Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง - Coggle Diagram
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง
การพยาบาล
ก่อนกำหนด
1.ควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้ปกติ 36.8-37.2
ส่วน Hypothalamus
ไขมันสีน้ำตาลน้อย พัฒนาการกล้ามเนื้อไม่ดี เคลื่อนไหวน้อย ไกลโคเจนที่ตับน้อย ไม่มีการสั่นของกล้ามเนื้อ
ต่อมเหงื่อไม่เจริญ ระบายความร้อนไม่ได้
ไขมันน้อย เสียความร้อนได้ง่าย
อุณหภูมิต่ำ Cold stress ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน
Hypoxia
Hypoglycemia
Metabolic acidosis
PFC
Right to left shunt
IVH
การพยาบาล
1.จัดสิ่งแวดล้อมให้ออกซิเจนและสารอาหารน้อยที่สุด อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง NTE
ให้อยู่ในตู้อบ
ใช้เครื่องรังสีความอบอุ่น
ป้องกันการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายทั้งโดยการนำ, การพาความร้อน การแผ่รังสีและการระเหย
ประเมินอุณหภูมิร่างกายตามอาการของทารก พร้อมทั้งสังเกตอาการทางคลินิก ของการมีอุณหภูมิร่างกายต่ำหรือสูงกว่าปกติ
เขียวปลายมือเท้า เมื่อ Hypothermia
ผิวแดงร้อน
หายใจเร็ว Hyperthermia
การดูแลด้านการหายใจให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ทารกเกิดก่อนกำหนดมีความไม่สมบูรณ์ของการหายใจ
ศูนย์ควบคุมการหายใจใน medulla ยังไม่เจริญเต็มที่
กล้ามเนื้อช่วยการหายใจไม่ สมบูรณ์ท้าให้เกิด periodic breathing
หายใจเร็วตืนไม่สม่ำเสมอ กลั้นหายใจบ่อย
Apnea : กลันหายใจเกิน 20 วินาที หัวใจเต้นช้าลง เขียว มักจะเกิดในระยะหลับ ชนิด Rapid Eye movement หรือ Active sleep
ปอดพัฒนาไม่เต็มที่ เส้นเลือดฝอยมีน้อย Surfactant ยังสร้างไม่สมบูรณ์ ทำให้ถุง ลมขยายตัวได้น้อยและช้า เมื่อหายใจเข้า แฟบได้ง่ายเมื่อหายใจออก มีอาการหายใจ ลำบา
รีเฟล็กซ์เกี่ยวกับการไอมีน้อย และหายใจทางปากยังไม่ได้
ฮีโมโกลบินของทารกเป็น Hb-F ซึ่งรับออกซิเจนได้ดี แต่ปล่อยให้เซลได้น้อย
การพยาบาล
ประเมินการหายใจ อัตรา แรง retraction สีผิว ปีกจมูก การกลั้นหายใจ
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง ดูดเสมหะ จัดท่าไม่ก้มไม่หงายเกิน
ขณะมีการกลั้นหายใจควรกระตุ้นโดยการเขี่ยหรือเขย่าท่ีใบหน้าหรือลำตัว ถ้ากลั้นหายใจบ่อยๆ รายงานให้แพทย์ทราบ
ดูแลให้ได้รับยาTheophyllineตามแผนการรักษาเพื่อลดอัตราการเกิดภาวะApnea
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูให้ความอบอุ่นแก่ทารกป้องกันการเกิดcold stress
ให้ทารกได้พักหลีกเลี่ยงการจับต้องทารกเกินความจำเป็น(over handling)
3.การให้สารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
ความต้องการสารอาหารประจำวัน (daily requirement) สูงกว่าทารกเกิดครบกำหนด
การสะสมอาหารขณะอยู่ในครรภ์มารดาน้อย
อาการทั่วไปไม่เอือให้ได้รับสารอาหารจำนวนตามต้องการ
หายใจลำบาก
