Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หลักการดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพ ตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ - Coggle…
หลักการดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพ
ตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์
หลักข้อเชื่อของคริสเตียน
บัญญัติ 10 ประการ
7.ห้ามล่วงประเวณีสามีภรรยาของเขา
8.ห้ามลักขโมย
6.ห้ามฆ่าคน
9.ห้ามเป็นพยานเท็จและห้ามใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
5.จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า
10.ห้ามโลภในของของผู้อื่น
4.จงถือวันสะบาโต (วันเข้าโบสถ์หรือหมายถึงวันอาทิตย์ หรือวันเสาร์) เป็นวันบริสุทธิ์
3.ห้ามใช้พระนามของพระยาห์เวห์ไปใช้ในทางที่ผิด
2.อย่าทำรูปเคารพและอย่าเคารพรูปเคารพ
1.อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา คือ พระยาห์เวห์
TORAH
2.อพยพ
3.เลวีนืติ
1.ปฐมกาล
4.กานดาวิถี
5.เฉลยธรรมบัญญัติ
สามพระภาคของพระเจ้า (Holy Trinity)
พระเยซูคริสต์คือพระบุตรที่เสด็จลงมาเกิดเป็นมนุษย์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับผู้เชื่อทุกคน
พระบิดาเป็นพระผู้สร้างทุกสิ่ง
พระคัมภีร์ (holy Bible)
พันธสัญญาเดิม (Old Testament) = 39 เล่ม
พันธสัญญาใหม่ (New Testament) = 27 เล่ม
หลักการดำเนินชีวิต คำสอนหลักของพระเยซูคริสตร์
‘ จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ’ มัทธิว 22:37-39
พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์
“เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” มัทธิว 28:19-20
เราคืออวัยวะของพระกายของพระคริสต์
เพราะว่าเราเป็นอวัยวะของพระกายของพระองค์ เอเฟซัส 5:30 (THSV11)
เพราะว่าร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว แต่ด้วยหลายอวัยวะ1 โครินธ์ 12:14 (THSV11)
แต่พระเจ้าทรงตั้งอวัยวะแต่ละอวัยวะไว้ในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์ 1 โครินธ์ 12:18 (THSV11)
ถ้าอวัยวะหนึ่งทุกข์ อวัยวะทั้งหมดก็ร่วมทุกข์ด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็ร่วมชื่นชมยินดีด้วย 1 โครินธ์ 12:26 (THSV11)
เราต้องดูแลร่างกายของเรา
อวัยวะของร่างกายที่เราคิดว่าไร้เกียรติ เราก็ยังทำให้มีเกียรติยิ่งขึ้น และอวัยวะที่ควรปกปิด เราก็ทำด้วยความสุภาพเป็นพิเศษ 1 โครินธ์ 12:23 (THSV11)
ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขความเจริญทุกอย่าง ดังที่จิตวิญญาณของท่านกำลังเจริญอยู่นั้น 3 ยอห์น 1:2 (THSV11)
พระเจ้าผู้ทำให้เกิดโรคร้าย
พระยาห์เวห์จะทรงเฆี่ยนตีท่านด้วยฝีอียิปต์ ด้วยแผลร้าย ด้วยโรคกลาก และด้วยโรคคัน ซึ่งจะรักษาไม่ได้ เฉลยธรรมบัญญัติ 28:27 (THSV11)
ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระยาห์เวห์ทรงทำให้ลำไส้ของเยโฮรัมเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ 2 พงศาวดาร 21:18 (THSV11)
