Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง, นางสาวปุณยาพร เช้าฮุ้น เลขที่ 76 รุ่น 36/1…
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง
การจำแนกประเภทของทารกแรกเกิด
การจำแนกตามน้ำหนัก
Low birth weight infant (LBW infant)
ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่า 2,500 กรัม
อาจแบ่งย่อยเป็น
Very low birth weight
น้ำหนักต่ำกว่า 1,500 กรัม
Extremely low birth weight (ELBW)
คือน้ำหนักต่ำกว่า 1,000 กรัม
Normal birth weight infant (NBW infant)
ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิด 2,500 กรัม ถึงประมาณ 3,800 – 4,000 กรัม
ประมาณร้อยละ 60 ของทารกที่เสียชีวิตในระยะ 28 วันแรก (Neonatal period) เป็นทารกที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 2,500 กรัม
ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
การจำแนกตามอายุครรภ์
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดเกณฑ์ในการแบ่งทารกแรกเกิดตามอายุครรภ์
ทารกแรกเกิดครบกำหนด (Term or mature infant) คือทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์ มากกว่า 37 สัปดาห์ ถึง 41 สัปดาห์
ทารกแรกเกิดหลังกำหนด (Posterm infant) ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์มากกว่า 41 สัปดาห์
ทารกเกิดก่อนกำหนด (Preterm infant) คือ ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์
ลักษณะของทารกเกิดก่อนกำหนด
หายใจไม่สม่ำเสมอ มีการกลั้นหายใจเป็นระยะ (Periodic breathing) เขียวและหยุดหายใจได้ง่าย (Apnea)
ความตึงตัวของกล้ามเนื้อไม่ดี
มีกล้ามเนื้อและไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat) น้อย
เสียงร้องเบาและร้องน้อยกว่าทารกแรกเกิดครบกำหนด
ลายฝ่ามือฝ่าเท้ามีน้อยและเรียบ เล็บมือเล็บเท้าอ่อนนิ่มและสั้น
หัวนมมีขนาดเล็ก หรือมองไม่เห็นหัวนม
ท้องป่อง เพราะกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง
ขนาดของอวัยวะเพศค่อนข้างเล็ก
น้ำหนักน้อย
ผิวหนังบางสีแดงและเหี่ยวย่น
สาเหตุ / ปัจจัยส่งเสริม
ตั้งครรภ์แฝด มารดาติดยาเสพติด
เศรษฐานะไม่ดี
มารดาป่วยเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ไต ติดเชื้อ
อายุน้อยกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
มารดามีภาวะแทรกซ้อน
รกลอกตัวก่อนก้าหนด
แท้งคุกคามในไตรมาสแรก
มีเลือดออกไตรมาสที่ 2 หรือ 3
การติดเชื้อในครรภ์ เช่น หัดเยอรมัน
ความดันโลหิตสูง
ปัญหาที่พบได้ในทารกคลอดก่อนกำหนด
1.การควบคุมอุณหภูมิ Hyperthermia Hypothermia
อุณหภูมิต่ำ
การวินิจฉัย อุณหภูมิกายแกนกลางของทารก < 36.5 องศาเซลเซียส (วัดทางทวารหนัก)
อาการและอาการแสดง
เขียวคล้ำ
หยุดหายใจ หายใจลำบาก
ใบหน้าแดงผิวหนังเย็น
ปลายมือ ปลายเท้าเย็น
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะเลือดเป็นกรด
ความต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น
น้ำตาลในเลือดต่ำ
น้ำหนักไม่ขึ้น
ท้องอืด
เลือดออกในโพรงสมอง
เลือดออกในปอด
ไตวาย
การวัดอุณหภูมิทารก
ทางทวารหนัก
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 2.5 ซม.
ทารกครบกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 3.0 ซม.
