Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมสุขอนามัยและการพักผ่อนนอนหลับ - Coggle Diagram
การส่งเสริมสุขอนามัยและการพักผ่อนนอนหลับ
การส่งเสริมสุขอนามัย
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสุขอนามัยส่วนบุคคล
อาชีพ
บุคคลที่มีอาชีพเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจะมีความรู้ ความเข้าใจและให้ความสำคัญของการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลต่อการดาเนินชีวิตประจำวัน จึงให้ความใส่ใจต่อการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลได้เป็นอย่างดี
ถิ่นที่อยู่
การดำเนินชีวิตภายใต้ถิ่นที่อยู่ที่แตกต่างกันจะมีการใช้ชีวิตและมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน
ส่งผลให้การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลมีความแตกต่างกันอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน
เศรษฐกิจ
บุคคลที่มีฐานะดี ย่อมมีโอกาสเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บารุงผิว ผม ปาก ฟัน และให้เวลากับดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลมากขึ้น
หากเศรษฐกิจไม่พอเพียง ผู้ป่วยอาจต้องทางานเพื่อหารายได้จนไม่มีเวลาดูแลตนเอง
ภาวะเจ็บป่วย
อาจส่งผลในการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลลดลง จึงต้องการการดูแลทดแทนจากผู้อื่น
การศึกษา
ความรู้เพียงอย่างเดียวยังไม่พอเพียง ผู้ป่วยต้องมีแรงจูงใจที่จะดูแลตนเอง เรียนรู้เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ และสามารถดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดีขึ้นได้
บุคคลที่มีการศึกษา มักจะศึกษาค้นคว้า และมีความรู้ในการดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งแวดล้อม ทราบประโยชน์ และโทษของการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
สิ่งแวดล้อม
บุคคลที่อาศัยอยู่ในที่อากาศร้อนก็จะอาบน้ำหรือลูบตัวบ่อยครั้ง
อากาศร้อนทำให้คนเรามีเหงื่อไคลและกลิ่นตัวที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เรื่องสุขอนามัยเพิ่มมากขึ้น
ภาวะสุขภาพ
การเจ็บป่วยที่รุนแรงหรือเรื้อรัง หรือเจ็บปวดหรือมีการเจ็บป่วยทางสุขภาพจิต ทาให้ขาดความสนใจ หรือละเลยการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล หรืออาจมีปัญหาสุขภาพร่างกายอ่อนเพลีย ระบบประสาทกล้ามเนื้อทางานได้ไม่ดี ทำให้การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลลดลงหรือไม่ได้ปกติ
ขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อ
ตัวอย่าง
หลังคลอดบุตรห้ามสระ หรือตัดผม
ห้ามสระผมขณะมีไข้ เพราะจะทาให้เจ็บปุวยมากขึ้น
เป็นผลต่อการดูแลตนเองเกี่ยวกับสุขอนามัยส่วนบุคคล
เพศ
ความแตกต่างของเพศจะมีความต้องการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน
ตัวอย่าง
เพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ และไวต่อความรู้สึกกว่าเพศชายความต้องการการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล อาจต้องการความนุ่มนวล ละเอียดอ่อน และมีความเกรงใจผู้อื่นที่มากกว่า
ความชอบ
ความชอบของแต่ละบุคคล อาจไม่เหมือนกัน
เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคลที่ได้รับการฝึกอบรมด้านการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลมาจากครอบครัว โรงเรียน และปลูกฝังจนเป็นอุปนิสัยในการดูแลตนเองด้านความสะอาดร่างกายความสะอาดร่างกาย
อายุ
ความแตกต่างของอายุจะมีความต้องการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน
ตัวอย่าง
เด็กเล็กไม่สามารถดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลได้ด้วยตนเองผู้ปกครองต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
ผู้สูงอายุที่ความสามารถในการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลลดลงผู้ดูแลต้องให้การดูแลทดแทนแบบพึ่งพา
อายุเป็นตัวกาหนดกายวิภาคและสรีระของร่างกายแต่ละคนพยาบาลจึงควรคานึงถึงในการให้การพยาบาลด้วย
ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
บุคคลที่รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า จะสนในตนเองและสิ่งแวดล้อม ดูแลรักษาความสะอาดครบถ้วนตามสุขบัญญัติ 10 ประการ
บุคคลที่รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า มักไม่ค่อยใส่ใจให้เวลาในการดูแลความสะอาดของร่างกาย และสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร
การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
การพยาบาลในช่วงเวลาต่าง ๆ
ตอนบ่ายหรือตอนเย็น (Afternoon care/ P.M care)
หากทำในช่วงเวลาตอนเย็น จะเป็นหน้าที่ของเวรบ่าย
ดูแลทำความสะอาดปากและฟัน การล้างมือ ล้างหน้า หวีผม สระผม การให้บริการหม้อนอน หรือกระบอกปัสสาวะ ตลอดจนการรักษาพยาบาลอื่น ที่มีในเวรบ่าย
เป็นหน้าที่ของพยาบาลเวรเช้า หากทากิจกรรมภายในช่วงก่อนเวลา 16.00 น.
ตอนก่อนนอน (Evening care/ HS care)
ให้การดูแลเรื่องการให้หม้อนอนหรือกระบอกปัสสาวะ การล้างมือ ล้างหน้าทำความสะอาดปากฟัน การนวดหลัง การจัดท่าให้ผู้ปุวยได้พักผ่อนอย่างสุขสบาย เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและเตรียมตัวเข้านอน ช่วยให้พักผ่อนนอนหลับได้ดีขึ้น
เป็นหน้าที่ของพยาบาลเวรบ่าย
ตอนเช้า (Morning care/ A.M care)
ให้การพยาบาลภายหลังผู้ปุวยรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย
เพื่อดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลประจาวัน
เป็นหน้าที่ของพยาบาลเวรเช้า
เมื่อผู้ป่วยต้องการ (As-needed/ prn care)
ตัวอย่าง
ถ้าผู้ปุวยปัสสาวะรดที่นอนเปียกทั้งตัว พยาบาลจะช่วยเช็ดตัว ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก การเปลี่ยนเสื้อผ้าผ้าปูที่นอนให้ผู้ป่วย
พยาบาลให้การพยาบาลตามความต้องการของผู้ปุวยตลอด 24 ชั่วโมง
ตอนเช้าตรู่ (Early morning care)
เมื่อผู้ป่วยตื่นนอนแล้วพยาบาลจะดูแลผู้ป่วย ช่วยเหลือเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ การให้กระบอกปัสสาวะ หรือหม้อนอน การทาความสะอาดร่างกาย
เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของพยาบาลเวรดึก
เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสดชื่นในช่วงเช้า และพร้อมที่จะพบปะกับบุคคลอื่น พร้อมที่จะรับประทานอาหารเช้า
ความสำคัญของการส่งเสริมสุขอนามัย
เมื่อบุคคลอยู่ในภาวะเจ็บป่วย จะไม่มีความสุขทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ พยาบาลจะเป็นผู้ให้การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความสุขสบายแก่บุคคลเมื่ออยู่ในภาวะเจ็บป่วยนั้น
การดูแลสุขอนามัยเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และเป็นสิ่งที่พยาบาลควรตระหนักถึง
การทำความสะอาดร่างกายตนเองเป็นพฤติกรรมสุขภาพขั้นพื้นฐานที่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่ทุกๆวัน เพื่อสร้างความมั่นใจ ในการอยู่รวมกับสังคมได้อย่างมีความสุข
ความสุขสบายทั้งทางร่างกาย และจิตใจจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีความสุขกายสุขใจ สามารถอดทน เผชิญต่อความเจ็บป่วยได้
พยาบาลใช้บทบาทอิสระในการดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคลของผู้ปุวยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้กระบวนการพยาบาลเป็นเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการพยาบาล
พยาบาลจึงจาเป็นต้องรู้และเข้าใจถึงหลักการและเทคนิคปฏิบัติการพยาบาล เพื่อช่วยขจัดสิ่งที่ทาให้ผู้ป่วยไม่สุขสบาย ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเกิดความสุขสบายทั้งร่างกายและจิตใจ มีคุณภาพที่ดีและมีความสุข
การดูแลความสะอาดร่างกาย
การดูแลความสะอาดของตา
จุดประสงค์
ความสุขสบายของผู้ป่วย
ส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้ป่วย
กำจัดขี้ตา ทำให้ดวงตาสะอาด
เครื่องใช้
ถาดใส่อับสาลีชุบ 0.9% NSS และชามรูปไต
ถุงมือสะอาด และ mask
การทำความสะอาดตา
ผู้ป่วยบางรายอาจมีขี้ตามากกว่าปกติ ขี้ตาอาจแห้งติดหนังตาหรือขนตา ซึ่งจำเป็นต้องกำจัดออก ไปวันละ 2-3 ครั้ง
วิธีปฏิบัติ
ใช้สำลีชุบ 0.9% NSS พอหมาด เช็ดจากหัวตาไปหางตา
พลิกตัวผู้ป่วยตะแคงด้านตรงข้าม และทำความสะอาดตาอีกข้างหนึ่งด้วยวิธีเดียวกัน
ใส่ถุงมือสะอาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
สังเกตลักษณะและจำนวนของขี้ตา รวมทั้งสภาพของตาว่าบวม แดง หรือไม่ เพื่อประเมินสภาพของตา ถ้าพบสิ่งผิดปกติจะได้แก้ไขต่อไป
จัดให้ผู้ป่วยนอนนอนตะแคงด้านที่ต้องการทาความสะอาด เพื่อป้องกันมิให้น้ำยาและสิ่งสกปรกจากตาข้างที่ต้องการทำความสะอาดไปปนเปื้อนตาอีกข้างหนึ่ง
เก็บของใช้ทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย สำลีทิ้งลงถังขยะติดเชื้อ
ยกของใช้ไปที่เตียงผู้ป่วย จัดวางให้สะดวกในการใช้
ลงบันทึกทางการพยาบาล
แนะนำตัวและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบ
การดูแลทำความสะอาดของหู
เครื่องใช้
0.9% NSS หรือน้ำสะอาด
สำลีสะอาด หรือไม้พันสำลี 4 อัน
ผ้าสะอาด
ชามรูปไต
กระดาษเช็ดปาก
วิธีปฏิบัติ
จัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่านอนหงาย เอียงศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อจัดท่าที่เหมาะสม
สวมถุงมือ และ mask
ยกเครื่องใช้ไปที่เตียงของผู้ป่วยจัดวางให้สะดวกในการใช้
ใช้สำลีชุบ 0.9% NSS หรือน้ำสะอาด เช็ดทำความสะอาดในช่องหู ใบหู และหลังใบหู แล้วเช็ดด้วยผ้าสะอาดจนแห้ง
แนะนำตัวและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบวัตถุประสงค์
เก็บของใช้ไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
ลงบันทึกทางการพยาบาล
จุดประสงค์
กำจัดสิ่งสกปรกภายในช่องหู
ทำความสะอาดใบหูและหลังใบหู
การดูแลความสะอาดของเล็บ
เครื่องใช้
อ่างใส่น้ำอุ่น
ถุงมือสะอาด และmask
ถาดใส่สบู่ ผ้าถูตัว ผ้าเช็ดตัว กรรไกรตัดเล็บ ตะไบเล็บ กระดาษรอง
วิธีการปฏิบัติ
ยกอ่างน้ำออก เช็ดมือหรือเท้าให้แห้ง
ปูกระดาษรอง ตัดเล็บให้ปลายเล็บตรงและข้างไม่โค้งไม่ตามซอกเล็บ
ปลายเล็บควรปล่อยให้ยาวกว่าปลายนิ้ว
ใช้ผ้าเช็ดตัวถูสบู่พอกขัดตามซอกเล็บ ง่ามนิ้ว ถ้าเล็บสกปรกมากอาจใช้ปลายตะไบแคะสิ่งสกปรกออก
ใช้ตะไบถูเล็บให้ขอบเล็บเรียบ เพื่อป้องกันผิวหนังเกิดแผลถลอกจากการขีด
ข่วนของเล็บ
คลี่ผ้าเช็ดตัวรองอ่างน้า แช่มือ หรือเท้าสักครู่ เพื่อให้เล็บและขี้เล็บอ่อนตัว ช่วยให้ตัดเล็บและแคะสิ่งสกปรกที่เล็บออกได้ง่ายขึ้น
เปลี่ยนน้ำ ล้างมือหรือล้างเท้าอีกครั้งหนึ่ง เช็ดให้แห้ง
ยกเครื่องใช้ไปที่เตียงผู้ปุวย จัดวางให้เรียบร้อยเพื่อสะดวกในการใช้
เก็บของใช้ไปทาความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เก็บเศษเล็บทิ้งในถังขยะติดเชื้อ กรรไกรตัดเล็บและตะไบเล็บ ทำความสะอาดด้วยสำลีชุบ แอลกอฮอล์70%
แนะนาตัวและอธิบายให้ผู้ปุวยทราบวัตถุประสงค์
ลงบันทึกทางการพยาบาล
จุดประสงค์
ป้องกันการเกิดเล็บขบ
ให้เล็บสะอาด และสุขสบาย
การดูแลความสะอาดปากและฟัน
หลักการ
ผู้ป่วยที่มีปัญหาในช่องปาก มีแผล ปากแห้ง ไม่สามารถรับประทานอาหาร และน้ำทางปากได้ ต้องทำความสะอาดปากและฟันให้ทุก 2 ชั่วโมง
ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว พยาบาลต้องทำความสะอาดปากและฟันให้เป็นพิเศษ สาลี ที่ใช้เช็ดทำความสะอาดต้องเปลี่ยนบ่อยๆ
แปรงฟันทุกซี่ ทุกด้าน นาน 5 นาที เพื่อขจัดคราบหินปูน และเศษอาหารในเวลาเช้า หลังอาหารทุกมื้อและก่อนนอน
วิธีการทำความสะอาดปากและฟันผู้ป่วยที่ช่วยตนเองได้
ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าศีรษะสูง หรือท่านั่ง เพื่อความสะดวกของผู้ป่วย
ล้างมือและสวมถุงมือ เพื่อป้องกันจุลินทรีย์ จากน้ำในช่องปากผู้ป่วยสู่พยาบาล
นำเครื่องใช้ไปที่เตียงผู้ป่วย เพื่อประหยัดเวลาและแรงงาน
ปูผ้ากันเปื้อนใต้คาง วางชามรูปไตใต้คาง ให้ผู้ป่วยช่วยถือไว้ หรือวางบนโต๊ะคร่อมเตียง (over bed) เพื่อป้องกันเสื้อผ้าและที่นอนเปียก
พยาบาลแนะนำตนเอง บอกให้ผู้ป่วยทราบและอธิบายวัตถุประสงค์ และวิธีการทาความสะอาดปากและฟันอย่างง่ายเพื่อความร่วมมือ
ให้บ้วนปากด้วยน้าสะอาด และแปรงฟันตามขั้นตอน
บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด
ควรแปรงลิ้น (ถ้าทำได้) วางแปรงบริเวณกลางลิ้น ลากแปรงมาตามยาวทางปลายลิ้นหลังแปรงฟันแล้ว เพื่อขจัดเศษอาหารและลดจำนวนแบคทีเรียในปาก
วางขนแปรงบนด้านบนของฟันบดเคี้ยว แปรงถูไปมา ทั้งฟันบนและฟันล่าง
ให้บ้วนปากและกลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปาก เพื่อให้ปากสะอาดสดชื่น
ถ้าริมฝีปากแห้ง ให้ทาด้วยวาสลินทาปาก หรือครีมป้องกันปากแห้งแตก เพื่อให้ริมฝีปากนุ่ม ไม่แตก
แปรงฟันล่าง วางขนแปรงที่รอยต่อระหว่างเหงือกและฟัน เอียงแปรงทำมุม 45 องศา บนฟัน 2-3 ซี่ และปัดขนแปลงลงล่าง ผ่านตลอด ตัวฟัน ทำจนครบทุกซี่ทั้งด้านนอกและด้านใน
เก็บของใช้ไปทาความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
ลงบันทึกทางการพยาบาล
แปรงฟันบนด้านนอกและด้านใน วางแปรงหงายขึ้น วางขนแปรงที่รอยต่อระหว่างเหงือกและฟัน เอียงแปรงทามุม 45 องศา บนฟัน 2-3 ซี่ และปัดขนแปลงลงล่าง ผ่านตลอด ตัวฟัน ทาจนครบทุกซี่ทั้งด้านนอกและด้านใน
วัตถุประสงค์
กำจัดกลิ่นปาก ลมหายใจสดชื่น ปูองกันฟันผุ
ลดการอักเสบของเหงือก กระพุ้งแก้ม
ปากและฟันสะอาด มีความชุ่มชื่น
สังเกตฟัน เหงือก กระพุ้งแก้ม ลิ้น มีแผล หรือการติดเชื้อ หรือเลือดออกหรือฝ้าในช่องปาก
การทำความสะอาดปากฟันในผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตนเองได้น้อย
เครื่องใช้
น้ำยาบ้วนปาก เช่น น้ำเกลือ น้ำยาบ้วนปาก (special mouth wash)
แก้วน้ำ
ลูกสูบยางแดง (baby ball หรือ syringe ball)
ไม้พันสำลี
syringe 10 cc
ชามรูปไต
3% hydrogen peroxide
สารหล่อลื่นทาริมฝีปาก เช่น วาสลินทาปาก
ไม้กดลิ้น หรือไม้กดลิ้นพันสำลี
วิธีทำ
ใช้ไม้กดลิ้น พันด้วยผ้าก๊อซเพื่อช่วยอ้าปาก เพื่อความสะดวกในการทำความสะอาดปาก ฟันด้านใน ด้านบดเคี้ยว และลิ้น
ตรวจดูสภาพของเยื่อบุปาก เหงือก ฟัน และลิ้น
ทำความสะอาดเหมือนการแปรงฟันด้านนอก และเหงือกให้ทั่วอย่างถูกวิธี
ทำความสะอาดเหมือนการแปรงฟันด้านใน ด้านบดเคี้ยวให้ทั่ว
ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาบ้วนปาก
สูบฉีดล้างช่องปากให้ทั่ว ดูดน้ำาออกให้หมด หากมีน้ำเหลือค้างอยู่อาจทำให้สำลักได้ ปลดเครื่องถ่างปากออก
ตรวจดูสภาพของปากและฟัน
เช็ดปากให้ผู้ป่วย ถ้าริมฝีปากแห้งทาด้วยวาสลิน
ใช้ลูกสูบยางดูดน้ำฉีดล้างช่องปากและในซอกระหว่างกระพุ้งแก้มและฟันปล่อยให้น้ำไหลลงชามรูปไตที่รองไว้ และใช้เครื่องดูดหรือลูกสูบยางอีกอันหนึ่งช่วยดูดน้ำออก แต่การใช้เครื่องดูดจะดีกว่า เพื่อป้องกันผู้ป่วยสำลักน้ำเข้าปอด
เก็บของใช้ไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
ลงบันทึกทางการพยาบาล
การดูแลความสะอาดของผิวหนัง/ การอาบน้ำ(Bathing)
ผลของการอาบน้ำคือ ร่างกายสะอาด สดชื่น และรู้สึกสุขสบาย
ชนิดการอาบน้ำ
การอาบน้ำที่ห้องน้ำ (Shower)
เป็นการช่วยเหลือพาผู้ป่วยไปทำความสะอาดร่างกายในห้องน้ำ
มักเป็นการอาบโดยใช้ฝักบัว หรือตักน้ำอาบร่างกาย
เมื่อผู้ป่วยสามารถลุกจากเตียงได้ พยาบาลช่วยพยุงเดินไปห้องน้ำช่วยเตรียมของใช้ให้พร้อม เปิดก๊อกน้ำให้ปรับอุณหภูมิที่เหมาะสม จัดที่นั่งในห้องน้ำให้สะดวกต่อการช่วยตนเองในการอาบน้ำบางรายอาจต้องช่วยทำความสะอาดหลังและเท้าให้
พยาบาลต้องประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมของผู้ป่วยก่อนพาไปอาบน้ำที่ห้องน้ำ เพราะผู้ป่วยอาจมีอาการหน้ามืดหรือเป็นลมได้ในห้องน้าได้
พยาบาลต้องระวังผู้ป่วยพลัดตกหกล้มโดยอยู่ใกล้ห้องน้ำ ไม่ควรใส่กลอนประตูห้องน้ำ ควรเรียกผู้ป่วยเป็นครั้งคราว เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยปลอดภัย
ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมของผู้ป่วยอยู่ในระดับ 0
การอาบน้ำผู้ป่วยบนเตียง
ชนิด
เฉพาะบางส่วน (Partial bath)
เป็นการทำความสะอาดร่างกายผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง ไม่สามารถอาบน้ำเช็ดตัวได้ครบทุกส่วน
พยาบาลต้องช่วยเช็ดบางส่วนที่ผู้ป่วยไม่สารถเช็ดเองได้ เช่น บริเวณหลัง โดยอาจใช้การนั่งข้างเตียง หรือบนเตียง
กรณีที่ผู้ป่วย เช่น หลังการผ่าตัดไส้ติ่ง กระดูกขาหักใส่เฝือก มีอาการอ่อนเพลียบ้าง อาจให้ออกซิเจนเป็นครั้งคราวไม่สะดวกเดินไปห้องน้ำเอง มีขวดน้ำเกลือไว้ฉีดยา
ประเมินความสามารถในการทำกิจกรรมของผู้ป่วยอยู่ในระดับ 1-2
ชนิดสมบูรณ์ (Complete bed bath)
กรณีที่ เช่น การผ่าตัดใหญ่วันแรก กระดูกเชิงกรานหัก มีอาการอ่อนเพลียมากเป็นต้น โดยพยาบาลเป็นผู้อาบน้ำให้
การอาบน้ำเช็ดตัวให้ผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทั้งหมด หรือผู้ป่วยที่จำกัดการเคลื่อนไหวบนเตียง ต้องนอนบนเตียง หรือนอนติดเตียง (bed ridden) ในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
ประเมินความสามารถในการทากิจกรรมของผู้ปุวยอยู่ในระดับ 3-4
จุดประสงค์
ประเมินการเคลื่อนไหวของร่างกายและส่งเสริมการออกกำลังกายของข้อต่าง ๆ
สังเกตความผิดปกติของผิวหนัง
ให้ผู้ป่วยรู้สึกสบาย สดชื่นและผ่อนคลาย
กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและป้องกันแผลกดทับ
กำจัดสิ่งสกปรก ที่สะสมบนผิวหนังและส่งเสริมความมั่นใจในตนเอง
เป็นกิจวัตรประจาวันของมนุษย์ เพื่อชาระสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย โดยใช้น้ำเป็นตัวช่วยกิจกรรมที่ทำร่วมกับการอาบน้ำประกอบด้วย การล้างหน้า การแปรงฟัน และการสระผม
การนวดหลัง (back massage)
จุดประสงค์
ป้องกันแผลกดทับ
ให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลดความตึงตัว
กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
กระตุ้นผิวหนังและต่อมเหงื่อให้ทำงานดีขึ้น
สังเกตความผิดปกติของผิวหนังบริเวณหลัง
เครื่องใช้
ครีมหรือโลชั่นทาตัวหรือแปูง
ผ้าห่ม 1 ผืน และผ้าเช็ดตัว 1ผืน
หลักการนวดหลัง
จัดท่าให้ผู้ป่วยสุขสบาย
ไม่นวดบริเวณที่มีการอักเสบ มีแผล กระดูกหัก ผู้ป่วยโรคหัวใจ ภาวะมีไข้ โรคผิวหนัง โรคมะเร็งระยะลุกลามแพร่กระจาย
ไม่นวดแรงเกินไปจนผู้ป่วยเจ็บ
นวดเป็นจังหวะสม่าเสมอ
เลือกใช้แป้งหรือโลชันหรือครีม เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
ใช้เวลานวดประมาณ 5-10 นาที
วิธีปฏิบัติ
จัดท่านอนคว่ำและชิดริมเตียงด้านพยาบาลยืนมีหมอนเล็ก รองใต้หน้าอกศีรษะไปข้างใดข้างหนึ่ง มือเหยียดตรงไปตามลาตัว ถ้านอนคว่ำไม่ได้ให้นอนตะแคง เพื่อให้ผู้ปุวยอยู่ในท่าที่สบายและพยาบาลนวดหลังได้สะดวก
เลื่อนผ้าห่มมาบริเวณก้นกบ ปูผ้าเช็ดตัวทับบนผ้าห่ม ถ้านอนตะแคงให้ปูผ้าเช็ดตัวตามแนวยาวบนหลังผู้ป่วย เพื่อป้องกันผ้าปูที่นอนเปื้อนและไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกอาย
ล้างมือ
ทาแป้งหรือทาครีม หรือโลชั่น (เพียงอย่างเดียว)
นำเครื่องใช้ต่างๆ มาวางที่โต๊ะข้างเตียง กั้นม่านให้มิดชิด
นวดบริเวณหลังเรียงลำดับตามขั้นตอน
Kneading
เป็นการบีบนวดกล้ามเนื้อ
Beating
เป็นการกำมือหลวมๆ ทุบเบาๆ บริเวณกล้ามเนื้อแก้มก้น(Gluteal muscle) ใช้กำมือหลวมๆทั้งสองข้างทุบเบาๆ และเร็วๆ สลับขึ้นลง บริเวณกล้ามเนื้อแก้มก้น ทำอย่างน้อย 12 ครั้ง
Friction
เป็นการใช้ฝ่ามือลูบแบบถูไปมาตามแนวยาวของกล้ามเนื้อไหล่ (trapezins) กล้ามเนื้อสีข้าง (latissimus dorsi) ทั้งสองข้างนิ้ว ชิดกัน วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนกล้ามเนื้อแล้วถูขึ้นลงสลับกันตามกล้ามเนื้อ ทำอย่างน้อย 12 ครั้ง
Hacking
เป็นการใช้สันมือสับเบาๆ ใช้สันมือด้านนิ้วก้อยสับสลับกันเร็วๆ โดยการกระดกข้อมือสับขวางตามใยกล้ามเนื้อบริเวณตะโพก ก้นและต้นขาทาซ้าประมาณ 10 ครั้ง
Stroking
เป็นการลูบตามแนวยาวใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างวางที่บริเวณก้นกบ ค่อยๆ ลูบขึ้นตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงต้นคอ ให้น้ำหนักกดลงที่ปลายนิ้วแล้วอ้อมมาที่ไหล่ สีข้าง และสะโพกทำช้า เป็นจังหวะประมาณ 3-5 ครั้ง
Clapping
