Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่3 เภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamics) - Coggle Diagram
บทที่3 เภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamics)
หมายถึง การออกฤทธิ์ของยาต่อร่างกาย (what drug does to the body) หรือการที่ยามีผลต่อร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งผลทางด้านชีวเคมี และสรีรวิทยาของยา กลไกที่ทำให้เกิดผลทั้งด้านที่พึงประสงค์คือฤทธิ์ในการรักษา และผลที่ไม่พึงประสงค์คืออาการข้างเคียงและพิษของยา
การจับของยาเข้ากับโมเลกุลของร่างกายที่ทําหน้าที่เป็นตัวรับ (drug target) รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างขนาดยาที่ใช้กับการตอบสนองที่เกิดขึ้นในร่างกาย (dose-response relationship)
กลไกการออกฤทธิ์ (Mechanism of drug action)
คือกระบวนการออกฤทธิ์ของยาที่มีผลต่อร่างกาย ทำให้เกิดฤทธิ์ของยานั้นๆ (Phamacologc effecy
ยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะแบ่งตามตำแหน่งที่ไปออกฤทธิ์เป็น 2 ชนิดคือ
1) ยาที่มีตำแหน่งออกฤทธิ์ที่ไม่จำเพาะเจาะจง (non-sperifcally acting drus) ยาเหล่านี้ไม่ได้ออกฤทธิ์บน receptors หรือ enzme ต่างๆในร่างกาย ตัวอย่างเช่น ยาสลบ, antiseptic ทุกชนิด(alcohol,tincture iodine), osmotic laxative
(เช่น lactulose), bulk laxative (เช่น methylcellulose), antacid เป็นต้น
2) ยาที่มีตำแหน่งออกฤทธิ์ที่เฉพาะเจาะจง (specifically acting dugs) ยาส่วนใหญ่มากกว่า 90% จะมีตำแหน่งออกฤทธิ์ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งตำแหน่งที่ออกฤทธิ์ของยาในร่างกายที่สำคัญมีดังนี้
Receptors
lon channels
Enzymes
Carrier molecules (transport molecules)
การออกฤทธิ์ผ่านตัวรับ (Receptor-mediatedaction)
Receptor คือ โมเลกุลหรือโครงสร้างที่ทำหน้าที่ จับกับยาหรือฮอร์โมนแล้วก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของเซลล์หรือเอนไซม์ receptor ส่วนใหญ่มีคุณสมบัติเป็นพวกโปรตีน
ลักษณะของตัวรับ
receptor for transmitter ex. Neurotransmitter, hormone, autacoid, chemokine => PHYSIOLOGICAL RECEPTOR
enzyme ex. HMGCoA Reductase => Statin drug
transport protein ex. Na+/K+ ATPase-digitalis
Specific ต่อสารสื่อหรือยาที่มีโครงสร้างเฉพาะ
มี Affinity ต่อสารสื่อหรือต่อยาสูง
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างยากับตัวรับมัก เป็น weak bondex.Hydrogen bond, Van der Wall’s force, hydrophobic interaction, Ionic bond
Agonist ชุดหนึ่ง เมื่อกระตุ้นเนื้อเยื่อหลายชนิด มีลำดับความแรงของสารแต่ละตัวต่างกัน---> “Receptor subtype”
ความแตกต่างของ non-specifically acting drugs และ specifically acting drugs
ความแรง (potency) หรือ biological specificity : ยาในกลุ่ม non-specifically acting drugs จะมีความแรงน้อยกว่า specifically acting drugs ที่มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาใกล้เคียงกัน
ตัวอย่างเช่น diazepam (benzodiazepine) เทียบกับ ethanol ซึ่งเป็น non-specifically acting drugs ยาทั้งสองตัวมีฤทธิ์ทำให้ง่วง โดยที่ขนาดยาของ diazepam เป็นเพียง 2-5 mg ในขณะที่ ethanol ต้องใช้ขนาดยาสูงมากกว่าหลายเท่าจึงจะทำให้ง่วงได้
การต้านฤทธิ์โดย antagonist
ยาในกลุ่ม specifically acting drugs โดยเฉพาะกลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อ receptor จะถูกต้านฤทธิ์ได้ด้วยยาที่เป็น antagonist ในขณะที่ non-specifically acting drugs ไม่มี selective antagonist
Chemical specificity:การเปลี่ยนแปลงสูตรโครงสร้างของยาในกลุ่ม specifically acting drugs
ไปเพียงเล็กน้อยจะทำให้ผลทางเภสัชวิทยาเปลี่ยนไปมาก
ปฏิกิริยาต่อกันระหว่างยา (Drug interaction)
มีลักษณะสำคัญ 4 แบบ ได้แก่
1.ปฏิกิริยาต่อกันของยาในลักษณะเพิ่มฤทธิ์ (additive interaction หรือเสริมฤทธิ์ (Synergistic interaction) ปฏิกิริยาในลักษณะนี้มักจะเกิดเมื่อเราใช้ยา 2 ชนิดที่มีฤทธิ์ในทางเภสัชวิทยาเหมือนกันในเวลาเดียวกัน ยกตัวอยางเช่น
-การให้ amitriptyline ซึ่งเป็น tricyclic antidepressant ร่วมกับ barbiturates (เช่น phenobarbital หรือ pentobarbital อาจก่อให้เกิดการกดระบบประสาทส่วนกลางและระบบทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้น
-การใช้ยาต้านจุลชีพกลุ่ม aminoglycosides (gentamicin, amkacin.kanamycin หรือ tobramycin) ร่วมกับ loop diuretics (furosemide) ยาทั้ง 2 กลุ่มนี้มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์คือการก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อระบบการได้ยิน (ototoxicity ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทั้ง 2 กลุ่มรวมกันอาจทำให้อาการพิษดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นได้