ทางรักแร้
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 5 นาที
ทารกครบกำหนด วัดนาน 8 นาที
การดูแล
วัดอุณภูมิเด็ก Body temperature เด็ก 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
ใช้ warmer, incubator หรือผ้าห่มห่อตัว
จัดให้อยู่ในที่อุณภูมิเหมาะสม (NTE) 32 - 34 องศาเซลเซียส
หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้แอร์ พัดลม ระวัง “Cold stress”
การพยาบาลทารกที่ได้รับการรักษาในตู้อบ
2.ป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกายทารก 4 ทาง
3.ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุก 4 ชม. และปรับให้เหมาะสมกับสภาพของทารก
1.ไม่เปิดตู้อบโดยไม่จำเป็น ให้การพยาบาลโดยสอดมือเข้าทางหน้าต่างตู้อบ
4.เช็ดทำความสะอาดตู้ทุกวัน
การควบคุมอุณหภูมิทารกที่อยู่ใน Incubator
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิด้วยมือหรือปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ (Air Servocontrol mode)
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.2 องศาเซลเซียส ทุก 15 – 30 นาที (max 38 องศาเซลเซียส)
ลดการสูญเสียความร้อน เช่น ครอบพลาสติกที่ตัวทารก
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่36 องศาเซลเซียส
(กรณีไม่ได้ใช้ตู้อบผนัง 2 ชั้น) สวมหมวกไหมพรมหรือหมวกที่หนา 2 ชั้น พันร่างกายด้วย plastic wrap
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8 องศาเซลเซียส -37.2 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ครั้งติดกัน
ติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาทีอีก 2 ครั้ง
และต่อไปทุก 4 ชม.
ให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE)
ควรใส่ปรอทสำหรับวัดอุณหภูมิตู้อบ
เป้าหมายให้อุณหภูมิกายทารกอยู่ในเกณฑ์ปรกติคือ 37 องศาเซลเซียส (+/-0.2 องศาเซลเซียส)
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ Skin Servocontrol mode
ติด Skin probe บริเวณหน้าท้อง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่ 36.5 องศาเซลเซียส
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.1 องศาเซลเซียส ทุก 15 – 30 นาที (max 38 องศาเซลเซียส)
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้ 36.8 องศาเซลเซียส -37.2 องศาเซลเซียส เป็นเวลา2ครั้งติดกัน
ให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE)
แล้วติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาทีอีก 2 ครั้งและต่อไปทุก 4 ชม.
2.ปัญหาระบบทางเดินหายใจ RDS,Apnea,Birth asphyxia
RDS (Respiratory Distress Syndrome)
ความหมายคือภาวะหายใจลำบากเนื่องจากการขาดสารลดแรงตึงผิว (surfactant) ของถุงลม
อาการและอาการแสดง
อาการเขียว (Cyanosis)
ภาพถ่ายรังสีปอด มีลักษณะ ground glass appearance
มีอาการหายใจลำบาก (Dyspnea) หายใจเร็วกว่า 60 ครั ง/ นาที มีปีกจมูกบาน หายใจมีการดึงรั้งของกล้ามเนื้อทรวงอก (retraction) ,หายใจมีเสียง Grunting
การตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่ามีภาวะเลือดเป็นกรด
อาจมีอันตรายจากการหายใจล้มเหลวได้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกเกิด
การป้องกัน
การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด
ควรได้ antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนคลอด
การรักษา
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น
