Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หลักทั่วไปทางเภสัชวิทยา, นายศราวุฒิ เป็งมูล รหัสนักศึกษา 6201210255 เลขที่…
หลักทั่วไปทางเภสัชวิทยา
1. การออกฤทธิ์ของยาทางเภสัชจลนศาสตร์
1.1 เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetic)
1.1.1 การดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย (Drug absorption)
การดูดซึมยาหมายถึงอัตรา (rate) และปริมาณ (extent) ยาที่ถูกนำเข้าสู่กระแสโลหิต
Bioavailability หมายถึงสัดส่วนของยาที่ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงที่ถูกนำเข้าสู่กระแสเลือด
ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมยา
ปัจจัยเกี่ยวกับตัวยา
ขนาดโมเลกุลของยายาที่มีขนาดน้ำหนักโมเลกุลของยาต่ำจะซึมผ่าน cell membrane ได้เร็วกว่ายาที่มีขนาดน้ำหนักโมเลกุลของยาสูง
วิธีการผลิตยาและรูปแบบยาเช่นยาน้ำใสยาแขวนตะกอน
ขนาดยาที่ให้ (dosage) เป็นปัจจัยที่กำหนดความเข้มข้นของยาบริเวณจุดที่ออกฤทธิ์ (target cell)
คุณสมบัติในการละลายในไขมัน (ipophilic) เนื่องจาก cell membrane ประกอบด้วยไขมันเป็นส่วนใหญ่
ยาหรือสารที่มีคุณสมบัติละลายได้ดีในไขมันสามารถผ่าน cell membrane ส่วนที่เป็นไขมันได้ดีและถูกดูดซึมได้ดี
ปัจจัยเกี่ยวกับผู้ป่วย
1.วิธีการบริหารยา (routes of administration) เป็นปัจจัยที่กำหนดอัตราและความสามารถในการดูดซึมยาเข้าสู่กระแสเลือด
การให้ยาผ่านทางเดินอาหาร (alimentary route, oral route) โดยพบว่า pH ของ medium มีผลต่อการดูดซึมยา ดังนี้
ยาที่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน (acidic drugs)
แอสไพริน (aspirin)
ยาที่มีคุณสมบัติเป็นด่างอ่อน (basic drugs)
มอร์ฟีน (morphine)
ข้อเสีย
ของการให้ยาผ่านทางเดินอาหาร ได้แก่ การเกิด first pass effect คือการเกิดการทำลายยาที่ตับเมื่อยาผ่าน portal vein เข้าสู่ตับและถูกเปลี่ยนแปลง (metabolite) ที่ตับก่อนเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปบริเวณหรือเซลล์ (cell) ที่ออกฤทธิ์ (target cell) ส่งผลให้ระดับของยาในเลือดลดลง
การให้ยาดูดซึมผ่านหลอดเลือดฝอยบริเวณใต้ลิ้น
(ยาอมใต้ลิ้น: sublingual.42 อมในกระทั่งแก้ม: buccal)
การให้ยาดูดซึมผ่านทางระบบทางเดินหายใจ (ยาแบบสูดดม: inhalation)
การให้ยาโดยการฉีดใต้ผิวหนัง (subcutaneous: SC) กล้ามเนื้อ (muscle: IM) หลอดเลือดดำ (intravenous: M )
การให้ยาดูดซึมผ่านทางผิวหนัง
การให้ยาแบบเหน็บทวารหนักหรือช่องคลอด
ยาเหน็บชนิดที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่เมื่อสอดยาเหน็บตัวยาจะซึมผ่านเยื่อเมือกของอวัยวะและออกฤทธิ์เฉพาะที่บริเวณนั้น ๆ
พยาธิสภาพของร่างกาย
ท้องเสียท้องผูกคลื่นไส้อาเจียนโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารและปริมาณอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารมีผลลดการดูดซึมของยาผ่านทางเดินอาหารได้
การได้รับอาหาร
ร่วมด้วยอาหารอาจมีผลลดการดูดซึมยาบางชนิดได้ฉะนั้นยาบางชนิดจึงต้องรับประทานในขณะท้องว่าง
1.1.2 การกระจายตัวของยา (Drugs distribution)
ปริมาณการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะนั้น ๆ หลังจากยาถูกดูดซึมแล้วยาจะไปสู่อวัยวะที่มีปริมาณการไหลเวียนของเลือดสูงได้อย่างรวดเร็ว
คุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของยาแต่ละชนิดเช่นคุณสมบัติการละลายในไขมัน (Lipid 50lubility
