Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่2 การประเมินสัญญาณชีพจร - Coggle Diagram
บทที่2 การประเมินสัญญาณชีพจร
สัญญาณชีพ(Vital signs)
ข้อบ่งชี้ในการวัดสัญญาชีพ
ก่อนและหลังผ่าตัด
ก่อนและหลังการตรวจโรคที่ต้องใช้เครื่องมือเข้าไปภายในร่างกาย
วัดตามระเบียบแผนที่ปฏิบัติในโรงพยาบาล/แผนการรักษาของแพทย์
ก่อนและหลังการให้ยาบางชนิดที่มีผลต่อหัวใจและหลอดเลือด
แรกรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล
เมื่อสภาวะทั่วไปทั่วไปของร่างกายมีดารเปลี่ยนแปลง
ก่อนและหลังการให้การพยาบาลที่มีผลต่อสัญญาณชีพ
ค่าปกติของสัญญาณชีพ
ชีพจร
60-100 ครั้ง/นาที
หายใจ
12-20 ครั้ง/นาที
อุณหภูมิ
36.5-37.5 องศาเซลเซียส
ความดันโลหิต
Systolic
90-140 mmHg
Diastolic
60-90 mmHg
ความหมาย
แสดงให้ทราบถึงการมีชีวิต
สังเกตและตรวจพบ
ชีพจร
การหายใจ
อุณหภูมิ
ความดันโลหิต
อุณหภูมิของร่างกาย
ปัจจัยที่มีผลต่ออุณหภูมิของร่างกาย
อารมณ์
เครียด
กระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก
ฮอร์โมน
เพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเพศชาย
การออกกำลังกาย
พลังงานความร้อนถูกผลิตออกมาจากการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
สิ่งแวดล้อม
อายุ
เด็กทารกแรกเกิดจะไม่คงที่
ผู้สูงอายุ
เนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง / ไขมันน้อย
มีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด
เลือดมาเลี้ยงผิวหนังน้อย
hypothermia
ภาวะโภชนการและชนิดของอาหารที่รับประทาน
คนผอม
เนื้อเยื่อและไขมันใต้ผิวหนังน้อย
อุณหภูมิร่างกายต่ำ
ความแปรผันในรอบวัน
มีการเปลี่ยนอปลงตลลอดทั้งวัน
การติดเชื้อในร่างกาย
ติดแบคทีเรียทำให้ปล่อยสารไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวปล่อยสารก่อไข้
การประเมินอุณหภูมิของร่างกาย
การวัดอุณหภูมิทางรักแร้ (Axillary temperature)
ใช้ในกรณีไม่สามารถวัดอุณภูมิทางปากหรือทวารหนัก
ค่าที่วัดได้จะต่ำกว่าค่าอุณหภูมิทางปาก 0.5-1 องศาเซลเซียส
ข้อดี
วัดได้ทุกช่วงวัย
ปลอดภัย
แพร่เชื้อจุลินทรีย์น้อยกว่าการสัดทางอื่น
ข้อเสีย
ใช้เวลา 5นาทีขึ้นไป
ถ้าเพิ่งทำความสะอาดรักแร้ให้ยืดเวลาออกไป15-30นาทีแล้วค่อยวัด
ห้ามวัดในผู้ป่วย
ระบบไหลเวียนไม่ดี
ผอมมากๆ
การวัดอุณหภูมิทางปาก(Oral temperature)
ใช้อุปกรณ์เรียก "ปรอทวัดไข้ชนิดอมในปาก"
ปรอทดิจิทัลบอกค่าตัวเลข
ชนิดเป็นแท่งแก้วบรรจุปรอท
วิธีที่นิยมมากที่สุด
ห้ามวัดทางปาก
โรค
โรตลมชักหรือเกร็ง
โรคในช่องปาก