พระเจ้าผู้ดูแลรักษา
เพราะเราจะคืนสุขภาพดีแก่เจ้า และเราจะรักษาบาดแผลของเจ้าให้หาย” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ เยเรมีย์ 30:17 (THSV11)
เพราะว่าพระองค์ทรงรักษาคนมากมายให้หายโรค จนบรรดาคนที่เป็นโรคต่างๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อสัมผัสพระองค์ มาระโก 3:10 (THSV11)
ผู้ทรงอภัยความชั่วทั้งสิ้นของเจ้า ผู้ทรงรักษาโรคทั้งสิ้นของเจ้า สดุดี 103:3 (THSV11)
แต่กิตติศัพท์ของพระองค์ยิ่งเลื่องลือไป และมหาชนมาชุมนุมกันเพื่อจะฟังพระองค์และรับการรักษาโรคต่างๆ ลูกา 5:15 (THSV11)
ในเวลานั้น พระเยซูทรงรักษาคนจำนวนมากให้หายจากโรคภัยต่างๆ และพ้นจากพวกวิญญาณชั่ว และทรงรักษาคนตาบอดหลายคนให้เห็นได้ ลูกา 7:21 (THSV11)
เพราะฉะนั้นท่านจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รับการรักษาโรค คำวิงวอนของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังมากและเกิดผล ยากอบ 5:16 (THSV11)
พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มา แล้วประทานสิทธิอำนาจให้พวกเขาขับผีโสโครกออกได้ และทรงให้รักษาโรคและความเจ็บป่วยทุกอย่างให้หายได้ มัทธิว 10:1 (THSV11)
พร้อมกับผู้หญิงบางคนที่ได้รับการรักษาให้พ้นจากวิญญาณชั่วและโรคภัยต่างๆ ได้แก่มารีย์ที่เรียกกันว่าชาวมักดาลา คนที่มีผีเจ็ดตนออกจากตัว ลูกา 8:2 (THSV11)
หลักการดูแลสุขภาพตามความเชื่อของศาสนาคริสต์
“ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่า ร่างกายของพวกท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ผู้ซึ่งพวกท่านได้รับจากพระเจ้า และท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง” ( 1 โครินธ์ 6:19)
พันธสัญญาเดิม เลวีนิติ บทที่ 13 กฎหมายเรื่องโรคเรื้อน
18“ถ้าร่างกายของคนใดมีแผลฝีซึ่งหายแล้ว 19ถ้าที่แผลเป็นนั้นบวมขึ้นมามีสีขาวหรือมีรอยสีแดงเรื่อๆ ปรากฏ ก็ให้ผู้นั้นไปแสดงตัวต่อปุโรหิต
45“ให้บุคคลที่เป็นโรคเรื้อนสวมเสื้อผ้าที่ขาด ให้ปล่อยผม และให้เขาปิดริมฝีปากบนไว้แล้วร้องว่า ‘มลทิน มลทิน’ 46เขาจะเป็นมลทินอยู่ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรค เขาเป็นมลทิน เขาจะต้องอยู่แต่ลำพังภายนอกค่าย
1พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 2“ถ้าผู้ใดเกิดอาการบวมหรือผื่นหรือด่างขึ้นที่ผิวหนัง แล้วผิวหนังของเขามีอาการของโรคเรื้อน ก็ให้พาผู้นั้นมาหาอาโรนผู้เป็นปุโรหิต
พันธสัญญาเดิม เลวีนิติ บทที่ 17 ห้ามการรับประมานเลือด
เราได้ให้เลือดแก่เจ้าทั้งหลายเพื่อใช้บนแท่นบูชา เพื่อจะลบมลทินของเจ้าทั้งหลาย เพราะว่าโลหิตเป็นสิ่งที่ใช้ลบมลทินฮบ.9:22 เพราะชีวิตเป็นเหตุ
2เพราะฉะนั้นเราจึงได้พูดกับคนอิสราเอลว่า ห้ามคนใดในพวกเจ้ารับประทานเลือด หรือคนต่างด้าวผู้อาศัยท่ามกลางเจ้าก็ห้ามรับประทานเลือด 13เมื่อคนอิสราเอลคนใดหรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา ไปล่าสัตว์หรือนกเพื่อนำมารับประทานก็ให้หลั่งเลือดของมันออก แล้วเอาดินกลบ
