความเครียดและการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ได้แก่ความตื่นเต้น ความกลัวความเจ็บปวดภาวะเหล่านี้จะทําให้เกิดการกระตุ้นประสาทอัตโนมัติมีผลให้หัวใจบีบตัวแรงขึ้นเส้นเลือดหดตัวความดันโลหิตจึงสูงขึ้นได้
4)ลักษณะของร่างกายและปัจจัยอื่นๆได้แก่ (1)รูปร่างคนอ้วนความดันโลหิตมักสูงกว่าคนผอม(2)เพศ (3)ยา
2.5.2 การประเมินความดันโลหิต
1)การวัดความดันโลหิตโดยทางตรง วิธีใส่สายสวนเข้าไปในSuperior vena cavaและใช้เครื่องมือวัดความดันของเลือดที่จะเข้าหัวใจห้องบนขวา
2)การวัดความดันโลหิตโดยทางอ้อม เป็นการวัดความดันของหลอดเลือดแดงมี2 วิธีคือวิธีการฟังและวิธีการคลํา ครื่องมือที่ใช้สําหรับวัดความดันโลหิตได้แก่ Stethoscope และ Sphygmomanometer
2.5.3 ลักษณะความดันโลหิตที่ผิดปกติ
2)Hypotensionหมายถึงความดันโลหิตต่ําโดยSystolic ต่ํากว่า 90 mmHgและDiastolic ต่ํากว่า 60 mmHg พบมีอาการ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หน้าซีด เหงื่อออก ตัวเย็น เป็นลมหมดสติ
3)Orthostatic hypotensionหมายถึงความดันโลหิตตกในท่ายืนการเปลี่ยนจากท่านอนราบเป็นท่ายืนทันที มีผลทําให้ความดันโลหิตลดต่ําลงทันที เกิดจากหลอดเลือดส่วนปลายขยาย แต่ไม่มีกลไกการปรับตัวเพิ่มขึ้นของจํานวนเลือดที่ออกจากหัวใจ ทําให้ความดันโลหิตตก ส่งผลเป็นลมหน้ามืดได้
1)Hypertensionหมายถึงความดันโลหิตสูง โดย Systolic สูงกว่า 140 mmHg และDiastolic สูงกว่า 90 mmHg พบมีอาการปวดศีรษะ บริเวณท้ายทอย ตาพร่า หรือมองไม่เห็น คลื่นไส้ อาเจียน ชักและหมดสติในที่สุด
2.4 การหายใจ
2.4.1 ความหมายและปัจจัยที่มีผลต่อการหายใจ
การหายใจหมายถึง การนําออกซิเจนจากอากาศเข้าสู่ร่างกาย และขับคาร์บอนไดออกไซด์ออก โดยผ่านปอดตามลมหายใจเข้าออก
1)การหายใจเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปอดกับอากาศภายนอก
(1)การสูดเอาอากาศเข้าไปในถุงลมของปอดเรียกว่าการหายใจเข้าซึ่งในอากาศมีก๊าซออกซิเจนประมาณร้อยละ21.00 เข้าไปถึงถุงลมในปอดออกซิเจนจะซึมเข้าเส้นเลือดแดงที่หุ้มถุงลมอยู่เข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด
(2)การไล่อากาศออกจากปอดเรียกว่าการหายใจออก มีก๊าซออกซิเจนเหลือประมาณร้อยละ16.00-18.00
2)การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งอยู่ในเลือดกับเซลล์ของเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย ออกซิเจนที่ได้จากการหายใจเข้าถูกนําไปสู่เซลล์ต่างๆโดยเส้นเลือดแดงส่วนคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเกิดจากการเผาผลาญของเซลล์นั้นๆจะซึมผ่านเข้าเส้นเลือดดําเพื่อนํากลับไปฟอกที่ปอด
ปัจจัยที่มีผลต่อการหายใจ การหายใจเป็นการทํางานแบบอัตโนมัติ
2.4.2 การประเมินการหายใจ
1)อุปกรณ์
(2)ปากกาน้ําเงินและแดง
