Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การประเมินสัญญาณชีพ - Coggle Diagram

- - - - ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถวัดอุณหภูมิทางปาก
        และทางทวารหนัก
    - - มักจะใช้วัดในเด็กเล็กที่ไม่สามารถอมปรอทได้
    - - เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด
    - - (1) การวัดทางหู
      - (2) การวัดทางผิวหนัง
  - - - (3)การแผ่รังสี
      - (4)การระเหยเป็นไอ
      - (2) การพาความร้อน
      - (1) การนําความร้อน
  - - - “ไข้”
        
        2) ระยะไข้
        
        (3) ระยะสิ้นสุดไข้
        
        (1) ระยะเริ่มต้น หรือระยะหนาวสั่น
      - การลูบตัวลดไข้
        
        (2) การลูบตัวด้วยน้ําเย็นจัด
        
        (3) การลูบตัวด้วยน้ําอุ่น
        
        (1) การลูบตัวด้วยน้ําธรรมดา
        
        (4) การเช็ดตัวด้วยแอลกอฮอล์
    - - ภาวะที่อุณหภูมิแกนกลางของร่างกายต่ํากว่าอุณหภูมิปกติ คือต่ํากว่า 36 °C (97°F) เรียกว่า Subnormal temperature หรือHypothermia เนื่องมาจากการที่ร่างกายสูญเสียความร้อนมากไป การผลิตความร้อนไม่สมดุลกับการสูญเสียความร้อน
- - - - อยู่บริเวณขาหนีบตรงกลางๆส่วนของเอ็นที่ยึดขาหนีบ
    - - อยู่บริเวณตรงกลางข้อพับเข่าถ้างอเข่าจะสามารถคลําได้ง่ายขึ้น
    - - อยู่ที่ข้อมือด้านในบริเวณกระดูกปลายแขนด้านนอกหรือด้านหัวแม่มือ
    - - อยู่บริเวณกลางหลังเท้าระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้
    - - อยู่ด้านในของกล้ามเนื้อBicepคลําได้ที่บริเวณข้อพับแขนด้านใน
    - - อยู่ที่ยอดของหัวใจหน้าอกด้านซ้ายบริเวณที่ตั้งของหัวใจ
    - - อยู่ด้านข้างของคอคลําได้ชัดเจนที่สุดบริเวณมุมขากรรไกรล่าง
    - - อยู่บริเวณหลังปุ่มกระดูกข้อเท้าด้านใน
    - - จับที่เหนือและข้างๆตาบริเวณTemporal bone
  - - - (1)จังหวะของชีพจรปกติ
        
        จะมีช่วงพักระหว่างจังหวะเท่ากัน
        ชีพจรเต้นสม่ำเสมอ
        
        เรียกว่า Pulse regularis
      - (2)จังหวะของชีพจรผิดปกติ
        
        ชีพจรที่เต้นไม่เป็นจังหวะแต่ละช่วงพักไม่สม่ําเสมอ ชีพจรเต้นไม่สม่ําเสมอ หรืออาจจะมีจังหวะการเต้นสม่ําเสมอสลับกับไม่สม่ําเสมอ
        
        เรียกว่า Arrhythmiaหรือ Irregular
    - - ความแรงของชีพจรขึ้นอยู่กับปริมาตรของเลือด
        ในการกระทบผนังของหลอดเลือดแดง
    - - (1)ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่มากกว่า100ครั้ง/นาที
        
        เรียกว่าTachycardia
      - (2)ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่น้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที
        
