Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การประเมินสัญญาณชีพ - Coggle Diagram
การประเมินสัญญาณชีพ
อุณหภูมิของร่างกาย
เป็นระดับความร้อนของร่างกาย
ความสมดุลการสร้างความร้อน
การสูญเสียความร้อนจากร่างกายไปยังสิ่งแวดล้อม
หน่วยเป็นองศาเซลเซียส (°C)
หรือองศาฟาเรนไฮต์ (° F)
อุณหภูมิในร่างกาย
อุณหภูมิส่วนแกนกลาง (Core temperature)
เนื้อเยื่อชั้นลึก (Deep tissue)
เช่น ศีรษะ ทรวงอก ช่องท้อง ช่องท้องน้อย
อุณหภูมิผิวนอก (Surface temperature)
เนื้อเยื่อชั้นผิว (Skin subcutaneous tissue fat)
เช่น แขน ขา
ปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างความร้อน
กลไกของร่างกาย (Physiological mechanisms)
การพาความร้อน (Convection)
โดยอาศัยตัวกลาง
การเช็ดตัวขณะมีไข้น้ำ
การแผ่รังสี (Radiation)
ส่งผ่านความร้อนในรูปของคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้า
ไม่มีการสัมผัสกันของทั้ง 2 พื้นผิว
การนำความร้อน (Conduction)
โดยอาศัยสื่อร่างกายต้องสัมผัสโดยตรงกับสิ่งที่เย็นกว่า
เช่น การดื่มน้ำขณะมีไข้
การระเหยเป็นไอ (Evaporation)
ทางผิวหนัง ร้อยละ 87.5
ทางลมหายใจ ร้อยละ 10.7
ทางอุจจาระปัสสาวะ
ร้อยละ 1.7
กลไกของการเกิดพฤติกรรม
(Behavioral mechanism)
การถอดเสื้อผ้า หรือ สิ่งตกแต่งที่ทำให้อุ่น
การลดกิจกรรมต่าง ๆ
เคลื่อนย้ายไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็น
ปัจจัยที่มีผลต่ออุณหภูมิของร่างกาย
อารมณ์
ฮอร์โมน
การออกกำลังกาย
สิ่งแวดล้อม
อายุ
ภาวะโภชนาการและชนิดของอาหารที่รับประทาน
ความผันแปรในรอบวัน
การติดเชื้อในร่างกาย
การประเมินอุณหภูมิของร่างกาย
วิธีการวัดอุณหภูมิของร่างกาย
การวัดอุณหภูมิทางรักแร้ (Axillary temperature)
ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถวัดอุณหภูมิทางปากและทางทวารหนัก
สามารถวัดได้ทุกช่วงวัย
ใช้เวลานาน 5 นาทีขึ้นไป
ถ้าเพิ่งทำความสะอาด
ให้ยืดเวลาวัดออกไปประมาณ 15-30 นาที
การวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก (Rectaltemperature)
มักจะใช้วัดในเด็กเล็กที่ไม่สามารถอมปรอทได้
(เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี)
/หรือผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว
มีรอยโรค
ได้รับการผ่าตัดทางทวารหนัก
โรคหัวใจหรือ
หลังผ่าตัดหัวใจ มีเกล็ดเลือดต่ำ
มีก้อนอุจจาระแข็งค้างแน่น
ห้ามวัดอุณหภูมิทางทวาร
หนัก เด็กทารก เด็กเล็ก ที่ท้องเสีย
การวัดอุณหภูมิทางปาก (Oral temperature)
ข้อห้าม
ห้ามวัดอุณหภูมิทางปาก ในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว โรคลมชักหรือเกร็ง
โรคในช่องปาก ผ่าตัดบริเวณจมูกหรือปาก
ห้ามใช้ในเด็กเล็กๆ ในผู้ป่วยที่ให้ออกซิเจนทางหน้ากาก
ดื่มน้ำ/ของเหลวที่ร้อน เย็น สูบบุหรี่ / เคี้ยวหมากฝรั่ง
จะต้องรอประมาณ 15-30 นาทีจึงจะวัด
เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด
แท่งแก้วบรรจุปรอท
ดิจิทัลบอกค่าเป็นตัวเลข
การวัดอุณหภูมิโดยใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic temperature)
การวัดทางหู
ใช้ง่าย อ่านค่าเร็ว
ห้ามในผู้ป่วยที่แก้วหูทะลุหรือมีรอยแผลที่แก้วหู
ห้ามใช้หากมีขี้หูหรือมีหูน้ำหนวก
การวัดทางผิวหนัง
ภาวะอุณหภูมิร่างกายผิดปกติและการพยาบาลผู้ป่วย
อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ (Hyperthermia)
มีการผลิตหรือรับความร้อนมาก
อุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้นกว่าปกติ มากกว่า 37.5˚C (99.4˚F)
ไข้
ระยะไข้
อุณหภูมิสูงขึ้นถึงระดับใหม่ที่กำหนดไว้
อุณหภูมิสูงมากๆ
จะสับสน ถ้าเป็นในเด็กอาจจะชัก
ระยะสิ้นสุดไข้
พยายามที่จะลดอุณหภูมิภายในร่างกายไปสู่อุณหภูมิใหม่ ต่ำกว่าจุดที่กำหนดไว้
มีเหงื่อออก อาการหนาวสั่นลดลง อาจเกิดภาวะขาดน้ำได้
ระยะเริ่มต้น หรือระยะหนาวสั่น
พยายามที่จะเพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้น
อัตราการเต้นของชีพจรและการ
หายใจ เพิ่มขึ้น หนาวสั่น ซีด ผิวหนังเย็น และเหงื่อออกน้อย
การลูบตัวลดไข้
การลูบตัวด้วยน้ำเย็นจัด (Cold sponge)
การลูบตัวด้วยน้ำอุ่น (Warm sponge)
การลูบตัวด้วยน้ำธรรมดา (Tepid sponge)
การเช็ดตัวด้วยแอลกอฮอล์ (Alcohol sponge)
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ
วัดอุณหภูมิร่างกายภายหลังการเช็ดตัว หรือหลังให้ยาลดไข้ 30 นาที
ดูแลเช็ดตัวลดไข้ ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาลดไข้ตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อน จัดสภาพแวดล้อมให้อากาศถ่ายเท
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับความอบอุ่นในระยะที่มีอาการหนาวสั่น
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรตสูง
แนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ ในรายที่ไม่มีข้อห้าม
บันทึกปริมาณน้ำเข้า-น้ำออก (I/O)
เตรียมเสื้อผ้าแห้งให้ผู้ป่วยใส่
ติดตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกาย
ดูแลช่องปากให้เยื่อบุชุ่มชื้น
อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ (Hypothermia)
อุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าอุณหภูมิปกติ คือต่ำกว่า 36 °C (97° F)
ร่างกายสูญเสียความร้อนมากไป
การผลิตความร้อนไม่สมดุลกับการ
สูญเสียความร้อน
ศูนย์ควบคุมความร้อนในไฮโปธาลามัสเสียหน้าที่
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ
วางกระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าห่มไฟฟ้า
คลุมหรือโพกศีรษะด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่
เพิ่มความหนาของผ้าห่มหรือเพิ่มจำนวนผ้าห่ม
ให้ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอุ่นๆ
จัดสิ่งแวดล้อมให้อบอุ่น
ถูและนวดผิวหนัง
ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจใช้การโอบกอด
ให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วย โดยการอยู่กับผู้ป่วย
สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
กระบวนการพยาบาลในการประเมินสัญญาณชีพ
การวางแผนการพยาบาล
ป้องกันอาการชักจากภาวะไข้สูง
ภาวะติดเชื้อ
การปฏิบัติการพยาบาล
ดูแลให้ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ อาการถ่ายเทได้สะดวก
เช็ดตัวลดไข้โดยใช้น้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่น
ให้ยา Paracetmol ลดไข้
ประเมินสัญญาณชีพ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะ (กรณีมีการติดเชื้อร่วมด้วย)
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ไม่สุขสบายเนื่องจากอุณหภูมิร่างกายสูง
