Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน - Coggle Diagram
ยาต้านโรคมะเร็งและยากดภูมิคุ้มกัน
ยาต้านโรคมะเร็ง (Antineoplastic drugs)
อธิบาย
เซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งจะมีวงจรการแบ่งเซลล์
3.S phase
เป็นระยะที่เซลล์ทำการสร้างและสังเคราะห์ DNA ให้เพิ่มขึ้นเท่าตัว
4.G2 phase
เป็นระยะที่เซลล์สร้างองค์ประกอบต่างๆ เพื่อใช้ในการแบ่ง DNA
2.G1 phase
เป็นระยะแรกที่เซลล์เริ่มเข้าสู่การแบ่งตัว
5.M phase
เป็นระยะที่โครโมโซมหนาตัวขึ้นและเซลล์มีการแบ่งตัวแบบ mitosis มีการแบ่งแยกไมโมโซมออกเป็น 2เซลล์ที่มีองค์ประกอบเหมือนกันและเท่ากัน
1.G0 phase
เป็นระยะพักของเซลล์
การแบ่งประเภทยาตามการออกฤทธิ์ในวัฏจักรเซลล์มะเร็ง ได้เป็น 2 ประเภท คือ
จะสามารถแบ่งยา chemotherapy เป็นได้ 6 กลุ่มดังนี้
3.ยากลุ่ม Antimetabolites
4.ยากลุ่มสารสกัดจากพืชธรรมชาติ (Natural and semi-synthetic products)
2.ยากลุ่ม Antimetabolites
5.ยากลุ่มฮอร์โมน (Hormone and hormone antagonists
1.ยากลุ่ม Alkylating agents
6.ยากลุ่มอื่นๆ (Enzyme and adrenolytic)
Cell cycle-specific drugs (CC)
เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อเซลล์ที่อยู่ในระยะใดระยะหนึ่งของวงจรเซลล์เท่านั้น ไม่มีผลต่อเซลล์ในระยะอื่น ยากลุ่มนี้ใช้ได้ผลดีในมะเร็งที่มีอัตราการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วหรือมีการแบ่งอย่างต่อเนื่อง
Cell cycle-nonspecific drugs (CCNS)
เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ทุกระยะในวงจรของเซลล์ ยากลุ่มนี้ใช้ได้ผลดีในมะเร็งที่มีอัตราการโตของของก้อนมะเร็งทั้งต่ำและสูง
มะเร็ง(Cancer) คือกลุ่มของโรคที่เกิดจากความผิดปกติของรหัสสารพันธุกรรม ส่งผงให้เกิดการเจริญเติบโตหรือการเพิ่มจำนวนเซลล์เป็นไปอย่างรวดเร็วมากกว่าปกติ
ยาต้านโรคมะเร็ง (Antineoplastic drugs)
4.ยากลุ่มสารสกัดจากพืชธรรมชาติ (Naturl and semi-synthetic products)
4.1ยากลุ่ม vinca alkaloids
4.1.2 Vinblastine (Velban)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองทั้งชนิด Hodgkin’s และ non-Hodgkin lymphoma
4.1.3 Vinorelbine- Navelbine
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
ใช้รักษา non-small cell lung cancer และมะเร็งเต้านม
4.1.1.Vincristine (VCR): Oncovin
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด acute lymphocytic leukemia
ผลข้างเคียงจากยากลุ่มยา vinca alkaloids
ผลข้างเยงอื่นที่พบบ่อยคือ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
อาจพบการอักเสบของหลอดเลือดดำ(phlebitis)บริเวณที่ให้ยา
Vincistine มีพิษต่อระบบประสาท vinorelbine กดไขกระดูกมากกว่า vincristine
กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่ม vinca alkaloids:
ยาจะไปจับกับโปรตีน tobulin ทำให้การยับยั้งการประกอบ microtubules
4.2 ยากลุ่ม taxanes ได้แก่ Paclitaxel/แพคลิอท๊กเซิล (Taxol, แทกซอล) และ Docetaxel/โดซีแท็กเซล (Taxotere,แทกโวเทีย)และ Cabazitaxel(คาบาซิแท็กเซิล)
การนำไปใช้รักษาในคลินิกของยากลุ่ม taxanes:
เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้รักษามะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งที่ศีรษะและคอ (head and neck cancers
ผลข้างเคียงของยากลุ่ม taxanes
กดไขกระดูก ทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดต่ำ
Paclitaxel ถ้าใช้หลายครั้งอาจทำให้เกิดภาวะคั่งน้ำในร่างกาย (fluid retention)
ปฏิกิริยาแพ้ยา เช่น ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก
ผลต่อทางเดินอาหาร
อวัยวะส่วนปลายบวม
ปลายประสาทผิดปกติ
กลไกการออกฤทธิ์ของยากลุ่ม taxanes