ยาที่ละลายในไขมันได้ดีจะสามารถกระจายตัวไปยังอวัยวะเป้าหมายได้ดีกว่ายาที่ละลายในไขมันน้อยย
การจับตัวของยากับโปรตีนในพลาสม่า (plasma protein binding) โมเลกุลของยาบางชนิดสามารถรวมตัวได้อย่างหลวม ๆ กับพลาสมาโปรตีนการรวมของยากับพลาสมาโปรตีนส่งผลลดการกระจายตัวของยา
ความสามารถในการผ่านเข้าสมองและรก (capillary permeability) บางส่วนของสมองมี blood brain barrier (BBB) จะไม่ยอมให้ยาผ่านได้มีหน้าที่ป้องกันระบบประสาทสมองส่วนกลาง (Central nervous system; CNS)
โดยจะป้องกันไม่ให้สารหรือยาที่เป็นอันตรายเข้าไปยังสมองยาที่มีคุณสมบัติละลายในไขมันได้ดีเท่านั้นจึงจะสามารถผ่าน blood brain barrier
การสะสมของยาที่ส่วนอื่น (accumulation at other site) ที่เซลล์ไขมัน (Fat as a reservoir) กระดูกและฟัน (bone and teeth)
อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่ออวัยวะที่ยาไปสะสมได้หรืออาจทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ช้ากว่าปกติ
1.1.3 การแปรสภาพยาหรือการเปลี่ยนแปลงยา (Drug metabolism)
กระตุ้นการออกฤทธิ์ของยา (mechanism of drug activation): ยาบางชนิดยังไม่สามารถออกฤทธิ์ได้หลังให้ยาจำเป็นต้องถูกเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี (metabolite) ก่อนจึงจะสามารถออกฤทธิ์ในร่างกายได้
Levodopa (ยารักษาโรคพาร์กินสัน)
สิ้นสุดการออกฤทธิ์ของยา (termination of drug action): การแปรสภาพยาช่วยทำให้ยามีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดีขึ้น (hydrophilic) หรือมีความเป็นประจุ (ionize form, polar Compound) มากขึ้นเพื่อง่ายต่อการขับออกทางไต
1.1.3.1 เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงยา
เอนไซม์อาจอยู่ที่ไซโตพลาสซึม (cytoplasm) ของอวัยวะต่างๆเช่นตับ (อวัยวะที่สำคัญในการแปรสภาพยา) ไตปอดทางเดินอาหารพลาสม่าซึ่งเอนไซม์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงยาได้ตั้งแต่ยาถูกดูดซึมผ่านทางเดินอาหารและผ่านตับ
ในร่างกายมี enzyme หลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการแปรสภาพยา
เช่น flavoprotein (enzyme NADPH-Cytochrom P450 reductase) ซึ่งยาแต่ละชนิดจะใช้ enzyme ในการแปรสภาพยาหรือเปลี่ยนแปลงยาแตกต่างกันไป
ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงยาโดยปกติจะแบ่งได้ 2 ขั้นตอนใหญ่
Phase | reaction: enzyme จะเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของยา (drug chemical) โดยอาศัยกระบวนการ oxidation, reduction, hydrolysis เป็นการแปรสภาพยาโดยอาศัยเอนไซม์ cytochrom P450 ทำให้ยาเป็น polar metabolite มากขึ้นและขับถ่ายออกจากร่างกายหรือเข้าสู่ phase II reaction
Phase || reaction: ยาหรือ metabolite จาก phase | ที่ไม่มีความเป็น polar มากพอที่จะถูกขับออกทางไตจะต้องถูกทำให้ละลายน้ำได้ดีขึ้นโดยการรวมตัว (conjugation) กับ endogenous Compound ในตับเช่นกรดกลูคิวโรนิค (glucuronic acid) กรดซัลฟิวริค (sulfuric acid) กรดอะซิติก (acetic acid)
1.1.3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อ drug metabolism
พันธุกรรมลักษณะทางพันธุกรรมที่มีผลกระทบต่อระดับเอนไซม์จะทำให้เกิดความแตกต่างใน drug metabolism ได้เช่นในคนที่มีความบกพร่องของเอนไซม์ซูโดโคลีนเอสเทอเรส (pseudocholinesterase) พบว่าการ metabolized สาร succinylcholine จะมีอัตราเร็วเพียงครึ่งเดียวของคนที่มีเอนไซม์นี้ปกติ