ผู้ป่วยไม่มีสติ เด็กเล็ก
ผ่าตัดบริเวณจมูกหรือปาก
ในผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่นน้ำเย็น/ร้อน เคี้ยวหมากฝรั่ง
รอ15-30นาที จึงวัด
การวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก (Rectal temperature)
วัดCore temperatureได้ค่าเที่ยงที่สุดทางหนึ่ง
มักใช้ใน
เด็กเล็กที่ไม่สามารถอมปรอทได้
ผู้ที่ไม่รู้สึกตัว
การวัดอุณหภูมิโดยใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์(Electronic temperature
)
วัดทางหู
อยู่ใกล้ hypothalamus มีศุนย์ควบคุมอุณหภูมิร่างกายอยุ่
ใช้อินฟาเรด
ใช้ง่าย และอ่านค่าได้รวดเร็ว 2-5นาที
ข้อห้าม
ผู้ป่วยรอยแผลที่แก้วหู
ผู้ป่วยที่มีขี้หู มีหูน้ำหนวก
ผู้ป่วยที่แก้วหุทะลุ
วัดทางผิวหนัง
หน้าผาก หลังใบหู ซอกคอ
วิธีการประเมิน
อุปกรณ์
วาสลินสำหรับหล่อลื่น
นาฬิกาที่มีเข็มวินาที
ถาดพร้อมแก้วที่บรรจุ น้ำสบุ่ น้ำยาฆ่าเชื้อ
ภาชนะใส่สำลี กระชำระสะอาด
เทอร์โมนิเตอร์
ชามรูปไต
ปากน้ำเงิน แดง กระดาษบันทึก
วิธีปฎิบัติ
2.บอกให้ผู้ป่วยทราบ
3.ตรวจสอบระดับปรอท
จับปรอทในระดับสายตาแนวนอนถ้าสูงก่า35องศาเซลเซียส
สลัดให้ค่ามันต่ำกว่า
1.ล้างมือให้สะอาด
4.จัดท่าผู้ป่วย
ทางปากหรือรักแร้
นั่งหรือนอน
ทางทวาหนัก
ให้นอนตะแคงขาบนงอ ขาล่างเหยียดตรง
กั้นม่านหรือปิดประตู
เปิดเฉพาะส่วนทวารหนัก
5.วัดอุณหภูมิร่างกาย
ทางปาก
2.วางเทอร์โมนิเตอร์ให้กระเปาะอยุ่ที่โคนลิ้น
3.หุบปากให้สนิท2-3นาที
1.ให้ผู้ป่วยอ้าปาก กระดกลิ้นขึ้น
ทางรักแร้
2.ซับรักแร้ให้แห้ง
3.วางเทอร์โมมิเตอร์ให้กระเปาะอยู่ตรงกลางรักแร้
1.ปลอดแขนเสื้อไปถึงรักแร้
4.หุบแขนให้สนิท5นาที
ทางทวารหนัก
1.ทาวาสลินที่ปลายปรอท
2.ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดดึงก้นด้านบนขึ้น เพื่อเปิดให้เห็นรูทวารหนัก ให้ผู้ป่วยหายใจเข้าออกลึกๆช้า แล้วสอดปรอท
เด็กสอดลึก0.5-1นิ้วนาน1-2นาที(จับเทอร์โมมิเตอร์ไว้) / ผู้ใหญ่สอดลึก2นิ้วนาน1-1นาที
ทางหู
1.จับใบหูผู้ป่วย สอดปลายปรอทเข้าไปในรูหูระวังโดนผิวหนังรอบๆรูหู
2.เมื่อเสียงสัญญาณดังให้อ่านค่าอุณหภูมิ
ทางผิวหนัง
บริเวณหน้าผาก หลังใบหุ ซอกคอ ใช้เทอร์โมมิเตอร์สัมผัสแล้วอ่านค่าได้
6.เอาเทอร์โมมิเตอร์ออก
7.อ่านค่าอุณหภูมิ
8.บันทึกลงกระดาษ
9.นำอุปกรณ์ไปล้างให้สะอาดและเก็บเข้าที่
ข้อห้าม
6.สลัดเทอร์โมนิเตอรืให้ต่ำว่า35 °C หรือ95°F
7.เช็ดเทอร์โมมิเตอร์โดยสำลี กระดาษชำระทันทีเมื่อเอาออกจากผุ้ป่วย
5.วัดทางทวารจะทาวาสลินให้ลื่น
8.ห้ามเอาเทอร์โมมิเตอรืวางไว่นอกภาชนะที่ใส่เทอร์โมมิเตอร์