ท้องอืด
ความสมบูรณ์ของระบบทางเดินอาหารมีน้อย
Reflex
Cardiac sphincter
น้ำย่อยในกระเพาะมีน้อย ตับสร้างน้ำดีได้น้อย
ใช้พลังงานมากกว่าปกติ
หายใจลำบาก
อุณหภูมิต่ำ
น้ำตาลต่ำ
การพยาบาล
1-2 วันแรก งดน้ำและนมตามแผนรักษา ให้สารอาหารทาง IV ดูแลให้อาหารทางปาก เมื่อภาวะการหายใจค่อนข้างคงที่ ได้ยินลำไส้ทำงาน
ไม่มีอาการท้องอืดgastriccontentมีมากหรือผิดปกติรวมทั้งสีผิว กำลังของ กล้ามเนื้อปกติโดยจะเร่ิมด้วยนมจำนวนน้อยๆก่อนแล้วค่อยๆเพิ่มจานวน โดยแพทย์จะยังคงให้สารน้ำและะสารอาหารทางIV
การให้นมแก่ทารก พยาบาลควรส่งเสริมให้ทารกได้รับนมมารดาให้มากท่ีสุด เพราะมีภูมิคุ้มกันโรคและสามารถป้องกันโรค Necrotizing enterocolits ได้
กรณีท่ี มารดาไม่สามารถให้นมได้ให้นมชนิดPrematureformulaทั้งนี้จำนวนนม, จำนวนมื้อและวิธีการให้ขึ้นอยู่กับอายุ สภาพร่างกายทั่วไป และความสามารถ ในการรับนมของทารก
ประเมินความสามารถในการรับนมได้ของทารกเช่น จำนวน ลักษณะของ gastric content อาการท้องอืด สำรอกนม หายใจลาบากหลังให้นม มีเลือดปนใน อุจจาระหรือมี occult blood
ดูแลการได้รับสารน้ำและสารอาหารทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา (Hyperalimentation หรือ Total parenteral Nutrition, TPN)
ชั่งน้ำหนักทุกวัน ในสัปดาห์แรกทารกจะมี physiological weight loss ประมาณ 10- 20% ของน้ำหนักแรกเกิด หลังจากนั้นถ้าได้รับสารอาหารเพียงพอหรือไม่มีความ เจ็บป่วยรุนแรง น้ำหนักของทารกจะเพิ่มขึ้นวันละ 20-30 กรัม
เมื่อทารกอาการดีขึ้นจะสามารถรับนมได้มากขึ้นจนกระทั่งไม่ต้องยังคงให้สารน้ำและะสารอาหารทางหลอดเลือดดำต่อไป เหลือแต่การให้นมทางปากอย่างเดียว ซึ่งในระยะนี้ทารกต้องการสารอาหารประมาณ130แคลอรี่/กก./วันหากแคลอรี่ที่ได้จากนมมารดาไม่เพียงพอ แพทย์มักจะให้เติมนมผง premature formula ลงใน นมมารดาด้วย
ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงภาวะที่จะทำให้ทารกมีการใช้พลังงานในร่างกายมากกว่า ปกติ เช่น การมีอุณหภูมิร่างกาย หายใจลพบาก มีการติดเชื้อ
4.การป้องกันการติดเชื้อ
ทารกเกิดก่อนกำหนดมีโอกาสติดเชื้อง่าย
การสร้าง IgM ยังไม่สมบูรณ์ และได้รับ IgG จากมารดา
มาน้อยไม่ได้รับIgAจากน้ำนมมารดา
เม็ดเลือดขาวมีน้อยและทาหน้าที่ไม่สมบรูณ์
ผิวหนังและเยื่อบุปกป้องการติดเชื้อได้น้อย
การพยาบาล
ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนและหลังให้การพยาบาลทุกครั้ง
เครื่องมือและส่ิงของท่ีใช้กับทารกต้องสะอาดหรือผ่านการทำลายเชื้อโรค
อุปกรณ์ ท่ีใช้กับทารกต้องใช้เฉพาะคน
ดูแลความสะอาดท่ัวไปของร่างกายและส่ิงแวดล้อม
ในรายท่ีมีปัจจัยเสี่ยงท่ีจะทำให้เกิดการติดเชื้อ เช่น ได้รับการช่วยเหลือฟื้นคืนชีพ(CPR)เป็นเวลานานมารดามีถุงน้ำคร่ำแตก ก่อนกำหนดคลอดในสถานท่ีไม่สะอาดเป็นต้น ช่วยแพทย์ทำSeptic work up และตดิ ตามผล รวมทั้งสังเกตอาการของการติดเชื้อและดูแลให้ยาปฏิชีวนะ ตามแผนการรักษา