การให้ออกซิเจน ตามความต้องการของทารก
รักษาแบบประคับประคองตามอาการ
ให้ได้รับสารน้ำอย่างเพียงพอ
รักษาสมดุลน้ำ อิเลคโตรไลท์สมดุลกรด ด่างในเลือด
รักษาระดับฮีโมโกลบินในเลือดและความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ให้ยาปฏิชีวนะในรายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อร่วมด้วย
ทารกบางรายอาจจำเป็นต้องปิด PDA ด้วย indomethacin หรือ ibuprofen
AOP (Apnea of Prematurity)
หยุดหายใจนานกว่า 20 วินาที มี cyanosis
central apnea
ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม
obstruction apnea
ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม
สาเหตุ
Impaired oxygenation
Metabolic disorder
Gastroesophageal reflux
Infection
Drug
CNS problems
IVH
seizures
Prematurity
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
suction เมื่อจำเป็น
ระวังการสำลัก
สังเกตอาการขาดออกซิเจน หายใจเร็ว เขียว ปีกจมูกบาน อกบุ๋ม (chest wall retraction) , ABG
ให้การพยาบาลทารกขณะใช้เครื่องช่วยหายใจ
จัดท่านอนที่เหมาะสม ศีรษะสูง เงยคอเล็กน้อย
Perinatal asphyxia
Mild asphyxia คะแนนแอพการ์ 5 – 7
Moderate asphyxia คะแนนแอพการ์ 3-4
No asphyxia คะแนน แอพการ์ 8 –10
Severe asphyxia คะแนนแอพการ์ 0-2
BPD (Bronchopulmonary Dysplasia)
ROP (Retinopathy of Prematurity)
ระยะเวลาการตรวจหาROP
ถ้าพบว่ามีการดำเนินของโรคอยู่ตรวจซ้ำทุกอาทิตย์หรือตามแผนการติดตามประเมินของแพทย์
หลังจากทารกกลับบ้านแล้วถ้าไม่มีการด้าเนินของโรค นัดมาตรวจซ้ำ
ถ้าไม่พบการดำเนินของโรค ตรวจซ้ำทุก 4 สัปดาห์
ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ้ำทุก ๆ 1 – 2 สัปดาห์
ตรวจครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4 – 6 สัปดาห์ หรือเมื่อทารกอายุครรภ์รวมอายุหลังเกิด 32 สัปดาห์
การวินิจฉัย
Zone II จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone Iจนถึง nasal ora serrata
Zone III จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone IIจนถึง temporal ora serrata
Zone I ระยะวงกลมซึ่งมีรัศมีเป็นสองเท่าของระยะทางระหว่างขั้วประสาทตา(optic disc) และศูนย์กลางจอประสาทตา (macula)โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ขั้วประสาทตา
ความรุนแรง
Stage 3 Ridge with extraretinal fibrovascular proliferation
Stage 4 Subtotal retinal detachment: (a) extrafoveal detachment (b) foveal detachment
Stage 2 Ridge between vascularized and avascular retina
Stage 5 Total retinal detachment
stage1 Demarcation line between vascularized and avascular retina
3.ปัญหาการติดเชื้อ
Sepsis
NEC (Necrotizing Enterocolitis) ปัญหาระบบทางเดินอาหาร
การได้รับอาหารไม่เหมาะสม เร็วเกินไป
ลำไส้ขาดเลือดมาเลี้ยง
เป็นผลมาจากภาวะพร่องออกซิเจน
การย่อยและการดูดซึมไม่ดี
การพยาบาล
NPO
ห้ามวัดปรอททางทวารหนัก
แยกจากเด็กติดเชื้อ / แยกผู้ดูแล
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก aseptic technique
เฝ้าระวังสังเกตภาวะติดเชื้อ เฝ้าระวังภาวะลำไส้ทะลุ
4.ปัญหาระบบหัวใจ , เลือด
Neonatal Jaundice หรือ Hyperbilirubinemia
Anemia
PDA (Patent Ductus Ateriosus)
รักษา PDA โดยใช้ยา Indomethacin
ข้อห้ามใช้
Plt. < 60,000 /mm3
urine < 0.5 cc/Kg/hr นานกว่า 8 hr
มีภาวะ NEC