2.ปฏิกิริยาต่อกันของยาแบบต้านฤทธิ์กัน (antagonistic interations) ปฏิกิริยาแบบนี้เกิดเมื่อมีการให้ยา 2 ชนิดที่มีการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาแบบตรงกันข้ามรวมกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือฤทธิ์ของยาชนิดหนึ่งจะถูกต้านด้วยฤทธิ์ของยาอีกชนิดหนึ่งยกตัวอย่างเช่น การให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) รวมกับวิตามิน K การออกฤทธิ์ของ anticoagulants ตามปกตินั้นคือการช่วยยืดระยะเวลาการเกิดการแข็งตัวของเลือด เมื่อมีการให้วิตามินเคร่วมด้วย นิดในการต้านการแข็งตัวของเลือดของ anticoagulants จะลดลงทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
3 ปฏิกิริยาต่อกันของยาอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงกลไกในการขนส่งยา ยาบางชนิดอาจถูกขัดขวางกระบวนการในการขนส่งยาตัวอย่างชนิดหนึ่ง ทำให้ยาไม่สามารถไปยังอวัยวะหรือตำแหน่งออกฤทธิ์ที่เป็นเป้าหมาย ส่งผลให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ได้ยกตัวอย่างเช่นการให้ยาลดความดัน (antihypertensive drugs) เช่น guanethidine ร่วมกับ tricyclic antidepressants (amitriptyline,desipramine และ imipramine เป็นต้น) tricyclic antidepressants จะยับยั้งการดึง (uptake) guanethidine เข้าสู่ adrenergic neurons ทำให้ guanethidine ไม่สามารถออกฤทธิ์ในการลดความดันได้
4.ปฏิกิริยาต่อกันของยาอันเนื่องมาจากการรบกวนสมดุลของน้ำและอิเล็กโทรไลต์ อย่างเช่นการให้ furosemide เพิ่งเป็น loop diuretic ร่วมกับ digoxin อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจมีความไวต่อ digoxin เพิ่มมากขึ้นและอาจถึงขั้นเกิดอาการเป็นพิษขึ้นมาได้ เนื่องจาก furosemide ทำให้ระดับ K+ ในพลาสมาลดลงหรือการให้ thiazide diuretics ร่วมกับ lithium thiazide diuretics มีฝนไปลดการกำจัด lithium ออกจากร่างกายส่งผลให้ระดับของ lithium ในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นและอาจถึงระดับที่ก่อให้เกิดความเป็นพิษขึ้นได้จากปฏิกิริยาต่อกันของยาในรูปแบบต่างๆ
อาการไม่พึงประสงค์และพิษของยา (Adverse drug reaction and drug toxicity)
อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (Adverse drug reaction : ADR) หมายถึง การตอบสนองต่อยาที่เป็นอันตรายและเกิดขึ้นโดยมิได้ตั้งใจเมื่อใช้ในขนาดปกติในมนุษย์เพื่อการป้องกัน วินิจฉัย หรือรักษาโรค หรือเปลี่ยนแปลงสรีระวิทยาของร่างกาย
อาการข้างเคียงจากการใช้ยาหรือ Side effect หมายถึง ผลใดๆจากเภสัชภัณฑ์ที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้นเกิดในขนาดการใช้ยาปกติในมนุษย์ ซึ่งสัมพันธ์กับคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของยา
การจำแนกประเภทของ ADR ตามฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของยา
ADR type A เป็นผลจากฤทธิ์เภสัชวิทยาของยาหรือเมตาบอไลท์ของยา สามารถทำนายได้จากฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ไม่มีความจำเพาะในการเกิดกับคนบางกลุ่ม ความรุนแรงของอาการที่เกิดมีความสัมพันธ์กับขนาดยา มีอุบัติการณ์การเกิดสูงแต่มีอัตราการเสียชีวิตน้อย สามารถรักษาได้โดยการลดขนาดยา
ADR type B เป็นปฏิกิริยาตอบสนองเฉพาะสำหรับบางคน จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีความไวต่อยานั้น ผลที่เกิดขึ้นไม่สัมพันธ์กับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาตามปกติของยา ไม่สามารถทำนายอาการที่เกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาได้ ความรุนแรงของอาการที่เกิดไม่สัมพันธ์กับขนาดยา มีอุบัติการณ์การเกิดต่ำแต่ทำให้เสียชีวิตได้สูง การรักษาทำโดยการหยุดใช้ยา
พิษของยา (Toxic Effect)
เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับที่รุนแรงจนถึงขั้นเป็นพิษเป็นผลของยาที่ใช้ถ้ายังเพิ่มขนาดใช้ยา อาการพิษก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนอวัยวะนั้น ๆ พิการหรือเสื่อมสภาพไป หรือการใช้ยาในระยะเวลานานติดต่อกัน แม้จะใช้ในขนาดปกติ ก็เกิดเป็นพิษได้ เนื่องจากพิษของยาเอง เช่น คลอแรมเฟนิคอล สเตียรอยด์ แอสไพริน ถ้าใช้นาน ๆ หรือขนาดสูง ๆ โรคโลหิตจางและโรคติดเชื้อได้ง่าย ๆ พิษของยาอื่น ๆ อาจมีผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ ระบบไหลเวียนของโลหิต นอกจากนี้ยาบางชนิดซึ่งมารดาใช้ขณะตั้งครรภ์ จะมีผลต่อเด็กในครรภ์ขั้นรุนแรงได้