เป็นการใช้อุ้งมือตบเบาๆ โดยห่อมือให้ปลายนิ้วชิดกันทั้งสองข้าง ให้เกิดช่องว่างตรงกลางฝ่ามือตบเบาๆ สลับมือกัน โดยกระดกข้อมือขึ้นลงทั่วบริเวณหลัง ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง
Stroking
ทำเหมือนข้อ 7.1 ทาซ้าประมาณ 5-6 ครั้ง
แนะนำตนเองบอกให้ผู้ป่วยทราบและอธิบายวัตถุประสงค์
สวมเสื้อผ้าให้ผู้ป่วยและจัดให้นอนในท่าที่สบาย
เก็บของเครื่องใช้ไปทาความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
ลงบันทึกทางการพยาบาล
การดูแลทำความสะอาดของจมูก
เครื่องใช้
ถาดใส่แก้วใส่น้ำสะอาดหรือ 0.9% NSS
ไม้พันสำลีขนาดเล็ก 4-8 อัน
ผ้าก๊อซ
ชามรูปไต
กระดาษเช็ดปาก
อับสำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% สำลีชุบเบนซิน และสำลีชุน้ำเกลือใช้ภายนอก
พลาสเตอร์ ถุงมือสะอาด และ mask
วิธีปฏิบัติ
สวมถุงมือ และ mask
ใช้สำลีชุบเบนซินเช็ดคราบพลาสเตอร์ออก และเช็ดส่วนที่เป็นยางเหนียวของพลาสเตอร์บนผิวหนังออกให้หมด
จัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่านอนหงาย ศีรษะสูง (ถ้าไม่มีข้อห้าม) เพื่อจัดท่าที่เหมาะสม
ใช้ไม้พันสำลีชุบน้า หรือ 0.9% NSS บีบพอหมาด เช็ดในรูจมูกเบา โดยรอบ ถ้ามีสายคาที่จมูกอยู่ ให้เช็ดรอบสายที่คาอยู่ในจมูก
ยกเครื่องใช้ไปที่เตียงของผู้ป่วยจัดวางให้สะดวกในการใช้
ถ้ามีสายที่คาในรูจมูก ใช้ผ้าก๊อซเช็ดสายที่คาในจมูกส่วนที่อยู่นอกจมูก รวมทั้งบริเวณจมูกให้สะอาดและแห้ง ติดพลาสเตอร์ ยึดสายคาจมูกเปลี่ยนตาแหน่งของรอย การติดพลาสเตอร์กับผิวหนังระวังการตึงรั้ง หรือแน่นเกินไป
แนะนำตัวและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบวัตถุประสงค์
เก็บของใช้ไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย
ลงบันทึกทางการพยาบาล
จุดประสงค์
ป้องกันสารคัดหลั่งแห้งยึดขนจมูกกับสายที่คาไว้
กำจัดสิ่งขับถ่ายและสิ่งสกปรกภายในจมูก
ป้องกันการเกิดแผลกดทับที่ด้านในรูจมูกจากสายที่คาไว้
การดูแลความสะอาดของเส้นผมและหนังศีรษะ
เครื่องใช้
ผ้ายางรองสระผม
เครื่องเป่าผม
รถเข็นสระผมเคลื่อนที่ พร้อมถังรองน้ำทิ้ง
ถุงมือสะอาด และ mask
ถาดใส่ยาสระผม หวี หรือแปรงผม ที่หนีบผ้า (ถ้าใช้ผ้ายางเป็นอุปกรณ์รองรับน้ำจากศีรษะ) ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน สาลี 2 ก้อน ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก 1 ผืน แก้วน้า และน้ามันมะกอก (ถ้ามี)
วิธีปฏิบัติ
แนะนำตัวและอธิบายให้ผู้ป่วยทราบวัตถุประสงค์
วางของใช้บนรถเข็นสระผมเคลื่อนที่ นำไปที่เตียง จัดวางเครื่องใช้ให้สะดวกแก่การหยิบใช้
จัดผู้ป่วยนอนหงายทแยงมุมกับเตียง ให้ศีรษะอยู่ริมเตียง นำผ้าเช็ดตัวม้วนกลมรองไว้ใต้คอผู้ปุวย
รองผ้าเช็ดตัววางบนผ้าม้วนกลม แล้วรองผ้ายางบนผ้าเช็ดตัวผืนนั้น เพื่อช่วยซับน้ำหากหกไหลเลยผ้ายางออกไป และใช้เช็ดผมเมื่อสระเสร็จแล้ว
เลื่อนรถสระผม เทียบกับขอบเตียงวางศีรษะผู้ป่วยบนผ้าผืนที่ม้วนรองใต้คอจัดชายผ้ายางให้ลงในอ่างล้างผม ใช้ไม้หนีบผ้าหนีบผ้ายางให้ติดกัน
ใช้หวีหรือแปรงสางผมให้ทั่ว
ใช้สำลีชุบน้าบีบให้หมาดใส่หูข้างละก้อน ป้องกันน้ำเข้าหู และใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กชุบน้ำบิดให้หมาด พับเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าปิดตาผู้ป่วย
ใช้แก้วน้ำตักน้ำราดผมพอเปียก เทแชมพูใส่มือถูกัน ชโลมแชมพูให้ทั่วศีรษะใช้มือทั้งสองข้างเกาหนังศีรษะบริเวณ frontal จนทั่วบริเวณหน้าผาก
ใช้แก้วน้าตักน้าราดผมให้ทั่ว โดยราดน้าที่ละครึ่งศีรษะ ใช้มือลูบฟอง ยาสระผมจนหมด ทาการสระผมอีกครั้ง ทาเหมือนข้อ 8 และ 9
รวบปลายผมบิดให้หมาด เอาสำลีออกจากหู และคลี่ผ้าปิดตาทาเป็นสามเหลี่ยมโดยเอาสายผ้าแต่ละข้างเช็ดใบหู รูหูและหน้าหูและหลังหู จนสะอาดทั่ว
ปลดผ้ายางออกจากคอผู้ป่วย รวบลงอ่างสระผม ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนที่รองใต้ผ้ายางสระผม เช็ดผมให้หมาดพันรวบผม และบอกให้ผู้ป่วยลงนั่งหรือย้ายศีรษะผู้ป่วยวางบนหมอน
ใช้เครื่องเป่าผม เป่าผมให้แห้ง หวีผมให้ได้ทรง ถ้าผมยาวควรรวบผมมัดให้เรียบร้อย
เก็บของใช้ไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย เศษผมและสำลีห้ามทิ้งลงอ่างล้างมือเด็ดขาด เพราะจะทำให้ท่อระบายน้ำตัน ให้ทิ้งลงถังขยะติดเชื้อเท่านั้น
ลงบันทึกทางการพยาบาล
วัตถุประสงค์
ความสุขสบายและสดชื่นของผู้ปุวย
ส่งเสริมภาพลักษณ์ของผู้ปุวยและรู้สึกมีความมั่นใจ
ขจัดความสกปรกและสารที่ใส่บนผม และหนังศีรษะเพื่อการตรวจรักษา
การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของชายและหญิง
การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของผู้ชาย (Perineal care of male)
ปกติจะชาระให้วันละ 1-2 ครั้ง และหลังจากถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ เรียกสั้นๆ ว่า P-care หรือ flushing
เป็นการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและบริเวณใกล้เคียง เช่น ขาหนีบ ฝีเย็บ และบริเวณทวารหนัก
การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของผู้หญิง (Perineal care of female)
เป็นการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและบริเวณใกล้เคียง เช่น ขาหนีบ ฝีเย็บ และบริเวณทวารหนัก
ปกติจะชำระให้วันละ 1-2 ครั้ง และหลังจากถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ เรียกสั้นๆ ว่า P-care หรือ flushing
สุขอนามัย (Hygiene)
หลักการและความรู้ของการคงไว้หรือรักษาไว้ซึ่งสุขภาพและการป้องกันโรค โดยการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ในการส่งเสริมความสะอาดเพื่อคงไว้ซึ่งการมีสุขภาพดี
สุขอนามัยส่วนบุคคล (Personal hygiene)
เรื่องราวที่ว่าด้วยการดูแล ปรับปรุง ส่งเสริมสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เป็นโรคและมีการปฏิบัติตนให้อยู่ในสภาวะที่ปลอดภัย ซึ่งรวมทั้งการป้องกัน การแพร่กระจายของเชื้อโรคทั้งจากตนเองไปสู่ผู้อื่น และการรับเอาเชื้อโรค สิ่งปนเปื้อนจากภายนอกมาสู่ตัวเรา
การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
การดูแลความสะอาดและสุขภาพของผิวหนัง ผม เล็บ ปาก ฟัน ตา หู จมูก และอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกของตนเอง
กระบวนการพยาบาลในการส่งเสริมสุขอนามัยส่วนบุคคลของผู้ป่วย
การประเมินผู้ป่วย (Health assessment)
ประเมินความชอบ ความเชื่อและวัฒนธรรมของผู้ป่วย
ประเมินระดับความสารถในการดูแลตนเอง
ประเมินผิวหนัง ช่องปาก เส้นผมและหนังศรีษะ ตา หู จมูก
ประเมินปัญหาและความเสี่ยงของการรักษาและอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการดูแล
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
มีความทนในการทากิจกรรมลดลงเนื่องจากเหนื่อยง่ายจากการเป็นโรค…..