BUN > 30 mg/dl , Cr > 1.8 mg/dl
ขนาดที่ให้ 0.1-0.2 มก./กก.ทุก 8 ชม. X 3 ครั้ง
รักษา PDA โดยใช้ยา ibuprofen
เพื่อช่วยยับยั้งการสร้าง prostaglandin ซึ่งจะทำให้ PDA ปิด
ให้ทุก 12-24 ชั่วโมง จำนวน 3-4 ครั้ง
สามารถปิดได้ร้อยละ 70
ได้ผลดีในทารกน้ำหนักตัว 500-1500 กรัม อายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ และอายุไม่เกิน 10 วัน
ภาวะแทรกซ้อน NEC ไตวาย ไม่ให้ยาในทารกที่มี มากกว่า serum creatinine 1.6 มิลลิกรัม/เดซิลิตรและ BUN มากกว่า 20 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
5.ปัญหาเลือดออกในช่องสมอง
IVH (Intra-ventricular Hemorrhage)
Hydrocephalus
6.ปัญหาทางโภชนาการและการดูดกลืน
NEC (Necrotizing Enterocolitis)
GER (Gastroesophageal Reflux)
Hypoglycemia
การพยาบาล
ให้อาหารอย่างเหมาะสมกับสภาพของทารก
gavage feeding (OG tube) ในเด็กเหนื่อยง่าย ดูด กลืนไม่ดี
IVF ให้ได้ตามแผนการรักษา
ระวังภาวะ NEC: observe อาการท้องอืด content ที่เหลือ
ประเมินการเจริญเติบโตชั่งน ้าหนักทุกวัน (เพิ่มวันละ 15-30กรัม)
ปัญหาพัฒนาการล้าช้า
ส่งเสริมสายสัมพันธ์พ่อแม่ลูก
Eye to eye contact
Skin to skin contact
การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนด
การป้องกันการเกิดเลือดออกและโลหิตจาง
ผนังเส้นเลือดพัฒนาไม่สมบูรณ์และขาด connective tissuse จึงเปราะบางง่าย
Prothrombin และ Hematogenous-factor ต่ำ ขาดวิตามินเค เลือดจึงแข็งตัวได้ยาก
มีเส้นเลือดมาเลี้ยงที่ ventricle ของสมองมากมาย เสี่ยงต่อการเกิด Intra ventricular hemorrhage (IVH) ได้
เหล็กที่ได้รับจากมารดาใน 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์มีจ้านวนน้อย
Hb-F ของทารกมีชีวิตสั้น
การพยาบาล
ดูแลการได้รับ Vit. E และ FeSO4 ทางปากตามแผนการรักษา
ขณะดูดเสมหะหรือขณะใส่สายยางเข้าไปในทางเดินอาหาร ควรจะใส่อย่างระมัดระวัง นุ่มนวล
หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ ควรจะฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
ติดตามและรายงานผล CBC ดูแลการได้รับเลือดในรายที่มี platelet หรือ Hematocrit ต่ำ
ดูแลให้ทารกได้รับการฉีด Vit K1 เข้ากล้ามเนื้อตามแผนการรักษา
สังเกตและรายงานอาการที่แสดงว่ามีเลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ
ดูแลให้ทารกได้รับธาตุเหล็กตามแผนการรักษา
การป้องกันการเกิด Retinopathy of Prematurity (ROP)
การพยาบาล
ในทารกที่ได้รับออกซิเจน ควรใช้ pulse oximeter ติดตามO2 saturation ตลอดเวลา
ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
ดูแลให้ทารกรับออกซิเจนเท่าที่จำเป็น
ดูแลให้ทารกมีภาวะ ROP รุนแรงและอยู่ในเกณฑ์บ่งชี ให้ได้รับการรักษาโดย ใช้แสงเลเซอร์
การป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จำกัด
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
ไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับน้ำและนมทางปาก และ/หรือสารน้ำ สารอาหารทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษา
แก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดสาเหตุส่งเสริมให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ติดตามผล dextrostix หรือ blood sugar และประเมินอาการทางคลินิกของการมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
การป้องกันการเกิดการแตกท้าลายของผิวหนัง
การพยาบาล
