Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์,…
บทที่ 3 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
ความหมายและลักษณะของกฎหมายแพ่ง
เป็นส่วนหนึ่งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ปพพ.) ที่กาหนดสิทธิ หน้าที่ และ
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนโดยทุกฝ่ายมีฐานะเท่าเทียมกัน และ สามารถต่อรองเพื่อตกลงกระทาการใดๆ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
: เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับวิธีการดาเนินพิจารณาพิพากษาคดีในกรณีที่ เกิดข้อพิพาทในทางแพ่งขึ้น เช่น วิธีฟ้อง ศาลที่ฟ้อง วิธีพิจารณาของศาลตลอดจนการบังคับให้ฝ่ายที่ผิดปฏิบัติ ตามคาพิพากษา เป็นต้น
องค์ประกอบของนิติกรรม
2. การกระทำโดยเจตนา เป็นการกระทาอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยใจสมัคร เพื่อให้บุคคลภายนอกรับรู้ถึงความต้องการหรือเจตนาของตนที่จะทานิติกรรมตามกฎหมาย
กฎหมายพาณิชย์
: เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าขายหรือกิจการใดๆ ที่ได้กระทำในเรื่องหุ้นส่วน บริษัท ประกันภัย ตั๋วเงิน เป็นต้น
การแสดงเจตนาโดยชัดแจ้ง
อาจทำโดยวาจา เป็นลายลักษณ์อักษร หรือแสดงกิริยาที่ทำให้ เข้าใจอย่างหนึ่งอย่างใด
การแสดงเจตนาโดยปริยาย
เป็นการแสดงเจตนาไม่ชัดแจ้งแต่การกระทาอื่นๆ ที่ทาให้ต่าง ฝ่ายต่างเข้าใจว่า มีความประสงค์ใดในกิริยาเช่นนั้น
1. ผู้กระทำต้องแสดงออกในฐานะที่เป็นเอกชน
หมายถึง ผู้กระทำนิติกรรมต้องแสดงออกใน
ฐานะเอกชน มิใช่เจ้าพนักงานของรัฐ
3. การกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
หมายถึง การกระทำที่กฎหมายให้อานาจบุคคลกระทาได้ โดยชัดแจ้ง หรือกฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่าห้ามกระทำ หากนิติกรรมที่กระทานั้นขัดต่อกฎหมาย ความสงบ เรียบร้อย ศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นการกระทาที่พ้นวิสัยที่มนุษย์จะทำได้ ให้ถือเป็นโมะะ
4. ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวสิทธิ
หมายถึง ผลของการกระทาที่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งแก่คู่กรณีตามนิติกรรมนั้นๆ
ประเภทของนิติกรรม
นิติกรรมที่พิจารณาแบ่งตามจำนวนคู่กรณี
นิติกรรมฝ่ายเดียว
ได้แก่นิติกรรมที่เกิดผลโดยการแสดงเจตนาของบุคคลเพียงฝ่ายเดียว และมีผลผูกพันทางกฎหมาย
นิติกรรมหลายฝ่าย
ได้แก่นิติกรรมที่เกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่สอง ฝ่ายขึ้นไป และทุกฝ่ายตกลงยินยอมตามข้อตกลง
นิติกรรมที่พิจารณาแบ่งตามการมีผลของนิติกรรม
นิติกรรมที่มีผลขณะผู้แสดงเจตนายังมีชีวิตเช่นการให้โดยเสน่หาสัญญาการซื้อ
นิติกรรมที่มีผลขณะผู้แสดงเจตนาไม่มีชีวิต เช่น พินัยกรรม เป็นต้น
3.นิติกรรมที่พจิารณาแบ่งตามค่าตอบแทน
นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน อาทิ สัญญาจ้างงาน สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืมเงิน สัญญา
นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทนอาทิการใหโ้ดยเสน่หาสัญญายืมเงินโดยไม่มีดอกเบี้ยเป็นต้น
ความสามารถของบุคคลในการให้การยินยอมรักษาพยาบาล
บุคคล
1. บุคคลธรรมดา
หมายถึง มนุษย์ที่มีชีวิตรอดภายหลังการคลอดจากครรภ์มารดา ในทาง กฎหมายกาหนดให้สภาพบุคคลเริ่มตั้งแต่เมื่อคลอดและอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย
การตายโดยธรรมชาติ
หมายถึง การป่วยตาย แก่ตาย หรือถูกะ่าตายของบุคคล ทาให้สภาพ บุคคลสิ้นสุด ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา
การสาบสูญ