การเคลื่อนไหวร่างกายบกพร่องงเนื่องจากเป็นอัมพาต...
ไม่สนใจดูแลความสะอาดร่างกายด้วยตนเองเนื่องจากมีความเครียดเกี่ยวกับ......
พร่องความสามารถในการดูแลความสะอาดร่างกายเนื่องจาก....
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
พยาบาลวางแผบการดูแลความสะอาดร่างกายโดยใช้ข้อมูลจากการประเมินผู้ป่วย แล้วทาการ
กำหนดวัตถุประสงค์ และเกณฑ์การประเมิน
เลือกกิจกรรมการดูแล เพื่อแก้ไขปัญหาให้ตรงตามข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ซึ่งขึ้นอยู่กับปัญหาความต้องการของผู้ป่วย
การปฏิบัติการพยาบาล (Implementation)
ปฏิบัติการดูแลความสะอาดร่างกาย การอาบน้ำ การนวดหลัง การทำความสะอาดปากและฟัน เส้นผมและหนังศรีษะ และอวัยวะสืบพันธุ์
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ประเมินผลลัพธ์การพยาบาล
ประเมินผลคุณภาพการบริการ
การส่งเสริมการพักผ่อนนอนหลับ
วงจรการนอนหลับ
ช่วงหลับธรรมดา (Non-rapid eye movement sleep : NREM)
ระยะที่ 1 (เริ่มมีความง่วง)
เป็นช่วงเริ่มหลับที่เปลี่ยนจากการตื่นไปสู่ การนอน ในคนทั่วไปใช้เวลาตั้งแต่ 30 วินาที - 7 นาทีเป็นสภาพที่แม้จะได้รับการกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็จะตื่น
ระยะที่ 2 (หลับตื้น)
การหลับในช่วงต้น เป็นสภาพที่ไม่ได้ยินเสียงรบกวนจากภายนอก เป็นระยะแรกที่มีการหลับอย่างแท้จริง แต่ยังไม่มีการฝัน ระยะนี้จะถูกปลุกให้ตื่นได้โดยง่าย
ระยะที่ 3 (หลับปานกลาง)
ทั้งคลื่นสมองและชีพจรจะเต้นช้าลง ความมีสติรู้ตัวจะหายไป การเคลื่อนไหวของตาจะหยุดลง แม้ได้รับสิ่งเร้าจากภายนอกก็จะไม่ตื่นโดยง่าย ขั้นนี้จะใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที
ระยะที่ 4 (หลับลึก)
เป็นช่วงหลับสนิทของการนอน ใช้เวลา 30 - 50 นาที หากว่าร่างกายนอนหลับโดยปราศจากระยะที่ 4 นี้ อาจมีการนอนละเมอหรือฝันร้ายได้
ระยะนี้อุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตจะลดลง อัตราการเต้นของหัวใจลดลง 60 ครั้งต่อนาที growth hormone จะมีการหลั่งในระยะนี้
ช่วงหลับฝัน (Rapid eye movement sleep: REM)
มีการกลอกลูกตามอย่างรวดเร็ว
อัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่าเวลาตื่นนอน และการหายใจไม่สม่าเสมอ
เกิดขึ้นหลังจากการเริ่มนอนหลับชนิดไม่มีการเคลื่อนไหวของลูกตาอย่างรวดเร็ว ลักษณะประมาณ 90 นาที หรืออาจมากกว่าในวัยผู้ใหญ่ จะมีการเข้าสู่ระยะที่มีการเคลื่อนไหวลูกตาอย่างรวดเร็ว ลักษณะคลื่นไฟฟ้าสมองคล้ายตอนตื่นนอน
กล้ามเนื้อต่าง ๆ รวมทั้งใบหน้า และคอจะหย่อน เพราะร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว
การนอนหลับระยะนี้จะมีช่วงเวลายาวนาน การฝันจะพบประมาณ 80% ในช่วงระยะนี้
สรีรวิทยาของการนอนหลับ
ความดันเลือดซิสโตลิค (systolic) จะลดลง 20-30 mmHg ขณะหลับสนิท
อัตราการเต้นของชีพจรจะลดลง 10-30 ครั้งต่อนาที
อุณหภูมิของร่างกายลดลง 0.5-1.0 องศาฟาเรนไฮด์
การหายใจจะลดลง หายใจลึกและอัตราไม่สม่าเสมอ
กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต่าง คลายตัว
ความเจ็บปวด การได้ยิน การสัมผัส กลิ่น และการมองเห็นจะลดลง ตากลอกขึ้น หรือเหมือนลืมตา รูม่านตาหดตัว
การผลิตความร้อนลดลง ร้อยละ 10-15
ปริมาณปัสสาวะลดลง
ปัจจัยที่มีผลต่อการพักผ่อนและการนอนหลับ
ภายใน
ความไม่สุขสบาย
ความเจ็บปวด
เป็นปัจจัยกวนการนอนหลับด้านร่างกายมากที่สุด
การใส่สายยางและท่อระบายต่าง
เป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย ประกอบกับผู้ป่วยมีข้อจำกัดทาให้การเคลื่อนไหวลดลง อันเนื่องมาจากการดึงรั้งของสาย
ผู้ป่วยที่ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะ มีความเจ็บปวดอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการนอนหลับ
ท่านอนที่ไม่เหมาะสม
อาการคลื่นไส้ อาเจียน
ภาวะไข้หลังผ่าตัด
ปัจจัยภายในส่วนบุคคล
เพศ
โดยธรรมชาติแล้วเพศชายจะมีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการนอนหลับได้เร็วและมากกว่าเพศหญิง 10-20 ปี
เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น พบว่าการนอนหลับระยะ REM ลดลง ตื่นขณะหลับ
เพศหญิงจะพบการนอนที่เปลี่ยนแปลงนี้ในวัยกลางคน และคงสภาพความลึกของปริมาณการนอนหลับได้มากกว่าจนถึงวัยชรา
เพศหญิงจะมีความไวต่อการกระตุ้นด้วยเสียงมากกว่าเพชาย
อายุ
เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทาให้แบบแผนการนอนหลับเปลี่ยนแปลง โดยมีผลต่อวงจรการนอนหลับ ตั้งแต่วัยทารกถึงวัยสูงอายุ
ในผู้สูงอายุการนอนหลับจะลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพ
ความวิตกกังวล
ภายนอก
อุณหภูมิ
อุณหภูมิที่ต่ำรือสูงเกินไป จะทำให้ผู้ป่วยกระสับกระส่ายเพิ่มขึ้น และตื่นบ่อยขึ้น
แสง
ส่งผลต่อระยะการเริ่มต้นของการนอนหลับ
แสงสว่างเป็นปัจจัยรบกวนคุณภาพของการนอนหลับ อยู่ในระดับ 3.80 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน
เสียง
เสียงมีความสัมพันธ์ทางลบกับการนอนหลับ ทำให้ระยะเวลาเริ่มต้นการนอนหลับนานขึ้น เวลานอนหลับน้อยลง ตื่นบ่อยขึ้น ทำให้คุณภาพการนอนหลับไม่ดี
องค์การอนามัยโลกระบุว่า
เสียงอันตราย หมายถึง เสียงดังเกิน 85 เดซิเบลทุกความถี่
เสียงรบกวน หมายถึง ระดับเสียงที่ผู้ฟังไม่ต้องการจะได้ยินเพราะสามารถกระทบ ต่ออารมณ์ ความรู้สึกได้แม้จะไม่เกินเกณฑ์ที่เป็นอันตราย แต่ก็เป็นเสียงรบกวนที่มีผลต่อผู้ฟังได้ ระดับเสียงประมาณ 60 เดซิเบล
ความไม่คุ้นเคยต่อสถานที่สิ่งแวดล้อมของโรงพยาบาล
กิจกรรมการรักษาพยาบาล
พยาบาลควรจัดสรรเวลาในการให้การพยาบาล หรือจัดการพยาบาลในคราวเดียวกันที่ไม่ขัดแย้งกับการรักษาเพื่อประหยัดเวลาและลดการรบกวนผู้ปุวยโดยไม่จำเป็น
กิจกรรมการพยาบาลเป็นปัจจัยที่รบกวน การนอนหลับของผู้ป่วยหลังผ่าตัดในระดับมาก
อาหาร
การรับประทานอาหารที่มีสารทริพโทแฟ็น(tryptophan) ซึ่งมีอยู่ในนมจะส่งเสริมการนอนหลับ