:ยาจะไปจับกับ B-tubulin ทำให้เพิ่มการก่อตัวเป็น microtubules แต่การยับยั้งการสลายของสาย microtubules
6.ยามะเร็งมุ่งเป้า (Targeted gene therapy)
ยามุ่งเป้า เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง โดยการไปยับยั้งสัญญาณที่ทำให้เซลล์มะเร็งเพิ่มจำนวนและเจริญเติบโตยามุ่งเป้าแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
6.1ยาโมโนโคลนอลแอลติบอดี (Monoclonal antibodies)
6.1.2 Rituximab (Rituxan)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด B-cell lymphoma
ผลข้างเคียงจากยา Rituximab (Rituxan):
อาจทำให้เกิด infusion reaction ซึ่งเป็นอัตราถึงชรวิต,dfw-ditf&d
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาไปจับกับ CD20 ที่ผิว B cell ได้ หลังจากที่จับกันแล้วจะกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันให้มากำจัดเซลล์มะเร็ง เกิดการตายของเซลล์มะเร็งในที่สุด
6.1.4Alemtuzumab (Campath)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก :
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด B-cell
ผลข้างเคียงจากยา Alemtuzumab (Campath):
อาจทำให้เกิด infusion reaction ซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต, กดไขกระดูก
กลไกการออกฤทธิ์ :
ไปจับกับ CD52 ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบได้ในเซลล์ปกติและเซลล์มะเร็งชนิด B-cell หรือ T cell
6.1.1.Trastuzumab (Herceptin)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก:
ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปแล้ว
ผ
ลข้างเคียงจากยา Trastuzumab (Herceptin):
อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวคั่ง (congestive heat failure)
กลไกการออกฤทธิ์ :
ยาจะไปจับจับ human epidermoid growth factor recptor 2 (HET-2)
6.1.3.Cetuximab (Erbitux)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
ใช้รักษา มะเร็งบรอเวณศีรษะและลำคอ และมะเร็งลำไส้ส่วนกลาง
ผลข้างเคียงจากยา (Cetuxtux):
ในระยะแรก อาจทำให้ความดันต่ำ และหายใจลำบากได้
กลไกการออกฤทธิ์ :
ซึ่งไปจับที่ epidermal growth facor (EGFR)ทำให้ไม่สามารถรับสัญญาณที่จะไปกระตุ้น การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
6.2 ยาโมเลกุลขนาดเล็ก (Small molecules)
กลไกการออกฤทธิ์ยากลุ่ม Small molecules:
ยาไปยับยั้งเอนไซม์ไคเนส (tyrosine kinase)เอนไซม์นี้มีความสำคัญในการส่งสัญญาณให้เซลล์มะเร็งเกิดการแบ่งเซลล์
6.2.2 Dasatinib (Sprycel)
การนำไปใช้ทางคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด chronic myeloid leukemia และ acute lymphoblastic leukemia
6.2.3 Nilotinib (Tasigna)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก: ใช้รักษา chronic myeloid leukemia
ปฏิกิริยาระหว่างยา
6.2.1 Imatinib (Gleevec)
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก:
ใช้รักษา gastrointinal stromal tumor ซึ่งเป็นมะเร็งลำไส้ที่พบได้น้อยชนิดหนึ่งและมะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemia)
3.ยากลุ่ม Anticancer antibiotics
เป็นสารที่สกัดมาจากเชื้อราดีที่เรียกว่า Streptomyces ยามีผลต่อเซลล์ในทุกระยะ จึงทำให้ยามีผลข้างเคียงมาก กลไกของยา คือ ยอดจะไปรบกวนเมแทบอลิซึมของ DNA โดยสอดแทรกเข้าไปในสาย DNA
3.3 Bleomycin
กลไกการออกฤทธิ์ :
ออกฤทธิ์โดยจับกับธาตุเหล็ก(FE2+)ได้เป็นสารประกอบเชิงซ้อนของยากับธาตุเหล็กซึ่งทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้อนุมูลอิสระ
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ฉีดเข้ากล้างเนื้อ ฉีดชั้นใต้ผิวหนัง