หมายถึง การที่บุคคลได้ไปจากภูมิลาเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่า บุคคลนั้น ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลาติดต่อกัน 5 ปี ในเหตุการณ์ปกติ
นิติบุคคล หมายถึง สิ่งซึ่งกฎหมายสมมติให้เป็นบุคคล เพื่อให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
1. ผู้เยาว์ (Minor)
หมายถึง บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในทางกฎหมาย บุคคลจะพ้นจากการ เป็นผู้เยาว์หรือบรรลุนิติภาวะใน 2 กรณี คือ อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ (ปพพ. มาตรา 19) หรือการสมรส (ปพพ. มาตรา 20) เมื่อหญิงและชายอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ และได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
2. คนไร้ความสามารถ**
(Incompetence)** หมายถึง คนวิกลจริต (Unsound mind) หรือ อยู่ ในภาวะผัก (Vegetative state)
3. คนเสมือนไร้ความสามารถ (Quasi – incompetence)
หมายถึง บุคคลที่ไม่สามารถ จัดทาการงานโดยตนเอง หรือจัดกิจการไปในทางเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว และศาลสั่ง ให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
3.1 กายพิการ
หมายถึง ร่างกายพิการไม่สมประกอบแต่กาเนิด หรือเป็นภายหลังเพราะ เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ
3.2 จิตฟั่นเฟือน
หมายถึง คนที่จิตไม่ปกติ ไม่สมประกอบ เป็นโรคจิต อาจเนื่องจากการ เจ็บป่วยหรือความชรา แต่ยังไม่ถึงขั้นวิกลจริต
3.3 ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย
3.4 ติดสุรายาเมา
หมายถึง ผู้ที่เสพสุราของมึนเมาต่างๆ หรือเสพยาเสพติด
4. ลูกหนี้ที่ถูกศาลสั่งเป็นบุคคลล้มละลาย
5.สามีภริยา
เป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน จึงต้องให้ความยินยอมซึ่งกันและกันเป็นการทานิติกรรม บางประเภท
สภาพบังคับทางแพ่ง
1.1 นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
ช่น สัญญาซื้อ ขายอาวุธปืนเถื่อน สัญญาซื้อขายยาเสพติด สัญญารับจ้างวางยาะ่าคนตาย สัญญาชุบชีวิตคนตาย การทาเสน่ห์
1.2 นิติกรรมที่ไม่ได้ทาให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกาหนด
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต้องทาเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงถือว่านิติ กรรมสมบูรณ์
1.3 การแสดงเจตนาโดยสาคัญผิดในสาระสาคัญแห่งนิติกรรม
ทาสัญญาว่าจ้าง นาง ก. พยาบาลวิชาชีพเฝ้าไข้ แต่ นาง ข. มาเฝ้าไข้แทน โดยผู้จ้าง เข้าใจว่าเป็น นาง ก. สัญญานี้ถือเป็นโมะะ
2. โมฆียกรรม
หมายถึง การทานิติกรรมที่มีผลสมบูรณ์ในขณะกระทา แต่สามารถบอกล้างหรือ ปฏิเสธนิติกรรมโดยผู้เสียหายในระยะเวลาที่กฎหมายกาหนด มีผลให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมะะตั้งแต่เริ่มแรก เสมือนไม่ได้ทานิติกรรมใด
2.1 ความสามารถของบุคคล
นิติกรรมใดที่ไม่เป็นไปตามข้อกาหนดของกฎหมายเป็นโมะียะ
2.2 การแสดงเจตนาโดยวิปริต
การแสดงเจตนาโดยสาคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน
การแสดงเจตนาโดยการฉ้อฉล
การแสดงเจตนาโดยการข่มขู
โมฆะกรรม หมายถึง ความเสียเปล่าของนิติกรรม ที่กระทาตั้งแต่ต้น จึงไม่ก่อให้เกิดการ เคลื่อนไหวสิทธิและหน้าที่ของคู่กรณีที่กระทานิติกรรม
3. การบังคับชาระหนี้
เป็นการชาระเงิน ส่งมอบทรัพย์สิน กระทาการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อใช้ หนี้ หรืองดกระทาการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อใช้หนี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพหนี้
4. การชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทน
หมายถึง การที่กฎหมายรับรองและคุ้มครอง : สิทธิผู้เสียหายให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมมากที่สุด โดยการคืนทรัพย์สิน การใช้ราคาทรัพย์สิน หรือค่าเสียหาย
ความรับผิดทางแพ่งที่เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
1. การกระทาต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย
หมายถึง การประทุษกรรม หรือกระทำต่อผู้อื่นโดย ผิดกฎหมายด้วยการฝ่าฝืนข้อห้าม หรือละเว้นการกระทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายบัญญัติให้กระทา งดเว้นในสิ่งที่ตน มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องกระทา การใช้สิทธิที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย หรือละเมิดสิทธิของผู้อื่นที่ไม่ยินยอมต่อการ กระทำนั้น โดยจงใจหรือประมาท
2. การกระทำโดยจงใจหรือประมาทÅ
การกระทำโดยจงใจ
หมายถึง การกระทำที่ตั้งใจหรือเจตนาโดยผิดกฎหมาย ไม่มีสิทธิหรือใช้
สิทธิเกินขอบเขต ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
การกระทำโดยประมาทเลินเล่อ
หมายถึง การกระทำโดยมิได้จงใจ แต่กระทำโดยปราศจาก ความระมัดระวังในระดับวิญญูชน
3. ทำให้บุคคลอื่นเสียหาย
การกระทาที่ทำให้บุคคลอื่นขาดประโยชน์ที่เคยได้รับ หรือ ได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สินและสิทธิต่างๆ
บุคคลต้องร่วมรับผิดกับผู้กระทำ
นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งการละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปตามที่ว่าจ้าง
ตัวการต้องรับผิดชอบผลแห่งการละเมิดของตัวแทนที่ได้กระทำไปภายในของเขตอำนาจของ ตัวแทน ซึ่งกระทำตามที่ตัวการมอบหมาย
บิดามารดาของผู้เยาว์หรือผู้อนุบาลของผู้วิกลจริต ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ ผู้เยาว์หรือผู้วิกลจริตกระทำ
text
เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่า ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในหน้าที่การดูแล
ครูบาอาจารย์ นายจ้างหรือบุคคลอื่น ซึ่งรับดูแลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ หรือชั่วครั้งคราว จะต้องร่วมรับผิดกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด
อายุความ คื
อ ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้บุคคลมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายภายในระยะเวลาที่
กฎหมายกาหนด ถ้าผู้เสียหายใช้สิทธินั้นร้องเรียนต่อศาลเกินระยะเวลาที่กาหนด ศาลจะมีคำสั่งยกฟ้องได้ เนื่องจากคดีขาดอายุความ ทั้งนี้ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการละเมิดภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้เรื่องการละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำละเมิด และไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันทำละเมิด
กฎหมายอาญาสาหรับพยาบาลและการกระทาความผิดที่พบบ่อย
กฎหมายอาญาเ
ป็นกฎหมายมหาชน ซึ่งบัญญัติว่าการกระทาใดเป็นความผิด และกาหนดโทษอาญาแก่ ผู้ฝ่าฝืน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมความประพฤติของบุคคลให้อยู่ในสังคมด้วยความสงบเรียบร้อย รักษา โครงสร้างของสังคมให้มั่นคง คุ้มครองความปลอดภัย
ประเภทของความรับผิดทางอาญา
1. ความผิดต่อแผ่นดิน
เป็นความผิดที่สำคัญและร้ายแรง มีผลกระทบต่อผู้เสียหายและสังคมส่วนรวม
2. ความผิดต่อส่วนตัว
เป็นความผิดที่ไม่ร้ายแรง มีผลกระทบต่อผู้เสียหายฝ่ายเดียว และ กฎหมายบัญญัติประเภทไว้ชัดเจน
ลักษณะสาคัญของความรับผิดทางอาญา
1. ต้องมีบทบัญญัติความผิด
และกำหนดโทษไว้โดยชัดแจ้ง กล่าวคือ ในขณะที่กระทำผิด ต้อง มีกฎหมายบัญญัติความผิดและโทษเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน
2. ต้องตีความเคร่งครัดตามตัวอักษร
การตีความ หมายถึง การถอดความหมายของข้อความ หรือศัพท์ต่างๆ ในบทบัญญัติออกมา เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น โดยใช้ภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจ
3. ไม่มีผลย้อนหลังที่เป็นโทษ
หมายถึง จะไม่มีผลในการเพิ่มโทษแก่บุคคล หากขณะกระทำยัง ไม่มีกฏหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด แม้ต่อมาภายหลังมีกฎหมายบัญญัติว่าการการกระทำอย่าง เดียวกันนั้นจะเป็นความผิด ศาลหรือผู้พิพากษาจะนำกฎหมายใหม่มาใช้บังคับลงโทษผู้กระทำผิดไม่ได้
หลักเกณฑ์ความรับผิดทางอาญา
1. การกระทำ
หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกาย หรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย โดยรู้สำนึกและอยู่ ภายใต้การบังคับของจิตใจ
2. กฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดและกำหนดโทษ
ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของ ความรับผิดตามกฎหมายอาญา ที่สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหา หรือจำเลยไม่มีความผิดจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
3. กระทำโดยเจตนา
ประมาท หรือไม่เจตนา ความผิดทางอาญานอกจากมีการกระทำที่เป็น องค์ประกอบภายนอกแล้ว กฎหมายยังคานึงถึงองค์ประกอบภายใน
การกระทาโดยประมาท (Negligence)
หมายถึง การกระทาโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะนั้นต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทาไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเพียงพอ
วิสัย
หมายถึง ลักษณะที่เป็นอยู่ของบุคคลผู้กระทำ หรือสภาพภายในตัวผู้กระทำ โดย คานึงถึงอายุ เพศ การศึกษา ประสบการณ์ อาชีพ
พฤติการณ์
หมายถึง ข้อเท็จจริงประกอบการกระทำหรือเหตุภายนอกของผู้กระทำ เช่น สภาพแวดล้อม แสงสว่าง ความพร้อมของอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ โดยเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อมที่ ใกล้เคียงกัน
การกระทำโดยไม่เจตนา
หมายถึง การกระทำที่ผู้กระทำไม่ได้ตั้งใจให้เกิด และไม่คาดคิดว่า จะเกิดจากการกระทำนั้น แต่ผลลัพธ์ที่เกิดมากกว่าตั้งใจ เมื่อกฎหมายบัญญัติไว้ว่าการกระทำในลักษณะ เช่นนั้นต้องรับโทษ ผู้กระทำก็ต้องรับผิดด้วย
4. เหตุยกเว้นความรับผิดทางอาญา
การกระทำของบุคคลที่เป็นความผิดทางอาญา หาก กฎหมายระบุเหตุเพื่อยกเว้นความรับผิด ยกเว้นโทษ หรือลดหย่อนโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง
4.1 เหตุยกเว้นความรับผิด
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ได้แก่กรณีที่บุคคลจาต้องกระทาเพื่อป้องกัน ตนเองหรือผู้อื่น ให้พ้นจากอันตรายจากการประทุษร้ายที่ใกล้ถึงตัว และกระทาไปพอสมควรแก่เหตุ
ผู้เสียหายยินยอม
ให้กระทำความผิดทางอาญาบางประเภทหากผู้เสียหายยินยอมให้ กระทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เกิดจากการข่มขู่ รวมทั้งไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
4.2 เหตุยกเว้นโทษ
- กระทำด้วยความจาเป็น
เป็นการกระทำเพราะเหตุถูกบังคับหรืออยู่ภายใต้นำนาจ ของใครหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืน และกระทำด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนเองหรือ ผู้อื่นพ้นอันตรายที่ใกล้ถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่น
การกระทำผิดเพราะความบกพร่องทางจิต
หมายถึงบุคคลกระทำผิดขณะที่ไม่ สามารถรับผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะเป็นโรคจิต จิตบกพร่อง จิตฟั่นเฟือน