ส่วนเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา โคล่า ช็อคโกแลต เป็นต้น จะมีฤทธิ์กระตุ้นและคงไว้ในร่างกาย 3-5 ชั่วโมง ซึ่งมีผลต่อการหลับและการตื่น
ยา
ยาบาบิทูเรต (barbiturates) โดยยาจะไปออกฤทธิ์รบกวนการนอนหลับในระยะ REM เกิดฝันร้ายและภาพหลอน
ยาปิดกั้นเบต้ารีเซฟเตอร์ (beta-blocker drug) ทำให้เกิดฝันร้าย
ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) รบกวนการนอนหลับและทำให้นอนไม่หลับ
ยาขยายหลอดลม ทำให้นอนหลับยากและรบกวนการนอนหลับ
ยาต้านอาการซึมเศร้า (antidepressant) ยาจะรบกวนการนอนหลับในระยะ REM ทำให้แขนหรือขากระตุกเป็นระยะขณะนอนหลับเพิ่มขึ้น
ผลกระทบจากปัญหาการนอนหลับ
จิตใจอารมณ์
ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ได้ง่าย อาจมีอาการเซื่องซึมและหงุดหงิด โมโหง่าย เกิดความสับสนและความสามารถในการควบคุมตนเองจาก สิ่งเร้าลดลง มีอาการหวาดระแวงและหูแว่ว ไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมความก้าวร้าวของตนเองได้
สติปัญญาและการรับรู้
ทำให้การปฏิบัติกิจกรรมในช่วงกลางวันลดลง สมาธิไม่ดี และแก้ไขปัญหาได้ช้า
ร่างกาย
ทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงต่าง
ทำให้อุณหภูมิและภูมิต้านทานของร่างกายต่ากว่าปกติ โดยพบว่าการทำงานของเม็ดเลือดขาวและการหลั่งฮอร์โมนเพื่อช่วยในการเจริญเติบโตลดลง
ผลกระทบที่รุนแรงต่อร่างกาย อาจทาให้เกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น
สังคม
การมีปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวและสังคมลดลง ความมั่นใจในการทางานลดลง และมีการใช้ระบบบริการทางด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น
การประเมินคุณภาพการนอนหลับ
เชิงคุณภาพ
ใช้คำถามประเมินความรู้สึกต่อการนอนหลับ
ใช้แบบประเมินแบบแผนการนอนหลับ
เป็นแบบแผนที่ 5 ของแบบประเมินภาวะสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน
แบบแผนเกี่ยวกับการพักผ่อน การนอน การผ่อนคลายความเครียดใน 24 ชั่วโมง รวมถึงการใช้ยาและการทำกิจกรรมที่ช่วยให้นอนหลับ
เชิงปริมาณ
ระยะเวลาการนอนหลับในแต่ละคืน
จำนวนครั้งที่ถูกรบกวนขณะนอนหลับ
ระยะเวลาตั้งแต่เข้านอนจนกระทั่งหลับ
ประสิทธิภาพในการนอน
ความสำคัญ
สงวนพลังงาน
ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และความจำ
ซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อขึ้นใหม่
ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
ส่งเสริมการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
การนอนหลับที่ผิดปกติ
พฤติกรรมที่ควรเกิดขึ้นขณะตื่นแต่กลับเกิดขณะหลับ
Hypersomnia
การนอนหลับมากหรือง่วงมากกว่าปกติ แสดงออกในแง่การนอน หลับในสถานที่ที่ไม่ควรหลับ เช่น หลับขณะขับรถ หรือรอติดไฟแดง หลับในห้องประชุม หลับในขณะกินข้าว
อินซอมเนีย (Insomnia) พบบ่อยที่สุด
การนอนตื่นเร็วเกินไปหรือตื่นง่าย ตื่นเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
การนอนหลับยาก การเข้านอนแล้วกว่าจะหลับใช้เวลานาน
ลักษณะ
การนอนหลับไม่เพียงพอชั่วคราว (Transient insomnia)
เป็นการนอนหลับไม่เพียงพอเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ 3- 5 วัน ร่างกายปรับตัว ได้อาการนอนไม่หลับก็จะหายไป
การนอนหลับไม่เพียงพอระยะสั้น (Short term insomnia)
เป็นระยะเวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มีสาเหตุเดียวกับการนอนหลับไม่เพียงพอชั่วคราวแต่มีเวลานานกว่า
การนอนหลับไม่เพียงพอแบบเรื้อรัง (Chronic insomnia)
เป็นการนอนหลับไม่เพียงพอเกิดขึ้นนานกว่า 1 เดือนขึ้นไป
สาเหตุ
โรคทางอายุรกรรม เช่น โรคสมองเสื่อม
อาการข้างเคียงของยา
โรคของการนอนไม่หลับโดยตรง เช่น อาการแขนขากระตุกเป็นพักๆ ระหว่างหลับ
โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า
การนอนหลับแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือตื่นบ่อย การเข้านอนแล้วหลับได้ตามปกติ แต่มักมีการตื่นเป็นช่วง ๆ
Parasomnia
เป็นพฤติกรรมที่ควรเกิดขณะตื่นแต่กลับเกิดขณะหลับ
แบ่งออกเป็น 4 แบบ
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในช่วงจากหลับมาตื่น/ จากตื่นมาหลับ
อาการขากระตุกขณะกาลังหลับ(Hypnic jerks) ละเมอพูด (Sleeptalking) ศีรษะโขกกาแพง (Head banging)
กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นขณะหลับชนิดที่มีการกรอกตา
ภาวะฝันร้าย (Nightmares) ภาวะผีอา (Sleep paralysis)
ความผิดปกติของการตื่น (Around disorder)
อาการสับสน (Confusion arousals) ละเมอเดิน (Sleepwalking) ฝันร้าย (Sleep terror)
กลุ่มอื่น ๆ
การนอนกัดฟัน (Sleep bruxism) การปัสสาวะรดที่นอนขณะหลับ (Sleep enuresis) การกรน (Primary snoring) การไหลตาย (Sudden unexplained nocturnal death)
ผลที่เกิดจาการนอนหลับผิดปกติ
ผลจากการนอนไม่เพียงพอในการนอนชนิด REM
ความคิดบกพร่อง การรับรู้บกพร่อง ประสาทหลอน
ผลในภาพรวมจะทำให้การทางานของร่างกายขาดประสิทธิภาพจากร่างกายอ่อนล้า และขาดสมาธิ
ผลจากการนอนไม่เพียงพอในการนอนชนิด NREM
เมื่อยล้า คลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก เวียนศีรษะ ทนต่อความเจ็บปวดได้ลดลง กล้ามเนื้อคออ่อนแรง ภูมิต้านทานลดลง ระดับความรู้สึกตัวบกพร่อง
ความหมาย
การพักผ่อน (Rest)
การพักกิจกรรมการทำงานของร่างกาย หรือการพักการทำงานของอวัยวะต่าง โดยนั่งเฉย ชั่วขณะหนึ่ง อาจทำกิจกรรมเบา นันทนาการ เปลี่ยนอิริยาบท หรือชมวิว เพื่อให้อวัยวะได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ลดความกังวล (นิตยา สมบัติแก้ว, 2558)
การพักผ่อน (Rest)
ผ่อนคลาย และมีความสงบทั้งจิตใจและร่างกาย รวมถึงความไม่วิตกกังวล สงบหรือผ่อนคลายโดยไม่มีความเครียดทางอารมณ์
การพักผ่อนไม่ได้หมายถึง การไม่มีกิจกรรม ความจริงแล้วการเปลี่ยนอิริยาบถก็เป็นการพักผ่อนสำหรับบางคนได้