(3)กระดาษและแบบฟอร์มการบันทึก
(1)นาฬิกาที่มีเข็มวินาที
2) วิธีการปฏิบัติ
(4)นับอัตราการหายใจ สังเกตความลึก จังหวะ และลักษณะการหายใจ ในผู้ใหญ่ สังเกตการเคลื่อนไหวของทรวงอกในเด็กสังเกตการเคลื่อนไหวของท้อง
(5)ประเมินการหายใจเต็ม 1 นาที
(3)เริ่มนับการหายใจหลังจากการนับชีพจรเสร็จแล้วโดยพยาบาลยังคงจับข้อมือผู้ป่วยไว้เสมือนว่ากําลังนับชีพจร
(6)บันทึกลงกระดาษที่เตรียมไว้และบันทึกในแบบฟอร์มต่อไป
(2)บอกให้ผู้ป่วยทราบและขออนุญาตจับต้องตัวผู้ป่วย
(7)ล้างมือให้สะอาด
(1)ล้างมือให้สะอาด
การประเมินการหายใจ เป็นการนับอัตราการหายใจเข้าและออก นับเป็นการหายใจ 1 ครั้งไปจนครบ 1 นาทีเต็มมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบการทํางานของปอด และทางเดินของลมหายใจ
2.4.3 ลักษณะการหายใจที่ผิดปกติ
ในการนับการหายใจแต่ละครั้ง สิ่งที่ต้องสังเกตในขณะนับการหายใจ มีดังต่อไปนี้
3)จังหวะของการหายใจ
(1)Cheyne stokesเป็นการหายใจเป็นช่วงๆไม่สม่ําเสมอ โดยจะเพิ่มอัตราการหายใจหายใจเร็วลึกและตามด้วยช่วงที่หยุดหายใจ แล้วกลับมาหายใจเร็วอีก
(2)Biotเป็นการหายใจปกติสลับกับการหายใจเร็วลึก ไม่สม่ําเสมอเป็นช่วงสั้นๆ 2-3ครั้ง แล้วตามด้วยหยุดหายใจช่วงสั้นๆ อีก
4)ลักษณะของการหายใจปกติ
(3)Paroxysmal nocturnal dyspneaเป็นอาการหายใจลําบากในตอนกลางคืน เกิดอาการหายใจหอบรุนแรงจนต้องลุกนั่งหายใจเข้าลึกๆอาการจึงทุเลาลงสาเหตุจากภาวะหัวใจล้มเหลว
(4)Paroxysmal dyspneaเป็นอาการหอบอย่างรุนแรง ต้องลุกนั่ง ไอมีเสมหะลักษณะเป็นฟองละเอียดออกมา กระวนกระวาย หายใจมีเสียงดังทั้งหายใจเข้าและออก มักมีสาเหตุมาจากภาวะน้ําท่วมปอดเฉียบพลัน
(2)Orthopnea เป็นอาการหายใจลําบากในท่านอนราบจะหายใจได้ต้องลุกขึ้นนั่งหรือยืนเท่านั้น
(5)Air hunger เป็นการพยายามหายใจโดยใช้ทั้งทางจมูก และปากอย่างรุนแรง พบในผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต
(1)Dyspneaเป็นอาการหายใจลําบาก การหายใจต้องใช้แรงมากกว่าปกติ สังเกตการเคลื่อนไหวของทรวงอก การหดรัดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณคอ
2)ความลึกของการหายใจ
(1)Hypoventilationเป็นการหายใจช้าและตื้น
(2)Hyperventilationเป็นการหายใจเร็วและลึก
5)ลักษณะเสียงหายใจที่ผิดปกติ
(1)Stridor เสียงฟืด เป็นเสียงที่ได้ยินขณะหายใจเข้า เนื่องจากมีการอุดกั้นในหลอดลมใหญ่ หรือกล่องเสียง
(2)Wheezeเป็นเสียงวี๊ดได้ยินขณะหายใจออก พบในผู้ป่วยที่มีหลอดลมตีบแคบ
1)อัตราเร็วของการหายใจ
(2)Bradypneaอัตราการหายใจในผู้ใหญ่ น้อยกว่า 10ครั้ง/นาที
(3)Apneaการหยุดหายใจ
(1)Tachypnea อัตราการหายใจในผู้ใหญ่ มากกว่า 24ครั้ง/นาที
6)สีของผิวหนังที่ผิดปกติได้แก่Cyanosisพบเยื่อบุและผิวหนังมีสีม่วงคล้ํา ซึ่งบ่งชี้ถึงการขาดออกซิเจนเนื่องจากปริมาณออกซิเจนในเลือดลดลง