มีภาวะติดเชื้อในร่างกาย
การประเมินสภาพ
ตรวจร่างกาย และประเมินสัญญาณชีพ
จากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจพิเศษอื่นๆ
ซักประวัติการสัมผัสเชื้อ ระยะเวลา การรักษา
การประเมินผลสัญญาณชีพ
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่น
ให้ความร่วมมือในการ
รักษาพยาบาล
สัญญาณชีพ (Vital signs)
สิ่งที่แสดงให้ทราบถึงการมีชีวิต
สังเกตและตรวจ
การหายใจ (respitation)
ความดันโลหิต (Blood pressure)
ชีพจร (pulse)
อุณหภูมิ (Temparature)
ข้อบ่งชี้ในการวัดสัญญาณชีพ
่ก่อนและหลังตรวจวินิจฉัยโรคที่ต้องใส่เครื่องมือตรวจเข้าไปในร่างกาย
ก่อนและหลังให้ยาบางชนิด
ก่อนและหลังการผ่าตัด
มื่อสภาวะทั่วไปของร่างกายผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลง
วัดตามระเบียบแบบแผน
ก่อนและหลังการให้การพยาบาลที่มีผลต่อสัญญาณชีพ
เมื่อแรกรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล
ค่าปกติของสัญญาณชีพ
ค่าสัญญาณชีพของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน
เพศ
ตรวจในขณะพัก หรือหลังการเคลื่อนไหว
อายุ
เกณฑ์ในการประเมินความผิดปกติของสัญญาณชีพ (ปกติในผู้ใหญ่)
ชีพจร = 60-100 ครั้ง/นาท
หายใจ = 12-20 ครั้ง/นาท
อุณหภูมิ = 36.5-37.5 องศาเซลเซียส
ความดันโลหิต
Systolic = 90-140 mmHg
Diastolic = 60-90 mmHg
ชีพจร
ความหมาย
การบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย
คลื่นความดันเลือดไปดันผนังเส้นเลือดแดงให้ขยาย
การหดและขยายตัวของผนังหลอดเลือด
ปัจจัยที่มีผลต่อการเต้นของชีพจร
ภาวะไข้
การออกกำลังกาย
ยา ยาบางชนิด
อารมณ์
เพศ หญิงจะเร็วกว่าชายเล็กน้อย
ท่าทาง
อายุ
ภาวะเสียเลือด
การประเมินชีพจร
เรียกชื่อชีพจรตามตำแหน่ง
Femoral pulse อยู่บริเวณขาหนีบ
Popliteal pulse อยู่บริเวณตรงกลางข้อพับเข่า
Radial pulse อยู่ที่ข้อมือด้านใน
Dorsalis pedis pulse อยู่บริเวณกลางหลังเท้า
Brachial pulse อยู่ด้านในของกล้ามเนื้อ Bicep
Apical pulse อยู่ที่ยอดของหัวใจ
Carotid pulse อยู่ด้านข้างของคอ
Posterior tibial pulse อยู่บริเวณหลังปุ่มกระดูกข้อเท้า
Temporal pulse เหนือและข้างๆตา
วัตถุประสงค์
ประเมินอัตรา จังหวะ และความแรงในการเต้นของชีพจร
ตรวจสอบการทำงานของหัวใจ
ลักษณะชีพจรที่ผิดปกติ
อัตรา (Rate) การเต้นของชีพจร
ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่
มากกว่า 100 ครั้ง/นาที
= Tachycardia
ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่
น้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที
= Bradycardia
จังหวะ (Rhythm) การเต้นชีพจร
จังหวะของชีพจรปกติ
จังหวะเท่ากัน
ชีพจรเต้นสม่ำเสมอ
เรียกว่า Pulse regularis
จังหวะของชีพจรผิดปกติ
เต้นไม่เป็นจังหวะแต่ละช่วงพักไม่สม่ำเสมอ
จังหวะการเต้นสม่ำเสมอสลับกับไม่สม่ำเสมอ เรียกว่า Arrhythmia
ปริมาตรความแรง (Volume)
ขึ้นอยู่กับปริมาตรของเลือดในการ
กระทบผนังของหลอดเลือดแดง
โดยปกติ Bloodflow
มีอัตราเร็วประมาณ 0.5 เมตรต่อวินาที
ความยืดหยุ่นของผนังของหลอดเลือด
ในผู้สูงอายุผนังหลอดเลือดแดงมีความยืดหยุ่นน้อยขรุขระ และไม่สม่ำเสมอ
การหายใจ
ปัจจัยที่มีผลต่อการหายใจ
จังหวะและความลึกของการหายใจ
สภาวะแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงอารมณ์
ความเจ็บป่วย
ความหมาย
การนำออกซิเจนจากอากาศเข้าสู่ร่างกาย
ขับคาร์บอนไดออกไซด์ออก
แลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างปอดกับ
อากาศภายนอก
การสูดเอาอากาศเข้าไปในถุงลมของปอด
การไล่อากาศออกจากปอด
การแลกเปลี่ยนก๊าซซึ่งอยู่ในเลือด
กับเซลล์ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย
การประเมินการหายใจ
การนับอัตราการหายใจเข้าและออก
หายใจเข้าออกนับเป็น 1 ครั้ง
ไปจนครบ 1 นาที
ลักษณะการหายใจที่ผิดปกติ
อัตราเร็วของการหายใจ
Bradypnea อัตราการหายใจในผู้ใหญ่ น้อยกว่า 10 ครั้ง/นาที
Apnea การหยุดหายใจ
Tachypnea อัตราการหายใจในผู้ใหญ่ มากกว่า 24 ครั้ง/นาที
ความลึกของการหายใจ
Hypoventilation เป็นการหายใจช้าและตื้น
Hyperventilation เป็นการหายใจเร็วและลึก
จังหวะของการหายใจ
Cheyne stokes เป็นการหายใจเป็นช่วง ๆ ไม่สม่ำเสมอ
Biot เป็นการหายใจปกติสลับกับการหายใจเร็วลึก
ลักษณะของการหายใจปกติ (Eupnea)
Paroxysmal nocturnal dyspnea หายใจลำบากในตอนกลางคืน
Paroxysmal dyspnea หอบอย่างรุนแรง ต้องลุกนั่ง
Orthopnea หายใจลำบากในท่านอนราบ
Air hunger การพยายามหายใจโดยใช้ทั้งทางจมูก และปากอย่างรุนแรง
Dyspnea เป็นอาการหายใจลำบาก
ลักษณะเสียงหายใจที่ผิดปกติ
Stridor เสียงฟืด เป็นเสียงที่ได้ยินขณะหายใจเข้า
Wheeze เป็นเสียงวี๊ดได้ยินขณะหายใจออก
สีของผิวหนังที่ผิดปกติ
Cyanosis พบเยื่อบุและผิวหนังมีสีม่วงคล้ำ
ขาดออกซิเจนเนื่องจากปริมาณออกซิเจนในเลือดลดลง
ความดันโลหิต
ความหมาย
งดันของเลือดที่ไปกระทบกับผนังเส้นเลือดแดง
ค่าความดันโลหิต
Systolic pressure
Diastolic pressure
ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลติต
อิริยาบถขณะวัดความดันโลหิต การออกกำลังกาย
ความเครียดและการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์
อายุ
ปัจจัยอื่น ๆ
เพศ เพศชายมักมีความดันโลหิตสูงกว่าเพศหญิงในวัยเดียวกัน
ยา
รูปร่าง คนอ้วนความดันโลหิตมักสูงกว่าคนผอม
การประเมินความดันโลหิต
วิธีประเมินความดันโลหิต
การวัดความดันโลหิตโดยทางตรง
(Central venous blood pressure:C.V.P)
ใส่สายสวน
การวัดความดันโลหิตโดยทางอ้อม
วิธีการฟัง
วิธีการคลำ
ลักษณะความดันโลหิตที่ผิดปกติ
Hypertension
Systolic สูงกว่า 140 mmHg
Diastolic สูงกว่า 90 mmHg
ปวดศีรษะ บริเวณท้ายทอย ตาพร่า หรือมองไม่เห็น คลื่นไส้
อาเจียน ชักและหมดสติ
บทบาทพยาบาลที่สำคัญ
จำกัดอาหารพวกแป้ง ไขมัน น้ำตาล
พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงภาวะเครียด
จำกัดเกลือ หรืออาหารเค็ม
ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
Hypotension
Diastolic ต่ำกว่า 60 mmHg
อาการ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หน้าซีด เหงื่อออก ตัว
เย็น เป็นลมหมดสติ
Systolic ต่ำกว่า 90 mmHg
Orthostatic hypotension
ความดันโลหิตตกในท่ายืน การเปลี่ยนจากท่า
นอนราบเป็นท่ายืนทันที
ความดันโลหิตลดต่ำลงทันที
บทบาทของพยาบาล
ควรมีการตรวจสัญญาณชีพ และตรวจร่างกาย
ป้องกันภาวะวิงเวียนขณะลุก
จัดให้ผู้ป่วยนอนพัก
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ควรเคร่งครัดในการเลือกรับประทานอาหาร