ดังนั้นความหมาย และความต้องการของคาว่าการพักผ่อนจึงแตกต่างกันมากในแต่ละบุคคล (สุปาณี เสนาดิสัย, 2557)
การพักผ่อนของผู้ป่วยในโรงพยาบาล
Absolute bed rest
เป็นการพักผ่อนโดยให้ผู้ปุวยนอนอยู่บนเตียง ไม่ให้ร่างกายออกแรงในกิจกรรมใด ที่จะทำให้รู้สึกเหนื่อย ห้ามลุกออกจากเตียง
การทำกิจกรรมการพยาบาล พยาบาลจะต้องเป็นผู้จัดกิจกรรมให้ เช่น การบริการหม้อนอนถ่ายอุจจาระบนเตียง การบริการอาบน้ำบนเตียง
พยาบาลจะต้องอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
Bed rest
เป็นการพักผ่อนโดยให้ผู้ปุวยนอนอยู่บนเตียง สามารถทากิจกรรมประจาวันได้ตามความสามารถของผู้ปุวย เช่น ไปห้องน้าด้วยตนเอง
การนอนหลับ
เป็นกระบวนการทางสรรีรวิทยาพื้นฐานที่สอดประสานกับจังหวะการทำงานของร่างกายด้านอื่น โดยมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่าง ของร่างกายไปในทางผ่อนคลาย
ได้แก่ ระดับการรู้สติลดลง มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าและการเคลื่อนไหวของร่างกายลดลง อวัยวะทุกส่วนทำงานลดลง รวมทั้งสภาวะจิตใจ และมีการเอนกายลงในท่าสงบนิ่งและหลับตา
เป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว ปลุกให้ตื่นได้โดยมีการกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าที่เหมาะสม
การส่งเสริมการนอนหลับ
การจัดท่าทางสำหรับผู้ป่วยเพื่อความสุขสบาย
Fowler’s position
เป็นท่านอนราบศีรษะสูง 30-90 องศา
เป็นท่านอนที่สุขสบายและเพื่อการรักษา
ท่านี้ลักษณะคล้ายท่านั่งบนเตียง สะดวกสาหรับให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมบนเตียง เช่น บ้วนปาก แปรงฟัน หรือนั่งพักผ่อน เปลี่ยนอิริยาบถ เป็นต้น
ท่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เหนื่อยหอบ หายใจไม่สะดวก ทำให้การหายใจสะดวกขึ้นอาการเหนื่อยดีขึ้น
ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อน ลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้องจึงลดอาการปวดแผลหลังผ่าตัด หน้าท้อง ช่วยลดอาการอักเสบ และติดเชื้อภายในช่องท้อง
ท่านี้จัดเพื่อช่วยให้ของเสียหรือสารคัดหลั่ง (discharge) ที่ตกค้างภายในช่องท้องไหลมารวมกัน และระบายออกทางท่อระบายของเสียได้ดี
Prone position
เป็นท่านอนคว่ำ
เป็นท่านอนที่สุขสบาย สำหรับผู้ป่วย ที่ไม่รู้สึกตัว แต่มีการหายใจปกติ
ท่านี้จะช่วยให้น้ำลาย เสมหะไหลออก และลิ้นผู้ป่วยห้อยลงจึงไม่ปิดกั้นทางเดินหายใจ
ท่านี้ช่วยเปลี่ยนอิริยาบถ และช่วยป้องกันแผลกดทับด้านหลัง
Dorsal position (supine position)
ใช้ในการตรวจร่างกายทั่วไป
เป็นท่านอนที่จัดขึ้นเพื่อความสุขสบาย สำหรับผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ผู้ป่วยเป็นอัมพาต หรืออ่อนเพลียไม่มีแรง หรือไม่สามารถเคลื่อนไหวทากิจกรรมได้ด้วยตนเอง
เป็นท่านอนหงายราบ ขาชิดติดกัน
ถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวต้องให้กำผ้าขนหนูม้วนเล็ก ลักษณะนุ่ม
Lateral position
เป็นท่านอนตะแคง
จัดเพื่อความสุขสบายของผู้ป่วย ที่ช่วยเหลือเคลื่อนไหวด้วยตนเองไม่ได้
ช่วยป้องกันการเกิดแผลกดทับด้านหลัง และใช้เปลี่ยนอิริยาบถ
ผลเสีย คือ การจัดท่านี้จะทำให้ข้อสะโพก ข้อหัวไหล่ที่อยู่ด้านบนจะห้อยลงและหมุนเข้าด้านใน ถ้าไม่หนุน support ด้วยหมอน หรือผ้าอาจทำให้เอ็นของข้อนั้นๆ ยืดได้
ท่านี้เป็นท่าที่จัดเพื่อการตรวจอวัยวะด้านข้าง เช่น หู ศีรษะ แขน ขา และลำตัวด้านข้าง เป็นต้น
Sitting position
เป็นท่านั่งที่สุขสบายสาหรับผู้ปุวยได้เปลี่ยนอิริยาบถ และพักผ่อนได้อย่างมีความสุข เพื่อความปลอดภัย และความสุขสบายควรมีที่เท้าแขน (arm chair)
การส่งเสริมให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย
การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม และมีความปลอดภัย
สิ่งแวดล้อมที่ดี
การทำเตียง
ชนิด
การทำตียงว่าง (Close bed)
การทำเตียงผู้ปุวยลุกจากเตียงได้ (Open/unoccupied bed)
การทำเตียงผู้ปุวยลุกจากเตียงไม่ได้ (Occupied bed)
การทำเตียงรับผู้ปุวยหลังผ่าตัดและผู้ป่วยที่ได้รับยาสลบ (Surgical/ ether/ anesthetic bed)
หลักปฏิบัติการทำเตียง
คลุมผ้าคลุมเตียง วางผ้าห่มและและผ้าเช็ดตัวที่ราวพนักหัวเตียง จัดโต๊ะข้างเตียงให้เรียบร้อย
ไม่ควรสะบัดผ้าหรือปล่อยให้เสื้อผ้าที่สวมอยู่สัมผัสกับเครื่องใช้ของผู้ป่วย
ควรทำเตียงให้เสร็จทีละข้าง โดยเริ่มจากผ้าปูที่นอน ผ้ายางขวางเตียง ผ้าขวางเตียง ใส่ปลอกหมอน
หากมีปูเตียงที่มีผู้ป่วยควรแจ้งให้ผู้ป่วยทราบก่อนการปฏิบัติ
วางผ้าให้จุดกึ่งกลางของผ้าทับลงตรงจุดกึ่งกลางของที่นอน
รักษาท่าทางให้อยู่ในลักษณะที่ดี
หันหน้าไปทิศทางในงานที่จะทา ไม่ควรบิดหรือเอี้ยวตัว
ควรใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ในการหยิบของและควรย่อเข่าแทนการก้มทางานอย่างนุ่มนวลและสม่ำเสมอ
จัดบริเวณรอบ ให้สะดวกต่อการปฏิบัติ
ยึดหลักการทาเตียงให้เรียบ ตึง ไม่มีรอยย่น สะอาด ไม่เปียกชื้น
เตรียมของพร้อมใช้ตามลำดับก่อนหลังและวางให้ง่ายในการหยิบใช้สะดวก
การทำเตียงว่าง
เป็นการทำเตียงที่ผู้ป่วยจำหน่ายออกจากหอผู้ป่วย เพื่อเตรียมรับผู้ป่วยใหม่ หรือทาเตียงที่ผู้ป่วยสามารถลงเดินช่วยเหลือตนเองได้
จุดประสงค์
จัดสิ่งแวดล้อมสะอาดให้ส่งเสริมความสุขสบาย ให้หอผู้ป่วยเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงามน่าอยู่พักอาศัย
จัดเตรียมความพร้อมเตรียมรับผู้ป่วยใหม่
เครื่องใช้
เครื่องผ้า โดยเรียงลาดับการปูเตียงก่อนหลัง ดังนี้
ผ้าปูที่นอน
ผ้ายางขวางเตียง (ถ้าจำเป็น)
ผ้าขวางเตียง
ปลอกหมอน
ผ้าคลุมเตียง
ผ้าห่ม
กระบอกฉีดน้ำผสมผงซักฟอก ถังน้าสะอาด และผ้าเช็ดเตียง
ถังใส่ผ้าเปื้อน
ถุงมือสะอาด ผ้ากันเปื้อนพลาสติก และ mask
วิธีปฏิบัติ
นำถังที่สะอาด และกระบอกฉีดน้ำผสมผงซักฟอก และผ้าเช็ดเตียงวางไว้ใต้เตียง