การป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
ทารกเกิดก่อนกำหนด เกิดน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่ายในทารกแรกเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำหมายถึงระดับน้ำตาลในพลาสมาต่ำกว่า 40 mg%
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จ้ากัด รวมทังการสร้างกลูโคส (glucogenesis) เองที่ตับก็ ทำได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด เช่น การขาดออกซิเจน อุณหภูมิกายต่ำ
ไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
ทำให้มีการใช้น้ำตาลมาก
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับน้ำและนมทางปาก และ/หรือสารน้ำสารอาหารทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
แก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดสาเหตุส่งเสริมให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น ภาวะที่มีอุณหภูมิร่างกายต่ำภาวะหายใจลำบาก
ติดตามผล dextrostix หรือ blood sugar และประเมินอาการทางคลินิกของการมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น มีสั่นระรัวของมือและเท้า (Prolonged tremor) ซึม กลันหายใจ เขียว ชักเกร็ง
การป้องกันการเกิดเลือดออกและโลหิตจาง
คือ
ทารกเกิดก่อนกำหนดมีแนวโน้มที่จะเกิดเลือดออกในสมองและภาวะโลหิตจางได้ง่าย
มีเส้นเลือดมาเลียงที่ ventricle ของสมองมากมาย เสี่ยงต่อการเกิด Intra ventricular hemorrhage (IVH) ได้ เมื่อทารกมีภาวะความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือเมื่อ ทารกมีภาวะการเป็นกรด หรืออุณหภูมิกายต่้า เป็นต้น
ผนังเส้นเลือดพัฒนาไม่สมบูรณ์และขาด connective tissuse จึงเปราะบางง่าย
Prothrombin และ Hematogenous-factor ต่ำขาดวิตามินเค เลือดจึงแข็งตัวได้ยาก
เหล็กที่ได้รับจากมารดาใน 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์มีจำนวนน้อย
Hb-F ของทารกมีชีวิตสัน
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับการฉีด Vit K1 เข้ากล้ามเนื้อตามแผนการรักษา
หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อควรจะฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำถ้าจำเป็นต้องฉีดเข้ากล้ามเนือ
ดูแลการได้รับ Vit. E และ FeSO4 ทางปากตามแผนการรักษา
ขณะดูดเสมหะหรือขณะใส่สายยางเข้าไปในทางเดินอาหาร ควรจะใส่อย่างระมัดระวัง นุ่มนวล
ติดตามและรายงานผล CBC ดูแลการได้รับเลือดในรายที่มี platelet หรือ Hematocrit ต่ำ
สังเกตและรายงานอาการที่แสดงว่ามีเลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ เช่น gastric content มีเลือดปน มีจุดเลือดบริเวณผิวหนัง อุจจาระมีเลือดปน มีอาการซึม ชัก ในรายที่เลือดออกในสมอง (IVH) เป็นต้น
ดูแลให้ทารกได้รับธาตุเหล็กตามแผนการรักษา