สิ่งแวดล้อมเช่นคนที่สูบบุหรี่จะมีการ metabolized ยาได้เร็วกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่เนื่องจากเกิดภาวะเหนี่ยวนำเอนไซม์คนที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้สัมผัสกับยาฆ่าแมลงจะ metabolized ยาได้เร็วกว่าคนปกติทั่วไป
อายุเด็กและผู้สูงอายุจะไวต่อฤทธิ์และพิษของยามากกว่าผู้ใหญ่การทำงานของเอนไซม์ที่ตับยังไม่สมบูรณ์ฉะนั้นการแปรสภาพของยาจะต่ำลง
ในเด็กทารกและในผู้สูงอายุอาจมีการแปรสภาพของยาเปลี่ยนแปลงไปจากความแข็งแรงของร่างกายที่ลดลงและการทำงานของอวัยวะต่างๆเปลี่ยนแปลงไป
1.1.3.3 ปฏิกิริยาระหว่างยาในระหว่างการเกิด metabolism
ยาบางชนิดมีคุณสมบัติเหนียวนำเอนไซม์ (enzyme inducer) คือยาบางชนิดสามารถเพิ่มการสังเคราะห์ enzyme cytochrome P450-dependent drugs-Oxidizing ในตับได้หากให้ยาชนิดนี้ร่วมกับยาชนิดอื่นทำให้ยาชนิดอื่นที่ให้ร่วมกันมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ลดลง
phenytoin
ในขณะที่ยาบางชนิดมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ (enzyme inhibitor) คือยาที่สามารถลดหรือยับยั้งการทำงานของ enzyme cytochrome P450 ในตับ
ส่งผลในกรณีให้ยาที่มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์หากให้ยาร่วมกับยาชนิดอื่นทำให้ยาชนิดอื่นที่ให้ร่วมถูกแปรสภาพได้ช้าทำให้ยาอื่นที่ให้ร่วมด้วยมีระยะเวลาการออกฤทธิ์นานขึ้น
Gimetidine
ยาที่เกิดปฏิกิริยาได้เร็วกว่าอาจทำให้ endogenous substrates ในร่างกายหมดไปส่งผลให้ยาอื่นที่ต้องใช้ endogenous substrates ชนิดเดียวกันเกิดปฏิกิริยารวมตัวได้ช้าหรือไม่เกิดปฏิกิริยาจนกว่าจะมีการสร้าง endogenous substrates ในร่างกายขึ้นมาใหม่ทำให้ระดับยาในร่างกายสูงขึ้น
ความเจ็บป่วยและความสามารถในการทำงานของตับตับเป็นอวัยวะที่สำคัญในการแปรสภาพยาหากมีภาวะเช่นตับอักเสบตับแข็งโรคมะเร็งตับจะส่งผลกระทบต่อการ metabolism ยาต่างๆในร่างกาย
1.1.4 การขับถ่ายยา (Drug excretion)
ร่างกายสามารถกำจัดยาออกได้ทางไตตับน้ำดีและปอดนอกจากนี้ยาอาจถูกกำจัดออกทางน้ำนมและเหงื่อได้ด้วย แต่ในปริมาณที่น้อยมากยาอาจถูกกำจัดออกจากร่างกายทั้งในรูปที่ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงหรือถูกเปลี่ยนแปลงก็ได้อวัยวะหลักในการกำจัดยาคือไตซึ่งสารที่เป็น polar Compound จะถูกกำจัดออกได้ดีกว่าสารที่มี high lipid solubility ดังนั้นจึงเห็นว่ายาที่เป็น lipid-soluble จะถูกเปลี่ยนแปลงยาให้ได้เป็นสาร polar Compound ก่อนจึงจะถูกขับออกมาได้
นอกจากการขับออกทางไตโดยปัสสาวะแล้วยาบางอย่างอาจขับออกได้ทางอุจจาระทางน้ำนมและทางปอดได้โดยทางปอดนั้นโดยมากเป็นทางในการกำจัดยาที่เป็น gas หรือ vapor
ยาดมสลบ แอลกอฮอล์
คำสำคัญทางเภสัชจลนศาสตร์
ค่าครึ่งชีวิต (Half life; t1/2)
เวลาที่ใช้ในการทำให้ยาหรือความเข้มข้นของยาลดลงเหลือ 50% จากความเข้มข้นแรกโดย half Life จะเป็นตัวกำหนด
Loading dose
ขนาดยาที่ให้ครั้งแรกเพื่อให้ถึงระดับยาที่ต้องการในพลาสมาคือการให้ยาในขนาดสูงอย่างรวดเร็วเพื่อหวังผลให้ปริมาณและขนาดยาสูงขึ้นออกฤทธิ์ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
Onset
ระยะเวลาที่เริ่มให้ยาจนถึงยาเริ่มออกฤทธิ์ที่ต้องการ
Duration of action
ระยะเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ที่ต้องการจนถึงหมดฤทธิ์ที่ต้องการ
2. การออกฤทธิ์ของยาทางเภสัชพลศาสตร์
2.1 เภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamic)
การจับของยากับ receptor (drug-receptor concept)
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดยาที่ใช้กับการตอบสนองที่เกิดขึ้นในร่างกาย (dose response relationship)
กลไกการออกฤทธิ์ของยาทางเภสัชพลศาสตร์
1 ออกฤทธิ์โดยไม่จับกับ receptor
Chemical action
ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
Physical action
ยาระบาย
ออกฤทธิ์โดยจับกับ receptor
ตัวรับ (Receptor)
เป็นองค์ประกอบของเซลล์ซึ่งอาจพบได้ที่ผนังเซลล์ cytoplasm หรือนิวเคลียส (nucleus) ของเซลล์โดย receptor มีคุณสมบัติที่จะจดจำ (recognize) และจับกับสารที่มีลักษณะโครงสร้างจำเพาะเจาะจงแล้วทำให้การทำงานของเซลล์นั้น ๆ เปลี่ยนแปลง
Agonist
ยาที่จับกับ receptor แล้วสามารถทำให้เกิดฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
Antagonist
ยาที่จับกับ receptor แล้วสามารถลดหรือบดบังฤทธิ์ของ agonist ในการจับกับ receptor ส่วนฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่เกิดขึ้นจากการที่ antagonist ไปยับยั้งการทำงานตามปกติของ endogenous substances ในร่างกายและขัดขวางการทำงานของ agonist
Partial agonist
ยาที่จับกับ receptor แล้วออกฤทธิ์เพียงบางส่วน
คำสำคัญทางเภสัชพลศาสตร์
Affinity
ความสามารถของยาในการเข้าจับกับ receptor
Efficacy
ความสามารถของยาที่ทำให้เกิดฤทธิ์สูงสุดซึ่ง Maximum effect ของยา (Emax)
Potency
ความแรงของฤทธิ์ยา
ระดับความปลอดภัยของยา (Therapeutic index; TT)
การหาระดับความปลอดภัยของยามักจะทำการทดลองผ่านสัตว์ทดลองเช่นหนูแรทหรือหนูเมาส์ระดับความปลอดภัยของยาเป็นสัดส่วนของขนาดยาที่ทำให้หนูตาย 50% ต่อขนาดยาที่ได้ผลในการรักษา
ยาที่มีค่า therapeutic index สูงจะมีความปลอดภัยในการใช้สูง
การแปรผันของการตอบสนองต่อยา
4.2 Hyporeactivity การตอบสนองต่อยาที่น้อยกว่าปกติทำให้ไม่เกิดฤทธิ์รักษา
4.3 Hyperactivity การตอบสนองต่อยาที่มากกว่าปกติเช่นการให้ยานอนหลับในผู้ป่วยบางคน
4.4 Hypersensitivity การแพ้ยาจากที่ร่างกายมี antibody (Ab) ที่ต่อต้านต่อโครงสร้างทางโมเลกุล (structure) ของยา
4.5 Tolerance เป็นการซื้อหรือทนฤทธิ์ของยาซึ่งเกิดจากการได้รับยาชนิดนั้นหลายครั้งทำให้มีการตอบสนองต่อยาในครั้งหลัง ๆ ลดลง
4.6 Tachyphylaxis การดื้อยาที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วเมื่อได้รับยาเพียง 2-3 ครั้ง
4.7 Placebo effect ฤทธิ์หลอก
สาเหตุการตอบสนองต่อยาที่แตกต่างกัน
มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณยาที่จะไปถึง receptor ซึ่งจะขึ้นกับ pharmacokinetic ของยาเพศอายุ: น้ำหนักภาวะความเจ็บป่วยรวมถึงการทำงานของตับและไต
มีความแตกต่างกันในความเข้มข้นของ endogenous receptor ligands
มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหรือการทำงานของ receptor
มีการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของอวัยวะที่เกิดการตอบสนองจากการกระตุ้น receptor
4.1 Idiosyncrasy การตอบสนองที่แตกต่างจากปกติ
เกิดจากความแตกต่างทางพันธุกรรมในการเปลี่ยนแปลงยา
นายศราวุฒิ เป็งมูล รหัสนักศึกษา 6201210255 เลขที่ 11 Sec B วิชา SN 201