- การกระทำตามคาสั่งของเจ้าพนักงาน
เจ้าพนักงานในที่นี้หมายถึงบุคคลที่กฎหมาย บัญญัติว่าเป็นเจ้าพนักงาน และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติในตำแหน่งราชการเป็นประจำหรือเป็นครั้งคราว
- การกระทำของเด็กอายุไม่เกิน10ปี
ตามหลักกฎหมายถ้าเด็กอายุน้อยกว่า10ปี กระทำความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ (
4.3 เหตุลดหย่อนโทษ
- การกระทำความผิดโดยไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด
- การกระทำโดยบันดาลโทสะ
หมายถึง การที่บุคคลกระทำความผิด เพราะความกดดัน จากการถูกข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมจนเป็นเหตุให้บันดาลโทสะ
- เหตุอื่นๆ
ในการลดหย่อนหรือบรรเทาโทษ ได้แก่ เป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญา ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีความดีมาก่อน รับสารภาพผิด เป็นพยานหรือให้ความรู้แก่ศาลซึ่งเป็น ประโยชน์ต่อรูปคดี
5. อายุความ
5.1 อายุความฟ้องคดีทั่วไป
ระยะเวลาของอายุความแปรตามอัตราโทษตามความผิด เช่น อายุความ 20 ปี สำหรับความผิดต้องระวางโทษประหารชีวิต จาคุกตลอดชีวิต หรือ 20 ปี และ อายุความ 1 ปี สาหรับความผิดลหุโทษ
5.2 อายุความฟ้องคดีความผิดอันยอมความได้
เช่น ความผิดฐานบุกรุกหรือหมิ่นประมาท กฎหมายกำหนดให้ผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิด
โทษทางอาญา
1. โทษประหารชีวิต
เป็นโทษสูงสุด สำหรับลงโทษผู้กระทำความผิดคดีอุกฉกรรจ์ ปัจจุบัน วิธีการประหารชีวิตได้เปลี่ยนแปลงจากเดิม จากการยิงเป้าที่แดนประหารเป็นการฉีดยาหรือสารพิษเข้าร่างกาย จนเสียชีวิต
2. โทษจาคุก
เป็นโทษจำกัดเสรีภาพของนักโทษที่ถูกควบคุมไว้ในเรือนจำ ตามระยะเวลาที่ กำหนดไว้ในคาพิพากษา ในบางกรณีแม้จาเลยกระทาผิดแต่ศาลอาจให้รอการลงโทษ
3. โทษกักขัง
เป็นโทษที่เปลี่ยนจากโทษอย่างอื่นมาเป็นโทษกักขัง ได้แก่ เปลี่ยนโทษจาคุกไม่
เกิน 3 เดือน (ปอ. มาตรา 23) โทษปรับแล้วไม่ชาระค่าปรับ (ปอ. มาตรา 29) ขัดขืนคาพิพากษาของศาลให้ริบ ทรัพย์สิน (ปอ. มาตรา 37) ไม่ยอมทาทัณฑ์บน หรือหาหลักประกันไม่ได้ (ปอ. มาตรา 46) และไม่ชาระเงิน ตามที่ศาลสั่งเมื่อกระทาผิดทัณฑ์บน (ปอ. มาตรา 47)
4. โทษปรับ
การเสียค่าปรับ คือ การชำระเงินต่อศาลตามจำนวนที่ศาลกำหนดไว้ในคำพิพากษา
5. โทษริบทรัพย์สิน
ศาลมีอานำจสั่งริบทรัพย์สิน
ลหุโทษ
ความผิดที่ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ความรับผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติการพยาบาล
1. ความประมาทในการประกอบวิชาชีพ (Malpractice / Professional negligence / Professional misconduct)
หมายถึง การกระทำหรือการพยาบาลโดยขาดความระมัดระวัง หรือไม่ได้ใช้ ความระมัดระวังเพียงพอตามวิสัยของวิชาชีพ จนเกิดความเสียหายอันตรายต่อสุขภาพหรือชีวิตแก่ผู้ใช้บริการ
1) ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ (Failure to follow standard of care)
2) ใช้เครื่องมือ/อุปกรณ์การแพทย์ไม่ถูกต้อง (Failure to use equipment in a responsible manner)
3) ความบกพร่องด้านการสื่อสาร (Failure to communication)
4) ความบกพร่องด้านการบันทึก (Failure to document)
5) ความบกพร่องด้านการประเมินและเฝ้าระวังอาการ (Failure to assess and monitor)
6) ความบกพร่องด้านการไม่พิทักษ์สิทธิของผู้ป่วย (Failure to act as patient advocate)
ความประมาทในการประกอบวิชาชีพกับการปฏิเสธการรักษา
:
1) ประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายเล็กน้อยแก่ร่างกายหรือจิตใจ
2) ประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท
เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถสืบพันธุ์
เสียแขน ขา มือ เท้านิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด
หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว
แท้งลูก
จิตพิการอย่างเต็มตัว
ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยเรื้อรัง
ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า20วัน
3) ประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย
2. การทอดทิ้งหรือละเลยผู้ป่วย
3. การเปิดเผยความลับของผู้ป่วย (Confidential disclosure)
1) รู้ความลับผู้อื่นมาเนื่องจากการประกอบอาชีพหรือจากการศึกษาอบรม
2) เปิดเผยความลับนั้น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
3) ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
4. การปฏิเสธความช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายต่อชีวิต
5. ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร: การปลอมเอกสารและการทาหรือรับรองเอกสารเท็จ
5.1 ความผิดฐานปลอมเอกสาร
1) ทาเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือบางส่วน เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วย ประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2) นาเอกสารปลอมที่ทาขึ้นไปใช้ในทางที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
3) ความผิดฐานปลอมเอกสาร รวมถึงผู้ที่กรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่น
5.2 ความผิดฐานทาหรือรับรองเอกสารเท็จ
1) เป็นผู้ทาคารับรองเป็นเอกสารเท็จ หรือเป็นผู้ใช้หรืออ้างคารับรองนั้นโดยทุจริต
2) ใช้เอกสารเท็จนั้นในทางที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชน
3) ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
6. การทาให้หญิงแท้งลูก (Induced abortion)
6.1 การทาให้ตนเองแท้งลูก
6.4 การพยายามทาให้หญิงแท้งลูก
6.3 การทาให้หญิงแท้งลูกโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม
6.5 การทาให้หญิงแท้งที่ถูกกฎหมาย
ประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้อง
มาตรา ๒
บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทาการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทา
นั้นบัญญัติเป็นความผิดและกาหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทาความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ใน กฎหมาย
มาตรา ๑๘ โทษสาหรับลงแก่ผู้กระทาความผิดมีดังนี้
(๑) ประหารชีวิต
(๒) จาคุก
(๓) กักขัง
(๔) ปรับ
(๕) ริบทรัพย์สิน
มาตรา ๑๙ ๑๖ ผู้ใดต้องโทษประหารชีวิต ให้ดาเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย
มาตรา ๒๓ ผู้ใดกระทาความผิดซึ่งมีโทษจาคุก และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจาคุกไม่เกินสาม เดือน ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจาคุกมาก่อน
มาตรา ๒๘ ผู้ใดต้องโทษปรับ ผู้นั้นจะต้องชาระเงินตามจานวนที่กาหนดไว้ในคาพิพากษาต่อศาล
มาตรา๒๙๒๐ ผู้ใดต้องโทษปรับและไม่ชาระค่าปรับภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ผู้นั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินเพื่อใช้ค่าปรับ
มาตรา ๓๐ ๒๒ ในการกักขังแทนค่าปรับ ให้ถืออัตราห้าร้อยบาทต่อหนึ่งวัน และไม่ว่าในกรณี ความผิดกระทงเดียวหรือหลายกระทง ห้ามกักขังเกินกาหนดหนึ่งปี เว้นแต่ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ปรับตั้งแต่ สองแสนบาทขึ้นไป ศาลจะสั่งให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลาเกินกว่าหนึ่งปีแต่ไม่เกินสองปีก็ได้