การคงไว้ซึ่งความสมดุลของน้ำ กรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์
คือ
ไตยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ Glomerular filtration rate ต่ำทำให้ความสามารถในการควบคุมสมดุลของ น้ำ กรด-ด่าง อิเลคโทรลัยต์ และการขับสารต่างๆ ออกจากร่างกายมีขีดจำกัด
การพยาบาล
ดูแลการได้รับสารน้ำและอิเลคโทรลัยต์ ให้เพียงพอตามแผนการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับ ทางหลอดเลือดดำ ต้องตรวจเช็คชนิด จ้านวนสารน้ำ อิเลคโทรลัยต์ ที่ได้รับอย่างเคร่งครัด
จดบันทึก Intake และ output อย่างละเอียดและถูกต้อง ควรบันทึกปัสสาวะเป็นซีซี. มากกว่านับ จ้านวนครั้งในทารกที่ต้องการติดตามอย่าง ใกล้ชิด ทารกแรกเกิดควรจะมีปัสสาวะ 2 – 3 มล. / กก. / ชม. ถ้าปัสสาวะออกมากกว่า 4 มล. / กก. / ชม. ถือว่าปัสสาวะออกมาก หากน้อย กว่า 1 มล. / กก. / ชม. ถือว่าปัสสาวะออกน้อย
ติดตามผล blood gas BUN electrolyte urine specific gravity
สังเกตอาการและอาการแสดงของการมีภาวะไม่สมดุลย์ของน้ำกรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทารกที่อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเกิด เช่น ได้รับการส่องไฟ มีอาการท้องอืดต้องดูด gastric content ออกทิ้งบ่อย ๆ
การป้องกันการเกิดการแตกทำลายของผิวหนัง
ผิวหนังของทารกเกิดก่อนกำหนดยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ มีชัน stratum corneum น้อยชั้นกว่าทารกครบกำหนด
ผิวหนังชั้น epidermis และ dermis อยู่กันอย่างหลวม ๆ และมี keratin เคลือบผิวหนังน้อยทำให้มีผิวหนังบาง เพิ่มการซึมซ่านผ่าน ( permeability ) ของผิวหนังและเพิ่มการสูญเสียน้ำทางผิวหนัง ผิวหนังบาดเจ็บ แตกท้าลาย (Skin breakdown)ได้ง่าย
การพยาบาล
หลีกเลี่ยงการใช้พลาสเตอร์กับทารกเกินความจำเป็น ถ้าจำเป็นพลาสเตอร์ที่ใช้กับทารกเหล่านี้ควรใช้แบบที่ไม่ ติดแน่นจนเกินไป
การแกะพลาสเตอร์ หรือ เทปออกจากผิวหนัง จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก และสังเกต อาการแพ้ หรือการแตกทำลายของผิวหนังจากการใช้พลาสเตอร์
ระมัดระวังการรั่วของสารน้ำออกจากหลอดเลือดในรายที่ได้รับสารน้ำ, สารอาหารทางหลอดเลือดดำ
การติด probe หรือ electrode ต่างๆ ไม่ควรติดแน่นเกินไปและเปลี่ยนตำแหน่งการติดรวมทั้งเปลี่ยนท่านอน บ่อย ๆ ตามความเหมาะสมและอาการของทารก
ระมัดระวังการใช้สารละลาย สารเคมี กับผิวหนังทารก เช่น น้ายาฆ่าเชือทางผิวหนัง
การป้องกันการเกิด Retinopathy of Prematurity (ROP)
การเกิดROPในทารกเกิดก่อนกำหนด เกิดจากปัจจัยส้าคัญคือพัฒนาการของหลอดเลือดที่ไปเลียง retina ยังไม่สมบูรณ์
ส่งเสริมคือการได้รับออกซิเจนมากเกินไป จึงมีการเกิดหลอดเลือด ใหม่ (neovascularization) ที่ผิดปกติส่งผลให้เกิดการหลุดลอกของจอตา ( retinal detachment)
ได้ในระยะต่อมาทพให้ทารกมีสายตาเลือนราง หรือตาบอด