เก็บเยือกน้ำ แก้วน้ำ กระโถน และเครื่องใช้อื่น จัดบริเวณเตียงให้มีที่ว่างพอควรไขเตียงให้ราบ ปรับเตียงให้สูงพอเหมาะกับผู้ปฏิบัติงาน เพื่อป้องกันการปวดเมื่อยหลังขอผู้ปฏิบัติแล้วจึงเก็บของให้เข้าที่พร้อมกับล็อคล้อเตียงให้อยู่นิ่งเพื่อสะดวกในการทำงาน
นำเครื่องผ้าที่เตรียมไว้ที่เรียงลำดับการใช้ มาพาดไว้ที่ปลายเตียงด้านโต๊ะข้างเตียงหรือบนเก้าอี้ที่สะอาด
วางหมอนที่พนักหัวเตียงหรือบนตู้ข้างเตียง สำรวจรอยชำรุดของที่นอนหากมีส่งซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่
สวมถุงมือและผ้ากันเปื้อนพลาสติก เพื่อป้องกันสิ่งสกปรกปนเปื้อนเชื้อตนเอง
รื้อผ้าทุกชิ้นโดยดึงชายผ้าที่เหน็บไว้ใต้ที่นอนออกมาทั้งหมด
ถอดนาฬิกา และสวม mask
ฉีดน้ำผสมผงซักฟอก เพื่อทำความสะอาดที่นอนและเตียงแล้วเช็ดตามด้วยน้ำเปล่าจนสะอาด
คลี่ผ้าปูที่นอนให้รอยพับกึ่งกลางตามความยาวของผ้าอยู่ตรงกึ่งกลางที่นอน เพื่อให้ชายผ้าเท่ากันทั้งสองข้างและเหน็บผ้าปูที่นอนเข้าใต้ที่นอนทั้งหัวเตียงและปลายเตียงให้เรียบร้อยแล้วทำมุมชายธงทั้งสองข้าง
ล้างมือให้สะอาดก่อนจัดเตรียมเครื่องใช้และสิ่งแวดล้อม เตรียมของใช้ให้พร้อมนำไปที่เตียงผู้ป่วย
ปูผ้ายางในลักษณะขวางกับเตียงบนผ้าปูที่นอนระหว่างกึ่งกลาง ของเตียงโดยให้ห่างจากหัวเตียงประมาณ 18 นิ้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ผ้าปูที่นอนเปื้อน
ปูผ้าขวางเตียงทับบนผ้ายางในลักษณะเดียวกันแล้วเหน็บผ้าส่วนที่ขวางลงใต้ผ้ายางประมาณ 2 นิ้วเพื่อเป็นการป้องกันผ้ายางถูกผิวหนังผู้ป่วย
ปูผ้าห่ม แบบเดียวกับผ้าปูที่นอน คลุมหมอนให้มิดชิด แต่ทำชายธงเฉพาะปลายเตียงไม่ต้องเหน็บผ้าด้านข้าง
จัดเตียงและตู้ข้างเตียงให้เข้าที่ ทิ้งผ้าที่เปลี่ยนแล้วในถังผ้าเปื้อน
เก็บเหยือก และแก้วน้ำทำความสะอาด ผึ่งให้แห้งก่อนเก็บเข้าที่
ล้างถังน้ำ ผึ่งให้แห้งก่อนเก็บเข้าที่
เก็บของใช้เข้าที่ให้เรียบร้อย
ถอดถุงมือ ถอดmask และล้างมือให้สะอาดเช็ดให้แห้ง
ลงบันทึกทางการพยาบาล
การทำเตียงผู้ป่วยลุกจากเตียงได้
เครื่องใช้
กระบอกฉีดน้ำผสมผงซักฟอก ถังน้ำสะอาด และผ้าเช็ดเตียง
ถังใส่ผ้าเปื้อน
เครื่องผ้า เหมือนการทำเตียงว่าง ยกเว้น ผ้าห่มและผ้าคลุมเตียง
ถุงมือสะอาด ผ้ากันเปื้อนพลาสติก และmask
วิธีปฏิบัติ
ฉีดน้ำผสมผงซักฟอก แล้วเช็ดทำความสะอาดหมอน ที่นอน เตียง ตู้ข้างเตียงและเก้าอี้ เช็ดตามด้วยน้ำสะอาด รอให้น้ำแห้ง
กลับที่นอนอีกด้านและเช็ดให้สะอาดเหมือนข้อ 6
เริ่มรื้อผ้าเหมือนการทำเตียงว่าง โดยม้วนด้านนอกไว้ด้านใน พาดผ้าที่รื้อออกไว้ที่พนักเตียงด้านล่าง หรือทิ้งลงถังผ้าเปื้อน
ปูที่นอนใหม่ เหมือนการทำเตียงว่าง
พับผ้าห่มเป็นทับซ้อนกับไปมาคล้ายพัด (fan fold) ไว้ที่ปลายเตียง
ไขเตียงลงให้ราบ เก็บที่ไขเตียงเข้าที่
เตรียมเครื่องใช้ไปที่เตียง พาดผ้าที่พนักเตียง วางถังน้ำใต้เตียง
จัดเตียงและตู้ข้างเตียงให้เข้าที่ ทิ้งผ้าเก่าที่เปลี่ยนแล้วในถังผ้าเปื้อน
ถอดนาฬิกา ใส่ mask ผ้ากันเปื้อนพลาสติก และสวมถุงมือสะอาด
เติมน้ำในเยือกให้ใหม่ เปลี่ยนแก้วน้ำให้ใหม่ (กรณีที่ผู้ป่วยต้องบันทึกสารน้ำดื่มให้จดปริมาณน้ำที่ดื่มไปก่อน แล้วจึงเติมน้ำ)
แนะนำตัวและบอกผู้ป่วยให้ทราบวัตถุประสงค์ของการทำเตียง
ล้างถังน้ำ ผึ่งให้แห้งก่อนเก็บเข้าที่
ถอดถุงมือ ถอด mask และล้างมือให้สะอาดเช็ดให้แห้ง
ลงบันทึกทางการพยาบาล
จุดประสงค์
ให้เตียงและสิ่งแวดล้อมสะอาด เรียบร้อย สวยงาม
ให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบาย
การทำเตียงผู้ป่วยลุกจากเตียงไม่ได้
จุดประสงค์
ให้ผู้ปุวยได้รับความสุขสบาย
ให้เตียงและสิ่งแวดล้อมสะอาด เรียบร้อย สวยงาม
เครื่องใช้
กระบอกฉีดน้ำผสมผงซักฟอก ถังน้ำสะอาด และผ้าเช็ดเตียง
ถังใส่ผ้าเปื้อน
เครื่องผ้า เหมือนการทำเตียงว่าง ยกเว้น ผ้าห่มและผ้าคลุมเตียง
ถุงมือสะอาด ผ้ากันเปื้อนพลาสติก และ mask
การทำเตียงรับผู้ป่วยหลังผ่าตัดและผู้ป่วยที่ได้รับยาสลบ
จุดประสงค์
เตรียมรับผู้ป่วยหลังจากไปรับการผ่าตัด หรือการตรวจพิเศษ
เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือเมื่อผู้ป่วยสำลักหรือลิ้นตก และเมื่อผู้ป่วยอยู่ในภาวะอันตราย
เครื่องใช้
ชามรูปไต และกระดาษเช็ดปาก
เครื่องวัดความดันโลหิตพร้อมหูฟัง
เครื่องผ้าเหมือนกับการทำเตียงว่าง
เครื่องใช้อื่น ตามความจำเป็น เช่น เสาน้าเกลือ เครื่องดูดเสมหะ เครื่องดูดสารคัดหลั่ง เป็นต้น
ถังบรรจุน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีฤทธิ์ฟอกล้างและผ้าเช็ดเตียง
วิธีปฏิบัติ
พับผ้าคลุมเตียงซ้อนผ้าห่มทบไปมาไว้ที่ริมเตียง (fan fold) ด้านตรงข้ามที่จะรับผู้ป่วยขึ้นเตียง เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้ายขึ้นเตียง
วางเครื่องใช้ต่าง ใกล้เตียง หากผู้ป่วยต้องงดน้ำและอาหารทางปาก ให้นำป้าย “งดน้ำและอาหารทางปาก” (NPO) ไว้ที่ปลายเตียง
ถ้าเตรียมรับผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ให้พิงหมอนไวที่พนักหัวเตียง
กระบวนการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
วางแผนให้ผู้ป่วยได้นอนหลับพักผ่อนได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยนอนหลับได้มากขึ้น
ผู้ป่วยไม่มีอาการอ่อนเพลีย กระสับกระส่าย และสับสน
การพยาบาล (Nursing/Implementation)
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ต้องมีความสอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินผล
เช่น
สังเกตว่าผู้ป่วยนอนหลับได้มากขึ้น
สังเกตว่าไม่มีอาการอ่อนเพลีย กระสับกระส่าย และสับสน
ผู้ป่วยบอกว่า “นอนหลับสบายดีนอนหลับเต็มอิ่ม”
การประเมินภาวะสุขภาพ (Assessment)
ปัญหาในการนอนหลับและการแก้ไข
สาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ และการแก้ไข
สิ่งที่ช่วยให้นอนหลับ
กิจกรรมหรือพฤติกรรมที่ช่วยลดความเครียด
วิถีชีวิตและพฤติกรรมการนอนหลับ
สังเกตอาการแสดงของผู้ป่วยว่านอนหลับเพียงพอหรือไม่เพียงพอ
วิถีชีวิตและพฤติกรรมการนอนกลางวัน
สัมภาษณ์อาการที่แสดงว่านอนหลับเพียงพอหรือไม่เพียงพอ