4.วัดทางรักแร้ ต้องเช็ดรักแร้ให้แห้งเสียก่อน และหุบรักแร้ให้แน่น
9.ถ้าวัดค่าผิดปกติมาก ให้วัดซ้ำ ถ้าปกติให้รายงานหัวหน้าเวรทราบ
3.แยกภาชนะใส่เทอร์โมมิเตอร์ทางปากและทวารหนัก
10.ต้องบันทึกการวัดทันทีเพื่อป้องกันการลืม
2.ห้ามนำเทอร์โมมิเตอร์ที่วัดทางปากไปวัดทางทวารหนัก
1.ไม่ควรวัดทางปากหลังจากดื่มน้ำเย้น/ร้อนใหม่ๆ
ปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างความร้อน / การระบายความร้อนออกจากร่างกาย
กลไกของร่างกาย(Physiological mechanism )
การพาความร้อน(Convection)
ระบายความร้อนอาศัยตัวกลาง
การแผ่รังสี(Radiation)
ส่งผ่านความร้อนในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จากพื้นที่ผิววัตถุหนึ่งไปยังอีกผิววัตถุหนึ่ง
ไม่มีการสัมผัสกันของ2พื้นผิว
การนำความร้อน (Conduction)
การระบายความร้อนโดยอาศัยสื่อร่างกายสัมผัสโดยตรงกับสิ่งที่เย็นกว่า
อากาศรอบตัว
วัตถุต่างๆ
การระเหยเป็นไอ(Evaporation)
ระบายความร้อนออกมาจากโดยการระเหยจจากพื้นผิวร่างกาย
ทางผิวหนัง
ร้อยละ 87.5
ทางลมหายใจ
ร้อยละ 10.7
ทางอุจจาระ
ร้อยละ 1.7
กลไกของพฤติกรรม(Behavioral mechanism)
การถอดเสื้อผ้า / สิ่งที่ตกแต่งที่ทำให้อุ่น
ลดกิจกกรรม เพิ่มพื้นที่ผิวให้ระบายความร้อน
เคลื่อนย้ายไปในสภาพแวดล้อมที่เย็น
ภาวะอุณหภูมิร่างกายผิดปกติและการพยาบาลผู้ป่วยที่มีอุณหภูมิของร่างกายผิดปกติ
อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ(hyperthermia)
ภาวะที่ร่างกายมีการผลิตหรือรับความร้อนมากแต่ไม่สามรถระบายออกนอกร่างกายได้
อุณหภูมิสูงมากกว่า37.5°C
ไข้ (Fever)
ระยะไข้
อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นถึงระดับใหม่ที่กำหนดไว้จากการผลิตความร้อนของร่างกาย
ระยะสิ้นสุดไข้
กลไกการผลิตความร้อนของร่างกายทำงานเพิ่มมาก พยายามที่จะลดอุณหภูมิร่างกายไปสุ่อุณหภูมิใหม่
มีอาการและอาการแสดง
ผิวหนังแดงและรู้สึกอุ่น มีเหงื่ออก
ระยะเริ่มต้น หรือระยะหนาวสั่น
กลไกที่ผลิตความร้อนของร่างกาย พยายามจะเพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้น
การพยาบาล
2.จัดสภาพแวดล้อมให้อากาศถ่ายเทสะดวก
3.ดูแลเช็ดตัวลดไข้
1.ให้ผู้ป่วยพักผ่อน
4.ดูแลผู้ป่วยได้รับยาลดไข้ตามแผนการรักษาของแพทย์
5.วัดอุณหภูมิร่างกายหลังจากเช็ดตัว / หลังให้ยาลดไข้30นาที
6.ดูแลผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาของแพทย์
7.ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
8.ให้รับความอบอุ่นเมื่อมีอาการหนาวสั่น