การแกะพลาสเตอร์ หรือ เทปออกจากผิวหนัง จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ระมัดระวังการรั่วของสารน้ำออกจากหลอดเลือดในรายที่ได้รับสารน้ำ, สารอาหารทางหลอดเลือดดำ
หลีกเลี่ยงการใช้พลาสเตอร์กับทารกเกินความจำเป็น ถ้าจำเป็นพลาสเตอร์ที่ใช้กับทารกเหล่านี้ ควรใช้แบบที่ไม่ติดแน่นจนเกินไป
การติด probe หรือ electrode ต่างๆ ไม่ควรติดแน่นเกินไปและเปลี่ยนตำแหน่งการติดรวมทั้งเปลี่ยนท่านอนบ่อย ๆ ตามความเหมาะสมและอาการของทารก
ระมัดระวังการใช้สารละลาย สารเคมี กับผิวหนังทารก เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อทางผิวหนัง
การป้องกันการติดเชื้อ
ทารกเกิดก่อนกำหนดมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
เม็ดเลือดขาวมีน้อยและทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์
ผิวหนังและเยื่อบุปกป้องการติดเชื้อได้น้อย
การสร้าง IgM ยังไม่สมบูรณ์ ได้รับ IgG จากมารดามาน้อย ไม่ได้รับ Ig A จากน้ำนมมารดา
การพยาบาล
ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนและหลังให้การพยาบาลทุกครั้ง
เครื่องมือและสิ่งของที่ใช้กับทารกต้องสะอาดหรือผ่านการทำลายเชื้อโรค
อุปกรณ์ที่ใช้กับทารกต้องใช้เฉพาะคน
ดูแลความสะอาดทั่วไปของร่างกายและสิ่งแวดล้อม
การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของทารกแรกเกิด (Developmental care)
การพยาบาล
การจับต้องทารก : จับต้องทารกเท่าที่จำเป็น
จัดสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยให้มีการกระตุ้นทางแสงและเสียงน้อยที่สุด
การจัดท่า
ห่อตัวทารกให้แขนงอ มือสองข้างอยู่ใกล้ๆ ปาก (hand to mouth) หลีกเลี่ยงการห่อตัวแบบเก็บแขน (mummy restraint)
ใช้ผ้าอ้อมหรือผ้าห่มผืนเล็กม้วนๆ วางรอบๆ กายของทารกเสมือนเป็นรังนก
หลีกเลี่ยงการเหยียดแขนขา (extension)
ก่อน ขณะ และหลังให้การพยาบาลควรประเมิน สัญญาณ (cues) ของทารกว่าทารกอยู่ในภาวะเครียด สงบและผ่อนคลาย หรืออยากมีปฏิสัมพันธ์
ถ้าทารกแสดงสื่อสัญญาณว่าอยากมีปฏิสัมพันธ์ พูดคุยด้วยเสียงเบา นุ่มนวล (soft voice) มองสบตา (eye contact)
การให้สารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
มีการสะสมอาหารขณะอยู่ในครรภ์มารดาน้อย
อาการทั่วไปไม่เอื้อให้ได้รับสารอาหารจำนวนตามต้องการ เช่น หายใจลำบาก ท้องอืด
ความต้องการสารอาหารประจ้าวัน (daily requirement) สูงกว่าทารกเกิดครบกำหนด
ความสมบูรณ์ของระบบทางเดินอาหารมีน้อย
1) รีเฟล็กซ์ของการดูดและกลืนมีน้อยหรือไม่มี
2) Cardiac sphincter ไม่ดี ปิดไม่สนิท ทารกเกิดการสำรอก อาเจียนได้ง่าย
3) น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีน้อย ตับสร้างน้ำดีได้น้อย
การพยาบาล
1-2 วันแรกหลังเกิดดูแลให้งดน้ำและนม
ดูแลให้อาหารทางปาก
การให้นมแก่ทารก
ประเมินความสามารถในการรับนมได้ของทารก
ดูแลการได้รับสารน้ำและสารอาหารทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
ชั่งน้ำหนักทุกวัน
เมื่อทารกอาการดีขึ้นจะสามารถรับนมได้มากขึ้น
ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงภาวะที่จะทำให้ทารกมีการใช้พลังงานในร่างกายมากกว่าปกติ
ส่งเสริมสัมพันธภาพบิดามารดา-ทารก (bonding, attachment)
เมื่อบิดามารดาเข้าเยี่ยมทารก ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย การรักษาพยาบาลที่ทารกได้รับในขอบเขตความรับผิดชอบของพยาบาลที่จะทำได้
เปิดโอกาสให้บิดามารดาซักถาม ระบายความรู้สึก
ส่งเสริม, กระตุ้นให้มารดามาเยี่ยมทารกให้เร็วที่สุด (ถ้ามารดาไม่มีข้อจ้ากัด)