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกรับออกซิเจนเท่าที่จ้าเป็น
ในทารกที่ได้รับออกซิเจน ควรใช้ pulse oximeter ติดตามO2 saturation ตลอดเวลา ดูแล ให้ทารกมีระดับ O2 saturation อยู่ระหว่าง 88 – 95 % ส้าหรับโรคทั่วๆไป และ 98 – 99 % ส้าหรับทารกที่มีภาวะสูดส้าลักขีเทา
ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
เตรียมทารกแรกเกิดที่มีอายุในครรภ์น้อยกว่า 35 สัปดาห์ หรือน้าหนักแรกเกิดต่้ากว่า 1,800 กรัมที่ได้รับการรักษาโดยออกซิเจนและทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการ รักษาโดยออกซิเจนแต่มีอายุใน ครรภ์น้อยกว่า 30 สัปดาห์ น้าหนักแรกเกิดต่้ากว่า 1,300 กรัม ให้ได้รับการตรวจหาภาวะ ROP ตังแต่อายุหลังปฏิสนธิ 31 สัปดาห์ เป็นต้นไป
ดูแลให้ทารกมีภาวะ ROP รุนแรงและอยู่ในเกณฑ์บ่งชีให้ได้รับการรักษาโดย ใช้แสงเลเซอร์
การดูแลการได้รับวิตามินและเกลือแร่
เนื่องจากทารกเหล่านีจะมีการสะสมแคลเซียม ฟอสฟอรัส และ วิตามินอี น้อย
รวมทั้งความสามารถในการดูดซึมวิตามินที่ละลาย ในน้ำมีน้อย จึงมีโอกาสขาดวิตามิน และเกลือแร่ได้
การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของทารกแรกเกิด (Developmental care)
ทารกเกิดก่อนก้าหนดเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของพัฒนาการระบบ ประสาทและ พฤติกรรม (Neurobehavioral development) เนื่องจาก
ช่วงเวลาที่อยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งมีความเหมาะสมต่อพัฒนาการด้านต่างๆ มีน้อย
ความเจ็บป่วยของทารกทำให้ได้รับการรักษาที่ส่งผลต่อพัฒนาการ เช่น อยู่ในตู้อบ เปิดเผยร่างกาย, จับต้องมากเกินจ้าเป็น เจ็บปวดจากการตรวจรักษา
สิ่งแวดล้อมในหอผู้ป่วยไม่เหมาะสม เช่น แสง เสียง ที่มากเกินไป
การพยาบาล
ดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ (Developmental care) ซึ่งหมายถึงการดูแลทารกแรก เกิดเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของระบบประสาทและพฤติกรรม
โดยพยายามลดสิ่ง กระตุ้นจากสภาวะแวดล้อมที่จะท้าให้เกิดอันตรายรวมทังให้การดูแลตามสื่อสัญญาณ ของทารก
1จัดท่า
หลีกเลี่ยงการเหยียดแขนขา (extension) พยายามให้ทารกอยู่ในท่าแขน ขางอเข้าหากลางลำตัว (flexion) ในขณะอุ้ม เคลื่อนย้ายและนอน ล้าคอตรงไม่ก้มหรือเงยมากเกินไป
การจับต้องทารก : จับต้องทารกเท่าที่จำเป็น, ให้การพยาบาลด้วยสัมผัสที่นุ่มนวล ( gentle touch ) พยายาม จัดกิจกรรมการพยาบาลต่างๆ ให้อยู่ในเวลาเดียวกัน (cluster nursing care)
จัดสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยให้มีการกระตุ้นทางแสงและเสียงน้อยที่สุด
ก่อน ขณะ และหลังให้การพยาบาล
ควรประเมิน สัญญาณ (cues) ของทารกว่าทารกอยู่ในภาวะเครียด สงบและ ผ่อนคลาย หรืออยากมีปฏิสัมพันธ์ และตอบสนองตามสื่อสัญญาณที่ประเมินได้