9.ให้อาหารที่มีโปรตีน คารืโบไฮเดรตสูง อาหารย่อยง่าย
10.แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ
11.บันทึกปริมาณน้ำเข้า-ออก(I/O)
12.ดูแลช่องปากให้เยื่อบุชุ่มชื่น
13.เตรียมเสื้อผ้าแห้งให้ผุ้ป่วยใส่
14.ติดตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของร่างกาย
การลูบตัวลดไข้
ลูบตัวด้วยน้ำเย็นจัด(Cold sponge)
ทำให้อุณหภูมิผิวหนังต่ำลง
โดยมากใช้เช็ดตัวให้ผุ้ป่วยที่มีอุณหภูมิสูงและต้องการให้้ไข้ลดเร็ว
ลูบตัวด้วยน้ำอุ่น(Ware sponge)
น้ำอุ่นมีอุณหภูมิประมาณ40°C
ทำให้หลอดเลือดขยายตัวและระเหยเร็วจึงพาความร้อนได้เร็ว
ลูบตัวด้วยน้ำธรรมดา(Tepid sponge)
ผ้าชุบน้ำเปียกหมาดๆอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกายแต่สูงกว่า15°Cหรือประมาณ30°C
เพื่อลดไข้
ลูบตัวด้วยแอลกอฮอล์(Alcohol sponge)
ใช่ในผู้ป่วยบางหลายที่มีไข้สูงมากอาจเกิดอาการชักได้
ใช้แอลกอฮอล์25%เช็ดตัวตัวอุณหภูมิ30°C
อุณหภุมิร่างกายต่ำกว่าปกติ(hypothermia)
อุณหภูมิต่ำกว่า36°C เรียก sunnormal temperature
การผลิตความร้อนไม่สมดุลกับการเสียความร้อน
ศูนย์ควบคุมความร้อนเสียหน้าที่ มีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
การพยาบาล
2.เพิ่มจำนวน/ความหนาของผ้าห่ม
3.วางกระเป๋าน้ำร้อน/ผ้าห่มไฟฟ้า
1.จัดสิ่งแวดล้อมให้อบอุ่น ปิดเครื่องปรับอากาศ
4.คลุม/โพรกศีรษะด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ๋
5.ให้ดื่มน้ำ เครื่องดื่มอุ่นๆ
6.ถูและนวดผิวหนัง
7.ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจใช้การโอบกอดเพื่อได้รับไออุ่น
8.ให้ความมั่นใจโดยการอยู่กับผู้ป่วย
9.สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
ชีพจร(Pulse)
ปัจจัย
ภาวะไข้
ชีพจรเต้นเร็วขึ้น
ออกกำลังกาย
ชีพจรเพิ่มขึ้น
ยาบางชนิด
ชีพจรช้าลง
อาร์ม
เพศ
หญิงเร็วกว่าเพศชาย
ท่าทาง
ท่ายืนท่านั่งชีพจรเต้นเร็ว
ท่านอนชีพจรเต้นช้า
อายุ
อายุมากอัตราการเต้นลดลง
ภาวะเสียเลือด
ชีพจรสูงขึ้น
การประเมินชีพจร
หลอดเลือดที่อยู่เหนือ ข้างๆกระดูก
นิยมคลำที่ radial artery
ได้ radial pulse ที่ข้อมือด้านนิ้วหัวแม่มือ
นิยมคลำเส้นเลือดแดง
สามารถคลำได้9ตำแหน่ง
Carotid pulse
ด้านข้างของคอ
Brachial pulse
ข้อพับแขนด้านใน
Temporal pulse
เหนือและข้างๆตา
Radial pulse
ข้อมือด้านในหรรือด้านแม่มือ
Femoral pulse
บริเวณขาหนีบตรงกลาง
Popliteal pulse
อยู่บริเวณตรงกลางข้อพับเข่า
Dorsalis pedis pulse
กลางหลังเท้าระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้