10“ถ้าคนอิสราเอลหรือคนต่างด้าวคนใดผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้ารับประทานเลือด เราจะตั้งหน้าต่อสู้บุคคลผู้รับประทานเลือดนั้น และจะไล่เขาออกจากชนชาติของตนปฐก.9:4; ลนต.7:26-27; 19:26; ฉธบ.12:16,23; 15:23 11เพราะว่าชีวิตของสัตว์ทุกตัวอยู่ในเลือด
ภัยพิบัติ 10 ประการ
5. ภัยพิบัติที่เกิดกับฝูงสัตว์ (Plague of livestock)
ต่อมาก็คือโรคระบาดร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับฝูงสัตว์ในดินแดนอียิปต์ ไม่ว่าจะเป็นม้า ลา อุฐ แพะ วัว แกะ ฯลฯ พากันตายจนหมดสิ้น
6. ภัยพิบัติจากฝี (Plague of boils)
ภัยพิบัติที่ 6 นี้ที่ใกล้เคียงกับโรคระบาดที่มนุษย์โลกในยุคต่อมาต้องเผชิญ แต่อาศัยเวลานานมากกว่าจะมีการผลิตวัคซีนขึ้นมาได้สำเร็จ นั่นคือโรคฝีนั่นเอง สมัยก่อนที่การแพทย์ยังไม่ดีเท่าปัจจุบัน โรคฝีนี้ใครเป็นแล้วมีอัตราเสียชีวิตสูงมากหากเป็นฝีลามจนแตกไปทั้งตัว
4. ภัยพิบัติจากเหลือบ (Plague of flies)
เหลือบนั้นเป็นแมลงดูดเลือดชนิดหนึ่ง ตัวเท่าแมลงวัน และที่สำคัญยังกัดเจ็บกว่ายุงมาก และเป็นพาหะนำโรคมาสู่สัตว์ และมนุษย์อีกด้วย
7. ภัยพิบัติจากลูกเห็บ (Plague of hail)
ลูกเห็บจากฟากฟ้าที่ตกลงมาอย่างหนาแน่น ปกคลุมทั่วน่านฟ้าอียิปต์จนมืดฟ้ามัวดิน ทำลายพืชผลเสียหายจนหมด
3. ภัยพิบัติจากริ้น (Plague of lice or gnats)
ภัยพิบัติที่สามนี้ แม้จะฟังดูเล็กๆ แต่ถ้าพวกแมลงตัวเล็กเท่าฝุ่นเหล่านี้ออกมาเป็นจำนวนมาก ผู้คนก็ถึงขั้นหลับไม่ลงกันเลยทีเดียว เพราะไรฝุ่นนั้นนอกจากจะทำให้เกิดอาการภูมิแพ้แล้ว ยังก่อให้เกิดโรคผิวหนังด้วย
8. ภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน (Plague of locust)
ถ้าหากลูกเห็บยังทำลายพืชผลไม่หมด ฝูงตั๊กแตนก็จะลงมาช่วยซ้ำเอง ซึ่งฝูงตั๊กแตนนี้เป็นที่รู้กันดีว่าถ้ามันมาเมื่อไหร่ให้ทำใจได้เลย เพราะมันบินมากันทีเป็นล้านตัว ดูเหมือนเมฆหมอกกลุ่มใหญ่ เคลื่อนที่ได้วันละ 150 กิโลเมตรต่อวัน เป็นอีกหนึ่งภัยร้ายแรงที่ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
2. ภัยพิบัติจากกบ (Plague of frogs)
หลังภัยพิบัติแรกผ่านไป 7 วัน องค์ฟาโรห์ยังไม่ยอมแพ้ พระเจ้าจึงบันดาลภัยต่อมา พาฝูงกบขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์จนหนาแน่นทั่วแผ่นดิน และเข้าไปถึงในทุกพื้นที่ ตั้งแต่บ้านเรือนถึงพระราชวัง เกิดความเดือดร้อนกันไปทั่ว
9. ภัยพิบัติจากความมืด (Plague of darkness)
พระเจ้าทรงบันดาลให้ท้องฟ้าเหนือแผ่นดินอียิปต์ตกอยู่ในความมืดมิดไป 3 วัน ชาวเมืองออกไปไหน ทำอะไรแทบไม่ได้เลย กิจกรรมทุกอย่างต้องหยุดลงทั้งหมด
1. ภัยพิบัติจากโลหิต (Water turned to blood)
ภัยพิบัติแรกคือปรากฏการณ์ที่แม่น้ำไนล์กลายเป็นสีเลือด ปลาในแม่น้ำลอยขึ้นมาตายจนหมด น้ำนั้นก็ไม่สามารถใช้ดื่มกินได้เลย
10. มรณกรรมของบุตรหัวปี (Plague of the firstborn)
และภัยพิบัติสุดท้ายก็คือ การพรากชีวิตของบุตรคนโตของชาวอียิปต์ทุกคนไปจนหมดแผ่นดิน ซึ่งนั่นก็รมถึงพระโอรสของฟาโรห์ด้วย พระองค์ถึงทรงยอมปล่อยทาสชาวอิสราเอลให้เป็นอิสระไป