3.4 Mitomycin
กลไกการออกฤทธิ์ :
ยาถูกเปลี่ยนในเซลล์ไปเป็นสาร Alklating agents ทีมีฤทธิ์แรงมาก
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
ใช้รักษามะเร็งปากมดลูก (carcinoma of cervix) มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งลำไส้ใหญ่
3.2 Doxorubicin (DOX): ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Anthracyclines
กลไกการออกฤทธิ์:
มีหลายกลไก เช่น ยับยั้ง topoisomerase 2 แทรกไปอยู่ระหว่าง DNA base pairs
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ (หากเป็นยารับประทานยาจะถูกทำลายในกระเพราะอาหาร)
ผลค้างเคียงจากยากลุ่มยา Anticancer antbiotice
ยาMitomycin ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อไต
ยากดการทำงานของกระดูก (bone marrow suppression)
ยา bleomycin มีพิษต่อปอด (pulmonary toxicity)
รบกวนทางเดินอาหาร มรอาการเบื่ออาหารคลื่นไส้ และอาเจียนได้
ยา doxorubicin มีพิษต่อหัวใจ (cardiotxicity)
ผิวหนังไวต่อการฉายรังสี เยื่อบุในช่องปากอักเสบ และผมร่วง
หากยารั่วออกนอกหลอดเลือด (ezxtravasation )ทำห้ผิวหนังบริเวณรอบๆตาย
3.1 Dactinomycin หรือ actinomycin D
กลไกการออกฤทธิ์ :
สอดแทรกเข้าไปในสาย DNA ยับยั้ง RNA polymerase ทำให้สาย single-strand ของ DNA แตก
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ ใช้ร่วมกับยา Vincristine
7.ยากลุ่มอื่นๆ (Oter anticancer agents)
7.1 Asparaginase
การนำไปใช้รักษาทางคลินิก :
ใช้ในการรักษา ALL ในเด็กโดยใช้ร่วมกับ Vincristine และ Prednisone
ผลข้างเคียงจากยา Asparagnase:
อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ที่รุนแรง อาจทำให้เสียชีวิตได้
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาจะไปเร่งปฏิกิริยา hydrolysis ทำให้เซลล์มะเร็งขาดสารจำเป็นที่จะเป็นที่จะนำไปสร้างการเจริญเติบโตและสร้างโปรตีน
7.2 Mitotane
กลไกการออกฤทธิ์:
รบกวนการทำงานของไมโตครอนเตรียในเซลล์ต่อมหมวกไตชั้นนอก ทำให้ฝ่อลงและลดการสร้าง cortisol
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งต่อมหมวกไตชั้นนอก(Adrenocortical carcinoma)
ผลข้างเคียงจากยา Mitotane:
อาจทำให้เกิดการซึมเศร้า (Depression)มีศีรษะ (Dizziness)มีผื่น (Skin rash) รบกวนทางเดินอาหาร
2. ยากลุ่ม Antimetabolites/antineoplastic agents
มีฤทธิ์ต้านมะเร็งโดยการไปยับยั้งกรทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ DNA
2.3Pyrimidine analogs
2.3.3 Cytarabine
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาจะไปเติมหมู่ฟอสเฟต ทำให้เกิดการยับยั้งการเชื่อมต่อสายของสาย DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ นิยมใช้การหยดแบบช้าๆเป็นเวลา 5 - 7 วัน
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด AML
2.3.4 Gemcitabine
กลไกการออกฤทธิ์:
เมื่อยาเข้าสู่เซลล์ แกจะถูกกระตุ้นให้มีการเติมหมู่ฟอสเฟต จะเข้าไปแทรกกระบวนการเชื่อมจากของสาย DNA เกิดการยับยั้งการสร้าง DNA
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ชนิดยาฉีดทางหลอดเลือดดำใช้รักษามะเร็งตับอ่อนที่แพร่กระจายไปแล้ว มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และมะเร็งที่ศีรษะและคอ
2.3.2 Capectibine
กลไกการออกฤทธิ์:
คล้ายกับ 5-FU
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
เป็นยาชนิดเม็ดรับประทาน ใช้รักษาเพื่อบรรเทาอาการ (palliative treatment)
ผลข้างเคียงจากยาคุม Pyrimidine analogs
-กดการสร้างเม็ดเลือด (myelosuppression)
-มีแผลในทางเดินอาหารตั้งแต่ที่ริมฝีปาก
-อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนพะอืดพะอมหรืออาการท้องเสีย