ส่งเสริมการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
2.การดูแลด้านการหายใจให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
2.2ฮีโมโกลบินของทารกเป็น Hb-F ซึ่งรับออกซิเจนได้ดี แต่ปล่อยให้เซลได้น้อย
2.3 รีเฟล็กซ์เกี่ยวกับการไอมีน้อย และหายใจทางปากยังไม่ได้
2.1 ทารกเกิดก่อนกำหนดมีความไม่สมบูรณ์ของการหายใจจาก
กล้ามเนื้อช่วยการหายใจไม่สมบูรณ์ท้าให้เกิด periodic breathing
ปอดพัฒนาไม่เต็มที่
ศูนย์ควบคุมการหายใจใน medulla ยังไม่เจริญเต็มที่
การพยาบาล
ประเมินการหายใจ อัตรา การใช้แรง retraction สีผิว ปีกจมูก และการกลั้นหายใจ บ่อยครั้งตามอาการของทารก
2.ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง ดูดเสมหะ(ถ้ามี)
ขณะมีการกลั้นหายใจ ควรกระตุ้นโดยการเขี่ยหรือเขย่าที่ใบหน้าหรือลำตัว ถ้ากลั้นหายใจบ่อยๆ รายงานให้แพทย์ทราบ
4.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
5.ดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารก
6.ให้ทารกได้พัก หลีกเลี่ยงการจับต้องทารกเกินความจำเป็น (over handling)
การดูแลการได้รับวิตามินและเกลือแร่
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ(36.8 - 37.2 ้ซ.)
ต่อมเหงื่อไม่เจริญจึงระบายความร้อนออกทางผิวหนังไม่ได้
พื้นที่ผิวของร่างกายมากเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว, ไขมันใต้ผิวหนังมีน้อย ท้าให้สูญเสียความร้อนออกจากร่างกายได้ง่าย
ร่างกายผลิตความร้อนได้น้อย จากไขมันสีน้ำตาล (Brown fat) มีน้อย
การมีอุณหภูมิร่างกายต่ำมากๆ
ศูนย์ควบคุมความร้อนในสมองส่วน Hypothalamus ยังท้าหน้าที่ไม่สมบูรณ์
การพยาบาล
จัดให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่ทำให้ทารกมีการใช้ออกซิเจนและสารอาหารน้อยที่สุดโดยที่อุณหภูมิของร่างกายไม่เปลี่ยนแปลง
ป้องกันการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย
ประเมินอุณหภูมิร่างกายตามอาการของทารก
การคงไว้ซึ่งความสมดุลของน้ำ กรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์
การพยาบาล
จดบันทึก Intake และ output อย่างละเอียดและถูกต้อง
ติดตามผล blood gas BUN electrolyte urine specific gravity
ดูแลการได้รับสารน้ำและอิเลคโทรลัยต์ให้เพียงพอตามแผนการรักษา
สังเกตอาการและอาการแสดงของการมีภาวะไม่สมดุลย์ของน้ำ กรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Hyperbilirubinemia)
เกิดจากบิลลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดสูงกว่าปกติ ถ้าระดับบิลิรูบินสูงมากอาจจะท้าให้เกิดภาวะ Kernicterrus
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice)
เกิดจาก
ความไม่สมบูรณ์ในการทำงานของตับจึงทำให้กระบวนการในการขับบิริลูบินออกยังทำได้ช้า
พบในช่วงวันที่ 2 – 4 หลังคลอด หายไปเองใน 1 – 2 สัปดาห์
ทารกแรกเกิดมีการสร้างบิลิรูบินมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่า
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice)
เป็นภาวะที่ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมากผิดปกติ และเหลืองเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด เกิดได้จากหลายสาเหตุ
ตับกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลงเนื่องจากภาวะต่างๆ
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้เพิ่มขึ้น
สาเหตุ
มีการกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลง จากท่อน้ำดีอุดตัน การขาดเอนไซด์บางชนิดแต่กำเนิด
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้น ร่วมกับการกำจัดได้น้อยลง
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะต่างๆ เช่น ภาวะลำไส้อุดตัน
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จากภาวะต่างๆที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดง
มีความผิดปกติของเอนไซด์ในเม็ดเลือดแดง เช่น G6PD deficiency
มีเลือดออกในร่างกาย
มีความผิดปกติเยื่อหุ้มเม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดแดงเกิน (polycythemia ) จากการที่ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจนเรื้อรัง
มีการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดงจากหมู่เลือดของแม่ลูกไม่เข้ากัน
โรคธาลัสซีเมีย
อันตรายจากการมีบิลิรูบินสูง
และทำให้สมองได้รับบาดเจ็บและมีการตายของเซลล์ประสาท
ทำให้ทารกมีความพิการของสมองเกิดขึ้นอย่างถาวร
ทำให้เกิด kernicterus เข้าสู่เซลล์สมอง
การวินิจฉัย
ประวัติ
มีบุคคลในครอบครัวมีโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายหรือไม่
มารดามีโรคประจำตัวการได้รับยาการติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
ประวัติการคลอดของทารก คะแนน apgar
การได้รับบาดเจ็บในระยะคลอด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC เพื่อดูการติดเชื้อ
peripheral blood smear เพื่อดูลักษณะของเม็ดเลือดแดง ที่ผิดปกติและดูการติดเชื้อ
Direct Coombs’test เพื่อดู blood group incompatibility
Reticulocyte count เพื่อสนับสนุนว่ามีการแตกของเม็ดเลือดแดง
หมู่เลือด ABO Rh
G-6-PD เพื่อดูภาวะพร่องเอนไซด์
ระดับบิลิรูบิน direct bilirubin indirect bilirubin
การตรวจร่างกาย ซีด เหลือง ตับ ม้ามโตหหรือไม่ มีจุดเลือดออก บริเวณใดหรือไม่
การรักษา
การส่องไฟ (phototherapy)
ภาวะแทรกซ้อนของการรักษาด้วยการส่องไฟ
Retinal damage ถ้าไม่ได้ปิดตาทารกให้มิดชิด อาจมีการบาดเจ็บเนื่องจากถูกแสงส่องนานทำให้ตาบอดได้
Bronze baby หรือ tanning ทารกอาจจะมีสีผิวคล้ำขึ้นจากการที่ต้องถูกแสงอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานาน
Diarrhea ทารกอาจถ่ายเหลวจากการที่แสงที่ใช้ในการรักษา
Increased water loss / dehydration ทารกมีภาวะเสียน้ำมากจากการระเหยของน้ำ
Disturb of mother-infant interaction เนื่องจากต้องให้ทารกรักษาด้วยการส่องไฟอาจทำให้มารดามีโอกาสได้อุ้มและ สัมผัสทารกน้อยลง
Thermodynamic unstable ทารกอาจมีอุณหภูมิร่างกายสูงหรือต่ำกว่าปกติ
non-specific erythrematous rash อาจมีผื่นขึ้นตามตัวเป็นการชั่วคราว
Increases metabolic rate พบว่าทารกอาจมีน้ำหนักตัวลดลง
การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
การพยาบาลExchange transfusion
ดูแลให้ร่างกายทารกอบอุ่น
ในขณะเปลี่ยนถ่ายเลือดต้องบันทึกปริมาณเลือดเข้า ออก ตรวจวัดสัญญาณชีพ
เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
สังเกตภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย แคลเซียมในเลือดต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวเย็น ติดเชื้อ
อธิบายให้บิดามารดาทราบ
ภายหลังการเปลี่ยนถ่ายเลือดตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที ทุก 30 นาที จนกระทั่งคงที่
การพยาบาล
บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 2-4 ชม.