นิกายต่างๆ
5.กายเมธอดิสต์ (Methodism)
เกิดขึ้นโดยจอห์น เวสลีย์ (John Wesley : ค.ศ. 1703 - 1791) เป็นชาวอังกฤษที่มีจุดประสงค์ต้องการให้ผู้นับถือพระเจ้ามีอิสระภาพมากขึ้น สามารถปฏิบัติศาสนาไปตามหลักของเหตุผลให้เหมาะแก่ชีวิตของตน
6.นิกายเซเวนเดย์ แอดเวนติสต์ (Seven Day Adventists)
เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของกลุ่มแอดแวนติสต์ นิกายนี้เน้นวันสุดท้ายของโลก และการเสด็จมาของพระคริสต์ในวันพิพากษาโลกเพื่อทำนี้บริสุทธิ์อีกครั้งสมาชิกผู้นับถือมีทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศไทย
4.นิกายเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ (Church of England)
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "แองกลิคัน" (Anglicanism) มีกำเนิดในประเทศอังกฤษ
7.นิกายมอร์มอน (Mormonism)
ในนิวยอร์ค (New York) หลักคำสอนของศาสนาเหมือนคำสอนทั่ว ๆ ไปของศาสนาคริสต์ เพียงแต่เพิ่มความเชื่อในคัมภีร์มอร์มอน (Book of Mormon) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจากมอร์มอน และเชื่อกันว่าคัมภีร์นี้เป็นพระวจนะของพระเจ้าเดิมจารึกในภาษาโบราณ
3.นิกายลูเธอรัน (Lutheran)
ผู้นำคนสำคัญ คือ มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) แก่นแท้ของศาสนาได้ด้วยตนเอง ซึ่งตรงกับจุดประสงค์ของลูเธอร์ที่ต้องการให้บุคคลสามารถ รับผิดชอบในความเชื่อของตน โดยไม่ต้องอาศัยบุคคลที่ 3 เช่น พระหรือนักบวช กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในศาสนาเป็นเพียงสิ่งเปลือกนอกที่ไม่สำคัญเท่ากับการที่บุคคลนั้นได้เผชิญหน้าต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยตนเอง
8.นิกายเยซูอิต(Jesuit)
สำหรับบาทหลวงที่มาประจำในประเทศส่วนใหญ่จะเป็นชาวโปรตุเกส ในช่วงแรกศาสนาคริสต์ถูกกีดกันเป็นอย่างมากด้วยเหตุผลหลายๆประการ มิชชันนารีในสมัยนั้นจึงนิยมเผยแผ่ศาสนาและปฏิบัติศาสนกิจต่างๆให้เฉพาะกับ คนชาติเดียวกันเท่านั่น
2.นิกายกรีกออร์ธอดอกซ์ (Greek Orthodox)
ไม่มีศูนย์กลางอำนาจในที่ใดโดยเฉพาะ เพราะให้ความสำคัญต่อประมุขนิกายซึ่งอยู่ในประเทศต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน โดยเรียกชื่อประมุขเหมือนกันหมดว่า ปาตริอาร์ค (Patriarch) หรือ อาร์คบิชอบ (Archbishop)
9.นิกายเชิร์ชออฟสกอตแลนด์ (Church of Scotland)
เป็นแขนของนิกายโรมันคาทอลิกตัดออกจากโบสถ์แม่โดยความต้องการของกษัตริย์ สิ่งนี้ทำให้เกิดความคลุมเครือของหลักคำสอนในระดับหนึ่ง
1.คริสตจักรโรมันคาทอลิก (Roman Catholic Church)
เป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีศาสนิกชนกว่า 1.3 พันล้านคน
10.นิกายแองกลิคัน( Anglicanism)
คือคำที่กล่าวถึงความเชื่อหรือการปฏิบัติของนิกายศาสนาคริสต์ที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับ หรือ มีการปฏิบัติที่คล้ายคลึงกับคริสตจักรแห่งอังกฤษ