Apical pulse
หน้าอกซ้ายบริเวณที่ตั้งหัวใจ
Posterior tibial pulse
หลังปุ่มกระดูกข้อเท้าด้านใน
คลำเส้นเลือดบริเวณผิวของร่างกายที่หลอดเลือดผ่าน
วิธีปฏิบัติ
4.นับชีพจรใช้เวลา1นาที
สังเกตค่า อัตรา
จังหวะมีความสม่ำเสมอ
ปริมาตรความแรง
5.ในเด็กใช้วิะีฟังอัตรการเต้นของหัวใจแทนการคลำชีพจร
3.วางปลายนิ้วชี้ กลาง นาง กดลงเบาตรงradial artery
6.บันทึกลงกระดาาษที่เตรียมไว้และบันทึก
2.บอกให้ผู้ป่วยทราบ/ขออนุญาติจับต้องตัว
7.ล้างมือให้สะอาด
1.ล้างมือให้สะอาด
ข้อควรจำ
วัดชีพจรหลังทำกิจกรรม5-10นาที
อธิบายแนะนำผู้ป่วยไม่ควรพูดในขณะที่วัดชีพจร
ไม่ใช้นิ้วหัวแม่มือ
ความหมาย
การหดและขยายตัวของผนังหลอดเลือด
ลักษณะชีพจรที่ผิดปกติ
จังหวะ(Rhythm)
ปกติ
มีช่วงพักระหว่างชีพจรเท่ากัน ชีพจรสม่ำเสมอ
Pulse regularis
ผิดปกติ
มีช่วงพักระหว่างชีพจรไม่เท่ากัน ชีพจรไม่สม่ำเสมอ
Arrhythmai หรือ Irregularis
ปริมาตรความแรง(Volume)
ระดับ1 theady ชีพจรแผ่วเบา
ระดับ2 weak ชีพจรแรงกว่าระดับ1ค่อนข้างเบา
ระดับ0 ไม่มีชีพจร คลำไม่ได้
ระดับ3 regular ชีพจรเต้นจังหวะสม่ำเสมอ
ระดับ4 bounding ชีพจรเต้นแรง
อัตรา(RATE)
การเต้นของชีพจร
Tachycardia
ภาวะอัตราการเต้นของหัวใจในผ๔้ใหญ่มากกว่า100ตรั้ง/นาที
Bradycardia
ภาวะที่อัตราการเต้นของผู้ใหญ่น้อยกว่า60ครั้ง/นาที
ความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด
ปกติผนังหลอดเลือดจะมีลักษณะตรงเรียบมีความหยืดหยุ่นดี
ผู้สูงอายุผนังหลอดเลือดแดงมีความยืดหยุ่นน้อยขรุขระและไม่สม่ำเสมอ
การหายใจ
ปัจจัย
สภาวะแวดล้อม
ความเจ็บป่วย
การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์
การประเมินการหายใจ
นับอัตราการหายใจเข้าและออก นับเป็น1ครั้ง
วิธีการประเมิน
2.บอกให้ผู้ป่วยทราบและขออนุญาตจับตัว
3.เริ่มนับการหายใจหลังจากการนับชีพจรเสร็จคงจับข้อมือผู้ป่วยไว้เสมือกว่ากำลังวัดชีพจร
1.ล้างมือให้สะอาด
4.นับอัตราการการหายใจ สังเกต ความลึก จังหวะ ลักษณะ
ผู้ใหญ่ สังเกตการเคลื่อนไหวของทรวงอก
เด็ก สังเกตเคลื่อนไหวของหน้าท้อง
5.ประเมินการหายใจ1นาทีเต็ม
6.บันทึกลงกระดาษ
7.ล้างมือให้สะอาด
กลไกการทำงานของระบบหายใจ
External respiration
การหายใจเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่าง
ปอดกับอากาศภายนอก
ประเภท
การสูดเอาอากาศเข้าไปในถุวลมของปอด
การไล่อากาศออกจากปอด
Internal respiration
แลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในเลือดกับเซลล์ของเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย
ลักษณะการหายใจที่ผิดปกติ
จังหวะ
ของการหายใจที่ผิดปกติ
Cheyne stokes
หายใจเป็นช่วงๆไม่สม่ำเสมอ
เพิ่มอัตราการหายใจ
หายใจเร็วลึกตามด้วยช่วงที่หยุดหายใจแล้วกลับมาหายใจเร็วอีก
Bioy
การหายใจปกติสลับกับการหายใจเร็วลึก
ไม่สม่ำเสมอ เป็นช่วงสั้นๆ2-3ครั้ง
ตามด้วยหยุดหายใจช่วงสั้นๆอีก
ลักษณะการหายใจ
ที่ผิดปกติ
Paroxysmal nocturnal dyspnea
หายใจลำบากตอนกลางคืน
Paroxysmal dyspnea
หอบอย่างรุนแรง
Orthopnea
หายใจลำบากในท่านอนราบ
Air hunger
หายใจโดยใช้ทั้งปากและจมูกอย่างรุนแรง
Dyspnea
หายใจลำบาก
ความลึก
ของการหายใจที่ผิดปกติ
Hypoventilation
หายใจช้าและตื้น
Hyperventilation
หายใจเร็วและลึก
ลักษณะ
เสียง
หายใจที่ผิดปกติ
Stridor
เสียงฟืด
ได้ยินขณะหายใจเข้า
มีการอุดกั้นในหลอดลม / กล่องเสียง
Wheeze
เสียงวี๊ด
ได้ยินขณะหายใจออก
พบในผู้ป่วยที่มีหลอดลมลมตีบแคบ
อัตราเร็วของการหายใจ
Brachypnea
หายใจน้อยกว่า 10 ครั้ง/นาที
Apnea
หยุดหายใจ
Trachypnea
หายใจมากกว่า24ครั้ง/นาที
สีผิวหนังที่ผิดปกติ
cyanosis
เยื่อบุและผิวหนังมีสีม่วงคล้ำ
บ่งบอกถึงการขาดออกซิเจน
ความดันโลหิต(Blood pressure)
ความหมาย
แรงดันของเลือดที่ไปกระทบกับผนังเส้นเลือดแดง
ค่าความดันโลหิต
Systolic pressure
เกิดจาการหดรัดตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย
Diastolic pressure
เกิดจากการคลายตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย
Pulse pressure
คือความแตกต่างระหว่างSystolic pressure กับ Diastolic pressure
มีค่าประมาณ 30-50มิลลิเมตรปรอท
มีความสัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนเลือดที่ออกจากหัวใจในระหว่างมี่หัวใจบีบตัว
ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต
อิริยาบถขณะวัดความดันโลหิต
ท่านั่งและท่านอนสูงกว่าท่านอน
ความเครียด
กนะตุ้นให้ระบบประสาทอัตโนมัติทำให้หัวใจบีบตัวแรง
อายุ
ผู้ใหญ่ปกติ
Systolic pressure 90-140 mm.Hg.
Diastolic pressure 60-90 mm.Hg.
เด็กแรกเกิด
Systolic pressure 40-70 mm.Hg.
ผู้สูงอายุ
มีความดันโลหิตที่สูง
ความหยืดหยุ่นของหลดเลือดลดลง
ลักษณะร่างกายและปัจจัยอื่นๆ
เพศ
เพศชายมักมีความดันโลหิตสูงเพศหญิงในวัยเดียวกัน
ยา
ยาบางชนิดมีผลต่อการหดตัวของหลอดเลือด
ความดันโลหิตสูง
ยาบางชนิดมีผลต่อการคลายตัวของหลอดเลือด
ความดันโลหิตต่ำ
รูปร่าง
คนอ้วนมีความดันโลหิตที่สูงกว่าคนผอม
การประเมิน
มี2วิธี
การวัดความดันโลหิตโดยทางตรง(C.V.P.)