ในทารกที่มีภาวะเครียดอาจช่วยโดย ให้ดูดจุกนมหลอก (pacifier) ซึ่งเป็นการดูดที่ไม่ได้สารอาหาร ( non- nutritive sucking ) หรือใช้สองมือของผู้ ดูแลรวบแขน ขา ของทารกเข้าหากึ่งกลางล้าตัว มืออยู่ใกล้ปาก ซึงเรียกวิธีนีว่า tucking หรือให้ทารกจับนิวมือ ผู้ดูแลหรือสิ่งของ
ถ้าทารกแสดงสื่อสัญญาณว่าอยากมีปฏิสัมพันธ์ พูดคุยด้วยเสียงเบา นุ่มนวล (soft voice) มองสบตา (eye contact)
ส่งเสริมสัมพันธภาพบิดามารดา-ทารก (bonding, attachment)
ส่งเสริม, กระตุ้นให้มารดามาเยี่ยมทารกให้เร็วที่สุด (ถ้ามารดาไม่มีข้อจ้ากัด) โดยการประสานงาน หรือร่วมมือกับพยาบาลแผนกมารดาหลังคลอด
เมื่อบิดามารดาเข้าเยี่ยมทารก ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย การรักษาพยาบาลที่ทารกได้รับใน ขอบเขตความรับผิดชอบของพยาบาลที่จะท้าได้ กระตุ้นให้บิดามารดาอุ้มชู หรือสัมผัสทารกไม่ บังคับหรือต้าหนิถ้ามารดายังไม่พร้อมที่จะท้า นอกจากนีให้บิดามารดมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หรือดูแลทารกตามความเหมาะสม
เปิดโอกาสให้บิดามารดาซักถาม ระบายความรู้สึก
เปิดโอกาสให้บิดามารดาซักถาม ระบายความรู้สึก
ส่งเสริมการเลียงทารกด้วยนมมารดา เพราะนมมารดาทารกเกิดก่อนก้าหนดเหมาะสมกับทารกเกิดก่อนก้าหนดมากกว่านมมารดาปกติเพราะมีโปรตีนและเกลือแร่สูงกว่า
นมมารดาที่ให้กับทารกเมกั เป็นนมที่บีบออกจากเต้าโดยใช้มือบีบหรือเครื่องปั๊มนม พยายามให้นมมมารดาที่เป็นนมที่ออกมาที หลัง ( hind milk ) เพราะมีไขมันสูงกว่านมที่ออกมาช่วงแรกของการบีบ ( fore milk )
MAS
ภาวะตื่นตัวของทารกเมื่อ แรกเกิดเรียกว่า vigorous ได้จากการประเมินทารกโดย ทีมบุคลากรทาง การแพทย์ที่ดูแลทารกแรกเกิดเมื่อ 10 ถึง 15 วินาทีหลังเกิด
หาก ทารกแรกเกิดมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อที่ กล่าวมาทารกจะได้รับการประเมินว่าไม่ ตื่นตัวเรียกว่า non vigorous ทารกที่ไม่ตื่นตัวเมื่อ แรกเกิดเสี่ยงต่อการ สูดสาลักขีเทา และมัก ต้องการการกู้ชีพโดยเฉพาะการ ช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก(positive pressure ventilation; PPV)
1) ลักษณะทางพยาธิสรีรวิทยาปกติที่เกิดจาก การเคลื่อนตัวของลาไส้ที่พัฒนาสมบูรณ์แล้วของทารก ในครรภ์ เช่น ทารกในครรภ์ที่มีอายุครรภ์เกินกาหนด ทาให้เกิดการถ่ายขีเทาออกมาปนในนาคร่า
2) ลักษณะความผิดปกติทางพยาธิสภาพของ รกและทารกในครรภ์ที่ตอบสนองต่อความเครียดที่เกิด จาก ความผิดปกตินันเช่นภาวะรกทางานผิดปกติ(placental insufficiency) ภาวะนาคร่าน้อย (oligohydramnios) ภาวะติดเชือในครรภ์(intra-amniotic infection) โรคในมารดาที่เกิดจากการ ตังครรภ์
ความรุนแรงแบ่งได้เป็น3ระดับ
อาการรุนแรงน้อย
หายใจเร็วระยะสั้นๆเพียง24-72ชั่วโมงทาให้แรงดันลดลงและมี ค่าความเป็นกรด-ด่างปกติอาการหายไปใน24-72ชั่วโมง
อาการรุนแรงปานกลาง อาการหายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้นมีการดึงรั้งของช่องซี่โครงและมี ความรุนแรงสูงเมื่ออายุ24ชั่วโมง