มาตรา ๓๐/๑ ในกรณีที่ศาลพิพากษาปรับ ผู้ต้องโทษปรับซึ่งมิใช่นิติบุคคลและไม่มีเงินชาระ ค่าปรับอาจยื่นคาร้องต่อศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีเพื่อขอทางานบริการสังคมหรือทางานสาธารณประโยชน์แทน ค่าปรับ หรือถ้าความปรากฏแก่ศาลในขณะที่พิพากษาคดีว่าผู้ต้องโทษปรับรายใดอยู่ในเกณฑ์ที่จะทางาน บริการสังคมหรือทางานสาธารณประโยชน์ตามมาตรานี้ได้ และถ้าผู้ต้องโทษปรับยินยอม ศาลจะมีคาสั่งให้ผู้ นั้นทางานบริการสังคมหรือทางานสาธารณประโยขน์แทนค่าปรับก็ได้ ๒๓
มาตรา ๓๐/๒ ๒๔ ถ้าภายหลังศาลมีคาสั่งอนุญาตตามมาตรา ๓๐/๑ แล้ว ความปรากฏแก่ศาล เองหรือความปรากฏตามคาแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่าผู้ต้องโทษปรับมีเงินพอชาระค่าปรับได้ในเวลาที่ ยื่นคาร้องตามมาตรา ๓๐/๑ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งหรือเงื่อนไขที่ศาลกาหนด ศาลจะเพิกถอนคาสั่ง อนุญาตดังกล่าวและปรับ หรือกักขังแทนค่าปรับ โดยให้หักจานวนวันที่ทางานมาแล้วออกจากจานวนเงิน ค่าปรับก็ได้
มาตรา ๓๐/๓๒๕ คาสั่งศาลตามมาตรา ๓๐/๑ และมาตรา ๓๐/๒ ให้เป็นที่สุด
มาตรา ๓๒ ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า ผู้ใดทาหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ริบเสียทั้งสิ้น
ไม่ว่าเป็นของผู้กระทาความผิด และมีผู้ถูกลงโทษตามคาพิพากษาหรือไม่
มาตรา ๓๓ ในการริบทรัพย์สิน นอกจากศาลจะมีอานาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะ แล้ว ให้ศาลมีอานาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย ค
มาตรา ๓๗ ถ้าผู้ที่ศาลสั่งให้ส่งทรัพย์สินที่ริบไม่ส่งภายในเวลาที่ศาลกาหนด ให้ศาลมีอานาจสั่ง ดังต่อไปนี้
(๑) ให้ยึดทรัพย์สินนั้น
(๒) ให้ชาระราคาหรือสั่งยึดทรัพย์สินอื่นของผู้นั้นชดใช้ราคาจนเต็ม หรือ
(๓) ในกรณีที่ศาลเห็นว่า ผู้นั้นจะส่งทรัพย์สินที่สั่งให้ส่งได้ แต่ไม่ส่ง หรือชาระราคาทรัพย์สินนั้น ได้ แต่ไม่ชาระ ได้ แต่ไม่ชาระ
มาตรา ๔๖๒๗ ถ้าความปรากฏแก่ศาลตามข้อเสนอของพนักงานอัยการว่าผู้ใดจะก่อเหตุร้ายให้ เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น
มาตรา ๔๖๒๗ ถ้าความปรากฏแก่ศาลตามข้อเสนอของพนักงานอัยการว่าผู้ใดจะก่อเหตุร้ายให้ เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น หรือจะกระทาการใดให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมหรือ ทรัพยากรธรรมชาติตามกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ
มาตรา ๔๗ ถ้าผู้ทาทัณฑ์บนตามความในมาตรา ๔๖ กระทาผิดทัณฑ์บน ให้ศาลมีอานาจสั่งให้ ผู้นั้นชาระเงินไม่เกินจานวนที่ได้กาหนดไว้ในทัณฑ์บน ถ้าผู้นั้นไม่ชาระให้นาบทบัญญัติในมาตรา ๒๙ และ มาตรา ๓๐ มาใช้บังคับ
มาตรา ๕๙ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทาโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทา โดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทาโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมาย บัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทาโดยไม่มีเจตนา
มาตรา ๖๔ บุคคลจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นจากความรับผิดในทางอาญาไม่ได้ แต่ถ้า ศาลเห็นว่า ตามสภาพและพฤติการณ์ ผู้กระทาความผิดอาจจะไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าการกระทานั้นเป็น ความผิด ศาลอาจอนุญาตให้แสดงพยานหลักฐานต่อศาล และถ้าศาลเชื่อว่า ผู้กระทาไม่รู้ว่ากฎหมายบัญญัติไว้ เช่นนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
มาตรา ๖๕ ผู้ใดกระทาความผิด ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสาหรับความผิดนั้น