-อาการอ่อนเพลียไม่มีแรง
-มีการลอกของความรู้และฝ่าเท้าเมื่อใช้ยาติดต่อเป็นเวลานาน
-ผิวหนังจะถูกแสงแดดเผาได้ง่าย
-ผมร่วงแต่ผมจะงอกขึ้นใหม่หลังหยุดยา
2.3.15-fluorouracil (5-FU)
กลไกการออกฤทธิ์:
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Thymidyate synthase
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
ชนิดยาฉีดทางหลอดเลือดดำ (ยาเป็นพิษต่อทางเดินอาหารเมื่อให้โดยการกิน) รักษามะเร็งเต้านม มะเร็งทางเดนอาหาร
2.2Purine analogms : 6-mercPTOPURINE
(6-เมอร์แคปโตพีวรีน;,6MP),6-thioguanine (6-ไทโอกวัวนีน;,6-TG),Fludarabine (ฟลูแดราบีน)
2.2.2 ยา 6-thioguanine (6-TG)
กลไกการออกฤทธิ์ :
คล้ายกับ 6-MP
การในไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ANLL หรือ AML โดยใช้ร่วมกับยา Daunorubicin และ Cytarabine
2.2.3 ยาFludarabine
กลไกการออกฤทธิ์ :
เข้าไปแทรกกระบวนการเชื่อมจับของสาย DNA เกิดการยับยั้งการสร้างDNA
การในไปใช้รักษาในคลินิก :
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำ เนื่องจากสารพิษต่อทางเดินอาหารมาก
ผลข้างเคียงจากยากลุ่มยา Purine analogs
กดไขกระดูก ขนาดยาที่สูงจะทำให้เกิด Leucopenia
มีแผลในปาก หรือ ริมฝีปาก แจบรรเทาด้วยการอมน้ำแข็ง และการรักษาช่องปากให้สะอาดด้วยการแปลงฟัน
อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ แต่พบไม่บ่อย เช่น อุจจาระสีดำ ปัสสาวะหืออุจจาระเป็นเลือด
2.2.1ยา 6-mercaptopurine (6-MP)
กลไกการออกฤทธิ์ :
เป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายเบสเพียวรีน(purine analog) ซึ่งเป็นยาชนิดแรกในกลุ่มนี้ที่นำมาใช้รักษาโรคมะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
เป็นยาเม็ดรับประทาน ใช้รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด ALL (acute lympholytic leukemia)
2.1Antifolata/Folata antagonist: Methotrexte (เมโธเทรกเซท),Pemetrexed(เพมิเทรกเซด)
2.1.1Methotrexate(MTX)
กลไกการออกฤทธิ์:
เป็นยาต้านโฟเลต (antifolate or folate antagonist)ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ dihydrofolate reductase (DHFR)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ยามีทั้งชนิดเม็ดรับประทาน ยาฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
2.1.2 Pemetrexed
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
ใช้รักษามะเร็งปอด (lung cancer)มะเร็งตับอ่อน (pancreatic cancer)
ผลข้างเคียงจากยากลุ่มยา Antifolata/Folata antagonist
ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับยาในขนาดสูง
จำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง จึงทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
อาจทำให้แท้งและเด็กครรภ์พิการได้ พิษต่อตับ พิษต่อไต
ผิวหนังจะถูกแสงแดดเผาได้ง่าย นำนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด
ผมร่วง พบได้น้อย แต่ผลจะงอกขึ้นใหม่หลังหยุดยา
กลไกการออกฤทธิ์:
เป็นยาต้านโฟเลตตัวใหม่ เมื่อาเข้าสู่ร่างกายจะถูก metabolite ให้กลายเป็นสารที่มีฟทธิ์ไปยั้บยั้งการสังเคราห์และการสร้างสารตั้งต้นของ DNA,RNA และโปรตีน
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับการรับรักษาด้านมะเร็งโดยรวม
กรณีได้ยาชนิดรับประทานดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาและดื่มน้ำตามมากๆ
กรณีที่ได้รับยาชนิดฉีด
6.3 จัดเตรียมยาในห้องที่มีพัดลมดูดอากาศกรณีที่ยาเคมีบำบัดที่หกตามที่ต่างๆ
6.4 กำจัดอุปกรณ์ และภาชะนะบรรจุยา
6.2 ควรมีอุปกรณ์ป้องกันตัว
6.5 การเลือดเส้นเลือดดำที่จะให้ยา
6.1 พยาบาลที่ให้ยาควรมีความรู้
6.6 กรณีผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัดหลายชนิด
ประเมินผลข้างเคียงจากการได้รับยาเคมีบำบัดที่พบบ่อย
ดูแลการได้รับยาตามแผนการรักษา
ประเมินสัญญาณชีพก่อนหลังให้ยา
ถ้าผู้ป่วยมีอาการคลื่นไส้ ควรดื่มเครื่องดื่มประเภทเหลวเย็น
ประเมินภาวะสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยา
แนะนำให้ดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล
ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาครั้งแรก พยาบาลเตรียมความพร้อมของผู้ป่วย และครอบครัวโดยการให้ความรู้และคำแนะนำ
10.แนะนำให้ดูแลสุขภาพปากและฟันด้วยการแปลงฟันขนนิ่มๆแปลงฟันเบาๆ
แนะนำผลข้างเคียงที่อาจพบ
ควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดหรือสัมผัสกับบุคคลที่เป็นโรคติดต่อ
ผู้ป่วยมีโอกาสการเป็นหมั่นชั่วคราวหรือถาวรหลังจากได้ยาเคมีบำบัด
ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้วงดผักสด
แนะนำให้สังเกตอาการเลือดออกง่าย
กรณีที่รับประทานยาที่บ้าน แนะนำให้รับประทานยาตรงเวลา
ในกรณีที่มีอาการชาตามปลายประสาทส่วยปล่อย
1.ยากลุ่ม Alkylating agents
1.4 Carmustine
กลไกการออกฤทธิ์:
ทำให้เกิด หมู่ Alkyl ไปจับกับสายของ DNA ส่งผลให้ DNA ทำให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัวไม่ได้
การนำไปใช้ในคลินิก:
รักษามะเร็งสมอง
1.5 Dacarbazine (DTIC)
กลไกการออกฤทธิ์ :
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนแปลงโดย CYP450 ให้กลายเป็นสารที่มีพิษต่อการสร้าง DNA และ RNA ของเซลล์มะเร็ง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
เป็นยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ใช้ร่วมกับยา Adriamycin
1.3 Chlorambucil
กลไกการออกฤทธิ์ :
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA แบบ cross-linking ส่งผลทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่งตัวได้
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
เป็นยามาตรฐานในการรักษา มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื่อรัง (Chronic lymphocyticm leukaemia; CLL0
1.6 Cisplatin, Carboplatin
กลไกการออกฤทธิ์ :
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาย DNA ทำให้เกิดการยับยั้งกระบวนการ DNA replication และ DNA transcription
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
เป็นยาฉีดทางหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าทางช่องท้อง ใช้ร่วมกันยื่นในการรักษา
1.2 Ifosfamide (HoliXan; IFOS)
กลไกการออกฤทธิ์ :
กลไกเหมือน Cyclophosphamide
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
ยามีทั้งรูปแบบฉีดและยารับประทาน ใช้รักษามะต่อมน้ำเหลือง มะเร็งอัณฑะ (testicular carcinoma) มะเร็งของเนื้อเยื้ออ่อน (soft tissue sarcoma)
1.7 Busulfan (Myleran)
กลไกการออกฤทธิ์ :
เข้าไปแทรกการเชื่อมจับของสาร DNAแบบ cross-linking ส่งผลทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถสร้างหรือแบ่งตัวได้ และทำให้เซลล์ตาย
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด (chonic myelgenous leukemia; CML) และใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัดอื่น
1.1 Cyclophoshamide
กลไกการออกฤทธิ์ :
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่บยแปลงโดย CYP450ให้กลายเป็น Phosphoramide mustard
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ยามีทั้งรูปแบบฉีดและรับประทาน ใช้รักษามะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม
1.8 Mechlorethamine (Mustine)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
เดิมใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin’s lymphoma แต่ปัจจุบันใช้ยานี้น้อยลง เนื่องจากมีการเปลี่ยนไปใช้ cyclophosphamid และยาอื่นๆแทน
ผลข้างเคียงยากลุ่ม Alklating agents
-ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร โดยมีผลต่อ mucosal cells
-ความเป็นพิษต่อไต cyclophosphamide
-ทำให้เกิดการกดการทำงานของไขกระดูก ( bone marrow suppression)
-ยากลุ่มนี้มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงการเกิดต่อหัวใจได้
-ยากลุ่มนี้มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงการเกิดต่อหัวใจได้
กลไกการออกฤทธิ์ :
เข้าไปแทรกการเชื่อมกับของสาย DNA ทำให้เกิดสาย DNA และยับยั้งกระบวนการ DNA transcription
ยากลุ่มนี้เป็นสาร alkylating agents ที่ทำให้เกิด หมู่ อัลคิล (Alkl group เข้าไปทำปฏิกิริยาทางเคมี ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Cyclophosphamide (ชัยโคลฟอสฟาไมด์)
5. ยากลุ่มฮอร์โมน (Hormone and hormone antagonists)
5.2 ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน (antiestrogens)ได้แก่ Tamoxifen (ทาม็อกเฟน)
การในไปใช้รักษาในคลินิก:
Tamoxifen: เป็ยตัวเลือกแรกในการนำมาใช้รักษามะเร็งเต้านม,Toremifene: ใช้รักษามะเร็งเต้านม,และ Raloxifene: ใช้ในการป้องกันการเกิดมะเร็งโรคกระดูกพรุน (osteoporosis)
ผลข้างเคียงของยาฮอร์โมนเอสโตรเจน
ร้อนวูบวาบ รบกวนทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน,มีเลือดประจำเดือนผิดปกติ
5.4 ยาฮอร์โมนโปรเจสติน (progestins)ได้แก่ Megestrol acetate (มีเจสทรอล,Megace) เป็น progesterone สังเคราะห์
การนำไปใช้รักษาในคลินิก :
ใช้รักษามะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งของไต
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ;
Progegtins เพิ่มอุบัติการณ์ของการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน
5.1 ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Glucocrticoids) ได้แก่ Prednisolone (เพรดนิโซโลน)
การนำไปใช้รักษาคลินิก:
ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin’s และnon-Hodgkin lymphoma
ผลข้างเคียงของยากลุ่มยาสเตียรอยด์
มีโอการติดเชื้อง่าย กลูโคสในเลือดสูง (hyperglycemia)
5.3 ยาออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมน androgen
การนำไปใช้ในคลินิก:
ยา Goserelin เป็นยาที่ใช้ฝังในกล้ามเนื้อ,ยา Abarelix เป็นยาฉีดเข้ากล้ายเนื้อ
ผลข้างเคียงของยากลุ่มออกฤทธิ์ฮอร์โมน androgen
ร้อนวูปวาป,เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ, ในระยะแรกอาจทำให้เซลล์มะเร็งเจริญมากขึ้น
การรักษาด้วยการใช้ฮอร์โมน มักจะใช้ในกรณีที่มะเร็งมีการแพร่กระจายไปแล้วหรือใช้การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษา
ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosupprssive agents)
2.กลุ่มยาที่มีพิษต่อเซลล์ (Cytotoxic agents)
2.2 Mycophenolate mofetil (MMF):Cellcept
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้ป้องกันและรักษา acute graft rejection
ผลข้างเคียงของยา:
มีผลข้างเคียงที่ต่ำกว่า Azathioprine ที่พบบ่อยได้แก่ การกดไขกระดูกทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
กลไกการออกฤทธิ์:
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น mycophenolic acid มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ inosine monophosphate dehydrogenase (เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์พิวรีน) ส่งผลยับยั้งการสร้าง DNA, RNA และโปรตีน ยามีผลยับยั้งการแบ่งตัวของ B และ T lymphocytes
2.3 Sirolimus หรือ Eerolimus