อาการรุนแรงมาก ทารกจะมีระบบหายใจล้มเหลวทันทีหรือภายใน2-3ชั่วโมงหลังเกิด
การพยาบาล
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน ได้แก่ หายใจเร็ว อกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ใช้กล้ามเนือช่วยในการหายใจมากขึน เขียว
วัดความดันโลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่าจาก PPHN
รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
สังเกตอาการติดเชือ
ดูแลตามอาการและ
การดูแลสำหรับทารก
การควบคุมและการป้องกันการติดเชื้อ
การควบคุมอุณหภูมิอย่างเหมาะสม
ประเมินการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ประเมินการแหวะนมและการอาเจยีน
เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะตัวเหลือง
การดูแลทางโภชนาการ
การติดตามภาวะความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว
การช่วยการดูแลทางเดินหายใจและการรักษาระบบทางเดินหายใจอย่างเหมาะสม
ดูแลภาวะน้าหนักตัวแรกเกิดลด
สาเหตุ
ครรภ์แฝด
มารดาติดยาเสพติด
เศรษฐานะไม่ดี
อายุ < 16 ปี หรือ > 35 ปี
มารดาเป็นโรค
หัวใจ
ไต
เบาหวาน
ติดเชื้อ
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกไตรมาส 2 หรือ 3
ความดันโลหิตสูง
รกลอก
ตัวมาก่อนกำหนด
แท้งคุกคามในไตรมาสแรก
การติดเชื้อ หัดเยอรมัน
การจำแนกประเภท
ตามอายุครรภ์
WHO
ทารกเกิดก่อนกาหนด (Preterm infant) คือ ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์
ทารกแรกเกิดครบกาหนด (Term or mature infant) คือทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์ มากกว่า 37 สัปดาห์ ถึง 41 สัปดาห์
ทารกแรกเกิดหลังกาหนด (Posterm infant) ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์มากกว่า 41 สัปดาห์
ตามน้ำหนัก
LBS Infant
ทารกน้ำหนัก < 2500 กรัม
Very low birth weight น้ำหนัก < 1500 กรัม
NBW Infant
ทารกน้ำหนัก 2500 กรัม ถึง 3800 - 4000 กรัม
ร้อยละ 60 ทารกเสียชีวิต ระยะ 28วันแรก Neonatal period ทารก < 2500 กรัม เสี่ยงสูง
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Hyperbilirubinemia)
คือ
เกิดจากบิลลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดสูงกว่าปกติ
ถ้าระดับบิลิรูบินสูงมากอาจจะทำให้เกิดภาวะ Kernicterrus
ชนิด
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice)
เกิดจาก ทารกแรกเกิดมีการสร้างบิลิรูบิน มากกว่าผู้ใหญ่
เนื่องจากเม็ดเลือดแดงอายุสันกว่า และ ความไม่สมบูรณ์ในการทำงานของตับจึงทำให้ กระบวนการในการขับบิริลูบินออกยังทาได้ช้า
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice)
ภาวะที่ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมาก ผิดปกติ และเหลืองเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิ
สาเหตุ
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้เพิ่มขึ้น
ตับกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลงเนื่องจากภาวะต่างๆ
สาเหตุ
มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จากภาวะต่างๆที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดง
มีการแตกทาลายของเม็ดเลือดแดงจากหมู่เลือดของแม่ลูกไม่เข้ากัน
มีความผิดปกติของเอนไซด์ในเม็ดเลือดแดง
มีเลือดออกในร่างกาย
เม็ดเลือดแดงเกิน (polycythemia ) จากการที่ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจนเรื้อรัง
โรคธาลัสซีเมีย
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึน จากภาวะต่างๆ
มีการกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลง จากท่อน้ำดีอุดตัน การขาดเอนไซด์บางชนิดแต่กำเนิด
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้น ร่วมกับการกาจัดได้น้อยลง ได้แก่ การติดเชื้อ
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
Breastfeeding jaundice เกิดจากได้รับนานมช้า ไม่เพียงพอ การกำจัดขี้เทาช้า ทำให้มีการดูดซึม กลับของบิลิรุบิน
Breastmilk jaundice syndrome พบในทารกอายุ 4-7 วัน สาเหตุที่ชัดเจนยังไม่ทราบแน่นอน
อันตรายจากการมีบิลิรูบินสูง
• ทำให้เกิด kernicterus เข้าสู่เซลล์สมอง และทำให้สมองได้รับบาดเจ็บและมีการตาย ของเซลล์ประสาท ทำให้ทารกมีความพิการของสมองเกิดขึ้นอย่างถาวร
การวินิจฉัย
ประวัติ
ตรวจร่างกาย
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับบิลิรูบิน direct bilirubin indirect bilirubin
หมู่เลือด ABO Rh
Direct Coombs’test เพื่อดู blood group incompatibility
CBC เพื่อดูการติดเชือ
peripheral blood smear เพื่อดูลักษณะของเม็ดเลือดแดง ที่ผิดปกติและดูการติดเชือ
G-6-PD เพื่อดูภาวะพร่องเอนไซด์
Reticulocyte count เพื่อสนับสนุนว่ามีการแตกของเม็ดเลือดแดง
การรักษา
การส่องไฟ (phototherapy
Increases metabolic rate
Increased water loss
Diarrhea
Retinal damage
Bronze baby หรือ tanning
Disturb of mother-infant interaction
Thermodynamic unstable
non-specific erythrematous rash
การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
ทารกคลอดก่อนกำหนด. คลอดครรภ์ < 37 wk
ปัญหาที่พบ
อุณหภูมิ
Hypothermia
อุณหภูมิ < 36.5 องศาเซลเซียส วัดทางทวารหนัก
ผลกระทบ
เพิ่มการเผาผลาญและภาวะกรด
น้ำตาลในเลือดต่ำ Hypoglycemia
ภาวะขาดน้ำ Dehydration
น้ำหนักลด Poor Weight Gain
ภาวะลำไส้เน่า NEC
หยุดหายใจ Apnea
เลือดออก Bleeding Disorder
อาการและอาการแสดง
หน้าแดง
ผิวหนังเย็น
เขียวคล้ำ
หยุดหายใจ
ปลายมือเท้าเย็น
ภาวะแทรกซ้อน
น้ำตาลต่ำ
เลือดเป็นกรด
น้ำหนักไม่ขึ้น
เลือดออกในโพรงสมอง
เลือดออกในปอด
DIC
การวัดอุณหภูมิ
ทางทวาร
คลอดก่อนกำหนด
นาน 3นาที
ลึก2.5 ซม
ครบกำหนด
นาน 3 นาที
ลึก 3 ซม
ทางรักแร้
ก่อนกำหนด
นาน 5 นาที
ครบกำหนดนาน 8 นาที