วิธี
1.ใช้สายสวนเข้าไปsuperior vena cava
2.ใช้เครื่องมือวัดความดันเข้าหัวใจห้องบนขวา
การวัดความดันโลหิตโดยทางอ้อม
อุปกรณ์
หูฟัง(Stethoscope)
เครื่องวัดความดันโลหิต
แบบแท่งปรอท (Mercury column)
แบบดิจิตอล (Digital)
วิธีการประเมิน
1.แจ้งผู้ป่วยให้ทราบ
2.จัดท่าให้สบาย นั่งหรือนอนเหยียดแขนข้างที่จะวัด
3.วางเครื่องวัดให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจของผู้ป่วย
4.ไล่ลมออกจากผ้าพันแขนให้หมด
5.คลำชีพจรที่ข้อพับแขนด้านใน
6.พันผ้าพันรอบแขนเหนือข้อพับขึ้นไป1นิ้ว
7.เหน็บปลายผ้าให้เรียบร้อย
8.ใส่หูฟังและวางแป้นของหูฟังตรงตำแหน่งชีพจรที่คลำได้
9.บีบลูกยางด้วยอุ้งมือให้ลมเข้าไปในผ้าพันแขน
10.ค่อยๆคลายเกลียวลูกยางปล่อยลมออกจากผ้าพันแขน
จะได้ยินเสียงตุบๆของแรงดัน ตุบแรกคือค่าความดันสูงสุด
ค่าSystolic
11.ค่อยๆปล่อยลมออกจากลูกยางช้าๆ
จะได้ยินเป็นเสียงฟู่ๆหรือหยุดหายไปเลย เป็นค่าความดันคลายตัว
ค่าDiastolic
12.เมื่อวัดเสร็จแล้วปล่อยลมออกจากผ้าพันแขนให้หมด
13.ทำความสะอาดของหูฟังและแป้นของหูฟังด้วยแอลกอฮอล์70%
14.ล้างมือให้สะอาด
15.บันทึกผล
ข้อควรระวัง
4.ลำของปรอทที่วัดต้องตั้งฉากในขณะอ่านค่า
5.ขณะวัดความดันโลหิตแขนของผู้ป่วยควรวางในระดับเดียวกับหัวใจ
3.ผ้าพันแขนต้องเลืกใช้ให้ถูกขนาดกับผู้ป่วย
6.ก่อนพันผ้าเพื่อวัดความดันโลหิตทุกครั้ง ควรพิจารณาแขนที่พันผ้าก่อนว่ามีข้อห้ามหรือไม่
2.ขณะปล่อยลมออก สายตาควรจับอยู่กับที่เครื่องวัดตลอดเวลา
7.การเก็บเครื่องวัดความดันโลหิต ต้องบีบลมออกให้หมด พันให้เรียบร้อย
1.ต้องรัดผ้าพันแขนให้แนวของสายยางทั้งสองข้างพันแขนอยุ่ระหว่างต่ำแหน่งของเส้นเลือดพอดี
ลักษณะความดันโลหิตที่ผิดปกติ
Hyportension
ความดันโลหิตต่ำ
Systolic ต่ำกว่า 90 mmHg
Diastolic ต่ำกว่า60 mmHg
Orthostatic Hypotension
ความดันโลหิตตก
จากการเปลี่ยนแปลงท่าทันที
Hypertension
ความดันโลหิตสูง
Systolicสูงกว่า 140 mmHg
Diastolicสูงกว่า 90 mmHg
กระบวนการการพยาบาลในการประเมินสัญญาณชีพ
1.การประเมินสภาพ
ซักประเมินการสัมผัสเชิ้อ ระยะเวลา การรักษาก่อนมารพ.
2.ข้อวินิจจัยทางการพยาบาล
ไม่สุขสบายเนื่องจากอุณหภูมิร่างกายสูง
มีภาวะติดเชื้อในร่างกาย......
3.การวางแผนการพยาบาล
4.การปฏิบัติการพยาบาล
ให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ
เช็ดตัวลดไข้โดยใช้น้ำธรรมดา/น้ำอุ่น
ให้ยาparacetmolลดไข้/ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ประเมินสัญญาณชีพ
5.การประเมินผลสัญญาณชีพ
ผู้ป้วยมีสีหน้าสดชื่น
สัญญาณชีพจรอยุ่ในเกณฑ์ปกติ
ไม่มีภาวะแทรกซ้อน