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้ป้องกันการเกิด การปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน
ผลข้างเคียงของยา:
ภาวะโพแทสเซียมต่ำในเลือด
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาไปยับยั้งการทำงานของ mammalian target of rapamycin ; mTOR ยับยั้งการเจริญและแบ่งตัวของ T cell และยับยั้งการตอบสนองของ T Cell ต่อ IL-2
2.1 Azathioprine (Imuran)
การนำไปใช้ในคลินิก:
ใช้ร่วมกับยากลุ่ม Corticosteroids และ Cyclosporin ในการรักษาแบบ triple therapy เพื่อป้องกัน acute graft rejection
ผลข้างเคียงของยา Azathioprine (Imuran):
กฎการทำงานของไขกระดูก เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำบ่อยกว่าโลหิตจางหรือเกล็ดเลือดต่ำ เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากขึ้น
กลไกการออกฤทธิ์:
ยับยั้งการสร้าง DNA, RNA และโปรตีน ส่วน active metabolite คือ 6-thioinosnic acid มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ต่างๆในการสร้างสารพิวรีน มีผลยับยั้งการสร้าง DNA และยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์
2.4 Leflunomide
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ผลข้างเคียงของยา:
พิษต่อตับ พิษต่อไต, กดไขกระดูก ทำให้เกร็ดเลือดต่ำ
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาไปยับยั้งการสังเคราะห์ pyrimidine ส่งผลให้การสังเคราะห์และการสร้าง DNA และ RNA ถูกยับยั้ง จึงทำให้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านการเจริญเติบโตของเซลล์
3.กลุ่มอดรีโนคอร์ติคอยด์ (Adrenocorticoids)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ในด้านการกดภูมิคุ้มกัน หากใช้ในขนาดสูง สามารถนำไปใช้กดอาการแสดงของโรคภูมิคุ้มกัน เช่นโรคภูมิแพ้ตัวเอง
ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้:
ผลข้างเคียงเหมือนกับใช้ยากลุ่ม Steroids ดูความรุนแรงของผลข้างเคียงขึ้นกับขนาดและระยะเวลาในการใช้ยาเพื่อลดผลข้างเคียงควรให้ยา corticosteroids
กลไกการออกฤทธิ์ของยา:
การออกฤทธิ์ของยาจะไปควบคุมการทำงานของ gene โดยจับกับ steroid receptor ภายในเซลล์ได้เป็น drug-receptor complex ไปออกฤทธิ์ที่นิวเคลียส
1.กลุ่มออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์แคลซินิวริน (Calcineurin inhibitors)
1.1 Cyclosporin A (CsA)
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้ป้องกันและรักษา acute graft rejection (การปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน) ในผู้ป่วยที่ปลูกถ่ายอวัยวะ
ผลข้างเคียงจากยา Cyclosporin A (CsA):
พิษต่อไต,พิษต่อระบบประสาท,อาจทำให้ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง,ยามีฤทธิ์กดไขกระดูกเพียงเล็กน้อย
กลไกการออกฤทธิ์:
ยับยั้งเอนไซม์ calcineurin ส่งผลยับยั้งการสร้างและการหลั่ง IL-2 จาก T cell (ที่จะไปกระตุ้นการแบ่งตัวของ T cell และกลายเป็น cytotoxic T lymphocytes ; CTL) ส่งผลให้ T lymphocyte activation ลดลง
1.2 Tacrolimus (FK506)
กลไกการออกฤทธิ์:
ออกฤทธิ์เหมือนกับ cyclosporin แต่เป็นยาใหม่กว่า Cyclosporin และฤทธิ์แรงกว่า Cyclosporin 100 เท่า
การนำไปใช้ในคลินิก:
ใช้แทน Cyclosporin ในการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
ผลข้างเคียงจาก Tacrolimus (FK506):
คล้ายกับ Cyclosporin แต่ยังไม่ทำให้เหงือกหนาและขนดก
4.กลุ่มสารยับยั้ง Cytokines(Cytokines inhibtors)
4.3 Anti-TNF-α antibody
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ร่วมกับยา Methothexate
ผลข้างเคียงของยา:
กดไขกระดูก ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
กลไกการออกฤทธิ์:
เป็น antibodies ที่จับกับ TNF-α ซึ่งเป็น cytokine ที่เหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ
4.4 Anti-Igm mAbs
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาจะไปปิดกั้นการจับของ IgE ส่งผลให้ลดการหลั่งสารที่ก่อให้เกิดการแพ้
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษาโรคหอบหืดที่เกิดจากภูมิแพ้
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ:
เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น และเหนี่ยวนำทำให้เกิดมะเร็งได้
4.2 Anti-CD2
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ:
อาการไข้ หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ติดเชื้อได้ง่าย
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาออกฤทธิ์โดยจับกับ CD2 บนพื้นผิว T cell ทำให้ลดการแบ่งตัว ยับยั้งการกระตุ้นและเกิดการทำลาย T cell
4.5 Anti-lymphocyte globulin (ATG) และ Antilymphocyte globulin (ALG):Lymphoglobulin,thymoglobulin
กลไกการออกฤทธิ์:
ยาออกฤทธิ์โดยจับกับโมเลกุลบนผิว T cell ทำให้ลดการแบ่งตัว ยับยั้งการกระตุ้นและเกิดการทำลาย T cell ยาออกฤทธิ์แรง
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้รักษาภาวะปฏิเสธการปลูกถ่ายไตแบบเฉียบพลันในผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไต
ผลข้างเคียงของยา:
มักมีไข้ หนาวสั่น ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ เป็นตุ่มตามผิวหนังและปวดข้อ เกิดการติดเชื้อไวรัสแบคทีเรียได้สูง
4.1 Anti0IL-2 receptor antibody
การนำไปใช้รักษาในคลินิก:
ใช้ในผู้ป่วยที่มีการปลูกถ่ายไต เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดการปฏิเสธการปลูกถ่ายอวัยวะแบบเฉียบพลัน
ผลข้างเคียงและความเป็นพิษ:
อาจพบอาการแพ้ยาได้
กลไกการออกฤทธิ์:
ออกฤทธิ์ยับยั้งการกระตุ้น lymphocyte ด้วย IL-2 ที่เป็น pathway สำคัญในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย
อธิบาย
ยากดภูมิคุ้มกัน หรือ ยากดภูมิต้านทาน หรือยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (Immunosuppressants หรือ Immunosupprssive agents) เป็นกลุ่มยาที่ใช้เครื่องกดหรือลดความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค และระบบภูมิต้านทานในร่างกาย
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันโดยรวม
6.ยากดภูมิคุ้มกันหลายๆชนิดมีผลกดการทำงานของไขกระดูกอาจทำให้มีโลหิตจาง
7.แนะนำให้ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
5.กรณีที่ผู้ป่วยกินยาอยู่ที่บ้านแนะนำให้รับประทานยาตรงตามเวลาและขณะที่แพทย์กำหนดอย่างต่อเนื่อง
8.ระหว่างที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกันอยู่ มีข้อควรระวังในการรับวัคซีนบางชนิด
4.กรณีที่ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ แนะนำผู้ป่วยถึงความจำเป็นในการรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน
9.ยากลุ่มนี้มีผลทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด
3.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
10.แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หรือสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อหรือผู้ป่วยโรคติดต่อ
2.ดูแลการได้รับยาตามแผนการรักษา ให้ยาโดยยึดหลัก 7r ประเมินผลข้างเคียง ความเป็นพิษที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับยา
11.ยาบางชนิดทำให้เกิดแผลในปากแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลสุขภาพปากและฟัน
1.ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับยาครั้งแรก พยาบาลเตรียมความพร้อมของผู้ป่วย และครอบครัวโดยการให้ความรู้และคำแนะนำผู้ป่วยและญาติ