        เรียกว่า Bradycardia
    - - ระบบประสาทพาราซิมพาธิติค
        
        เมื่อถูกกระตุ้นมีผลให้อัตราการเต้นของชีพจรลดลง
      - ระบบประสาทซิมพาธิติค
        
        เมื่อถูกกระตุ้นมีผลเพิ่มอัตราการเต้นของชีพจร
  - - - 2)เพศ
      - 3)การออกกําลังกาย
      - 1)อายุ
      - 4)ภาวะไข้
      - 5)ยา
      - 6)อารมณ์
      - 7)ท่าทาง
      - 8)ภาวะเสียเลือด
- - - - (2)ปากกาน้ําเงินและแดง
      - (3)กระดาษและแบบฟอร์มการบันทึก
      - (1)นาฬิกาที่มีเข็มวินาที
    - - (3)เริ่มนับการหายใจหลังจากการนับชีพจรเสร็จแล้วโดยพยาบาลยังคงจับข้อมือผู้ป่วยไว้เสมือนว่ากําลังนับชีพจร เพื่อป้องกันผู้ป่วยเกร็งและควบคุมการหายใจด้วยตนเอง
      - (4)นับอัตราการหายใจ สังเกตความลึก จังหวะ และลักษณะการหายใจ ในผู้ใหญ่ สังเกตการเคลื่อนไหวของทรวงอกในเด็กสังเกตการเคลื่อนไหวของท้อง
      - (2)บอกให้ผู้ป่วยทราบและขออนุญาตจับต้องตัวผู้ป่วย
      - (5)ประเมินการหายใจเต็ม 1 นาที
      - (1)ล้างมือให้สะอาด
      - (6)บันทึกลงกระดาษที่เตรียมไว้และบันทึกในแบบฟอร์มต่อไป
      - (7)ล้างมือให้สะอาด
  - - - (1)Cheyne stokesเป็นการหายใจเป็นช่วงๆไม่สม่ําเสมอ
      - (2)Biotเป็นการหายใจปกติสลับกับการหายใจเร็วลึก
    - - (3)Paroxysmal nocturnal dyspnea
      - (4)Paroxysmal dyspnea
      - (2)Orthopnea
      - (5)Air hunger
      - (1)Dyspnea
    - - (1)Hypoventilationเป็นการหายใจช้าและตื้น
      - (2)Hyperventilationเป็นการหายใจเร็วและลึก
    - - (1)Stridor เสียงฟืด
      - (2)Wheezeเป็นเสียงวี๊ดได้ยินขณะหายใจออก
    - - (2)Bradypneaอัตราการหายใจในผู้ใหญ่ น้อยกว่า 10ครั้ง/นาที
      - (3)Apneaการหยุดหายใจ
      - (1)Tachypnea อัตราการหายใจในผู้ใหญ่ มากกว่า 24ครั้ง/นาที
    - - Cyanosisพบเยื่อบุและผิวหนังมีสีม่วงคล้ํา ซึ่งบ่งชี้ถึงการขาดออกซิเจนเนื่องจากปริมาณออกซิเจนในเลือดลดลง
  - - - 1)การหายใจเพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างปอดกับอากาศภายนอก(External respiration)
        
        (1)การสูดเอาอากาศเข้าไปในถุงลมของปอด
        เรียกว่าการหายใจเข้า(Inspiration or Inhalation)
        
        (2)การไล่อากาศออกจากปอด
        เรียกว่าการหายใจออก(Expiration or Exhalation)
      - 2)การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งอยู่ในเลือดกับเซลล์ของเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกาย(Internal respiration)
- - - - วิธีการฟัง
      - วิธีการคลํา
  - - - ควรมีการตรวจสัญญาณชีพ
      - ในผู้ที่ต้องนอนนาน ๆ ควรป้องกันภาวะวิงเวียนขณะลุก โดยค่อย ๆ ลุกนั่งและยืนช้า ๆ เพื่อให้ร่างกายได้มีการปรับตัวทัน
      - จัดให้ผู้ป่วยนอนพัก เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น
      - สําหรับผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง แต่มีความดันโลหิตค่อนข้างต่ํา ควรดูแลตนเองโดยการออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ และควรเคร่งครัดในการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เพียงพอ
    - - จํากัดอาหารพวกแป้ง ไขมัน น้ำตาล
      - พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงภาวะเครียด
      - จํากัดเกลือ หรืออาหารเค็ม
      - ออกกําลังกายอย่างเหมาะสม