สังเกตลักษณะอุจจาระ
ดูแลให้ทารกได้นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟ
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชม.
ถอดเสื้อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่ำและเปลี่ยนท่านอนทุก 2-4ชม.เพื่อให้ผิวทุกส่วนได้สัมผัสแสง
สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับการส่องไฟรักษา
ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches)
ปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ
น้ำตาลในเลือดต่ำหมายถึงระดับ น้ำตาลในพลาสมาต่ำกว่า 40 mg%
อาการแสดง
อาการสั่น
ซีดหรือเขียว
หยุดหายใจ
มีสะดุ้งผวา
ตัวอ่อนปวกเปียก
ไม่ดูดนม
อุณหภูมิกายต่ำ
ซึม
ชักกระตุก
สาเหตุดังนี้
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จำกัด
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
ไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
การรักษา
1.ทารกครบกำหนดที่มีอาการ่วมกับระดับน้ำตาลน้อยกว่า 40 มก./ดล.ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
2.ทารกไม่มีอาการ
แรกเกิด-อายุ 4 ชั่วโมง ให้นมภายใน 1 ชั่วโมงแรก ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30 นาทีหลังให้นม
อายุ 4-24 ชั่วโมง ให้นมทุก 2-3 ชั่วโมง ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม
การดูแล
กรณีที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำ
ในรายไม่แสดงอาการ ให้กินนมหรือสารละลายกลูโคส
ถ้ากินไม่ได้ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือดดำ
ตรวจติดตามทุก 30 นาที
ควบคุมอุณหภูมิห้องและดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารก
กรณีทารกเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
6-8 ชม.แรกหรือจนระดับน้ำตาลจะปกติ รีบให้ 5,10 %D/W ทางปาก หรือ NG tube ใน 1-2 มื้อแรก แล้วให้นม
จะต้องตรวจหาระดับน้ำตาล ภายใน 1-2 ชม.หลังคลอด และติดตามทุก 1-2 ชม.
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
MAS
ภาวะตื่นตัวของทารกเมื่อ แรกเกิดเรียกว่า vigorous
ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลทารกแรกเกิดเมื่อ 10 ถึง 15 วินาทีหลังเกิด
โดยทารกต้องมีอาการดังต่อไปนี้
มีแรงหายใจด้วยตนเองได้ดี
มีกำลังกล้ามเนื้อดี
อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
ความรุนแรงแบ่งได้เป็น3 ระดับ
อาการรุนแรงปานกลาง
มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง
มีความรุนแรงสูงสุดเมื่ออายุ 24ชั่วโมง
อาการหายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้น
อาการรุนแรงมาก
ทารกจะมีระบบหายใจล้มเหลวทันที
หรือภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังเกิด
อาการรุนแรงน้อย
ทำให้แรงดันลดลง
มีค่าความเป็นกรด-ด่างปกติ
ทารกมีอาการหายใจเร็วระยะสั้นๆ เพียง24-72ชั่วโมง
อาการมักหายไปใน 24-72ชั่วโมง
การพยาบาล
รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
สังเกตอาการติดเชื้อ
วัดความดันโลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่ำจาก PPHN
ดูแลตามอาการ
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน
การดูแลที่จำเป็นสำหรับทารก
ประเมินการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ประเมินการแหวะนมและการอาเจียน
ดูแลภาวะน้ำหนักตัวแรกเกิดลด
เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะตัวเหลือง
การช่วยการดูแลทางเดินหายใจและการรักษาระบบทางเดินหายใจอย่างเหมาะสม
การดูแลทางโภชนาการ
การควบคุมอุณหภูมิอย่างเหมาะสม
การติดตามภาวะความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว
การควบคุมและการป้องกันการติดเชื้อ
นางสาวปุณยาพร เช้าฮุ้น เลขที่ 76 รุ่น 36/1 รหัส 612001077
อ้างอิง : วิภารัตน์ ยมดิษฐ์. (2020).การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง.วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ราชบุรี.