มาตรา ๖๘ ผู้ใดจาต้องกระทาการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่ง เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทาพอสมควรแก่เหตุ การกระทานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
มาตรา ๗๐ ผู้ใดกระทาตามคาสั่งของเจ้าพนักงาน แม้คาสั่งนั้นจะมิชอบด้วยกฎหมาย ถ้า ผู้กระทามีหน้าที่หรือเชื่อโดยสุจริตว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ เว้นแต่จะรู้ว่าคาสั่งนั้นเป็น คาสั่งซึ่งมิชอบด้วยกฎหมาย
มาตรา ๗๒ ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทา ความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกาหนดไว้สาหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ ได้
มาตรา๗๓๓๓ เด็กอายุยังไม่เกินสิบปีกระทาการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดเด็กนั้นไม่ต้อง รับโทษ
มาตรา ๙๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๙๕ ในกรณีความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทาความผิด เป็นอันขาดอายุความ
มาตรา ๑๐๒๔๒ ความผิดลหุโทษ คือ ความผิดซึ่งต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับ ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
มาตรา ๒๖๔ ผู้ใดทาเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ
มาตรา ๒๖๙ ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาแพทย์ กฎหมาย บัญชีหรือวิชาชีพอื่นใด ทาคา รับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษ จาคุกไมเ่ กินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
มาตรา ๒๗๖๙๔ ผู้ใดข่มขืนกระทาชาเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กาลัง ประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทาให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท
มาตรา ๒๗๗ ๙๕ ผู้ใดกระทาชาเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดย เด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสี่แสน บาท
มาตรา ๒๗๗ ทวิ๙๖ ถ้าการกระทาความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๒๗๗ วรรค หนึ่งหรือวรรคสาม เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทา
มาตรา ๒๘๒๑๐๒ ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการ อนาจารซึ่งชายหรือหญิง แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๒๘๓๑๐๓ ผู้ใดเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อการ อนาจารซึ่งชายหรือหญิง โดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กาลังประทุษร้าย ใช้อานาจครอบงาผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่ แสนบาท
มาตรา ๒๘๘ ผู้ใดะ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จาคุกตลอดชีวิต หรือจาคุกตั้งแต่สิบห้าปี ถึงยี่สิบปี
มาตรา ๒๘๔๑๐๕ ผู้ใดพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญ ใช้กาลัง ประทุษร้าย ใช้อานาจครอบงาผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
มาตรา ๒๙๑ ผู้ใดกระทาโดยประมาท และการกระทานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้อง ระวางโทษจาคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท
มาตรา ๓๗๓ ผู้ใดควบคุมดูแลบุคคลวิกลจริต ปล่อยปละละเลยให้บุคคลวิกลจริตนั้นออกเที่ยว ไปโดยลาพัง ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท
มาตรา ๓๙๐ ผู้ใดกระทาโดยประมาท และการกระทานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจาทั้งปรับ
นางสาวจันจิรา ผ่านดาวเทียม 6001210880 sec B
เลขที่ 37