Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
12.การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะแทรกซ้อน - Coggle Diagram
12.การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะแทรกซ้อน
1.การบาดเจ็บจากการคลอด (Birth Injury)
ความหมาย
การบาดเจ็บจากการคลอด (Birth Injury) หมายถึง การบาดเจ็บที่เกิดกับทารกระหว่างคลอดจากแรงที่
กระทำกับทารกโดยตรง และไม่เกี่ยวกับโรคที่มารดาเป็นระหว่างการตั้งครรภ
สาเหต
ปัจจัยเสี่ยงจากทารก
ทารกมีขนาดตัวโตมากทำให้เกิดการคลอดยาก
อายุครรภ์ของทารกไม่ครบกำหนด หรือเกินกำหนด
ทารกมีส่วนนำผิดปกติ เช่น หน้า ไหล่ ก้น
การคลอดไหล่ยาก
ทารกมีความพิการแต่กำเนิด
ปัจจัยเสี่ยงจากการคลอด
การคลอดด้วยคีม หรือเครื่องดูดสุญญากาศ
การใช้แรงดึงมากเกินไปในการช่วยคลอดทารก
ปัจจัยเสี่ยงจากมารดา
:warning:
ความผิดปกติที่มีมาก่อนการตั้งครรภ์
:warning: เช่น มารดามีภาวะเบาหวาน เชิงกรานแคบไม่ได้
สัดส่วนกับทารก (cephalopelvic disproportion: CPD)
:warning:
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์
:warning: เช่น ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ รกลอกตัว
ก่อนกำหนด ภาวะน้ำคร่ำน้อย
:warning:
ระยะเวลาของการคลอด
:warning: เช่น การคลอดเฉียบพลัน
ปัจจัยเสี่ยงจากผู้ทำคลอด ขาดความชำนาญหรือขาดการเอาใจใส่อย่างเพียงพอ
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
1) การบาดเจ็บที่ศีรษะทารก (Skull injuries)
1.1) ภาวะก้อนบวมน้ำใต้หนังศีรษะ
ภาวะก้อนบวมน้ำใต้หนังศีรษะ (caput succedaneum) เกิดจากการคั่งของของเหลวในระหว่างชั้นของหนังศีรษะกับชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ ก้อนบวมโนนี้จะข้ามรอยต่อ(suture) ของกระดูกกะโหลกศีรษะ มีขอบเขตไม่แน่นอน
สาเหตุ
:check:แรงดันที่กดลงบนศีรษะทารกระหว่างการคลอดท่าศีรษะ ทำให้มีของเหลวไหลซึมออกมานอกหลอดเลือดในชั้นใต้เยื่อหุ้มหนังศีรษะ
:check:การใช้เครื่องดูดสุญญากาศช่วยคลอด
(vacuum extraction)
การวินิจฉัย
จากการประเมินสภาพร่างกายทารกแรกเกิด
โดยการคลำศีรษะทารกจะพบก้อนบวมโน มีลักษณะนุ่ม กดบุ๋ม ขอบเขตไม่ชัดเจน ข้ามแนวรอยต่อของกระดูกกะโหลกศีรษะและพบทันทีภายหลังคลอด
อาการและอาการแสดง
สังเกตพบได้ด้านข้างของศีรษะ ลักษณะการบวมของก้อนโนนี้จะมีความกว้างและมีขนาดโตประมาณไข่ห่าน ทำให้ศีรษะมีความยาวมากกว่าปกติ
แนวทางการรักษา
ไม่จำเป็นต้องรักษาแบบเฉพาะทาง จะหายไปได้เองภายหลังคลอด ประมาณ 2 -3 วันหลังคลอดถ้าเกิดจากการคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศจะหายได้ช้ากว่าเกิดจากการคลอดปกติ
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ
มารดามีประวัติคลอดยาก
เบ่งคลอดนานหรือเบ่งคลอดก่อนปากมดลูกเปิดหมด
มีประวัติการได้รับการช่วยคลอดโดยเครื่องดูดสุญญากาศ
การตรวจร่างกาย
ประเมินลักษณะก้อนบวมน้ำที่ใต้ศีรษะทารก
บทบาทการพยาบาล
บันทึกอาการและการพยาบาล
อธิบายให้มารดาและบิดาเข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นเพื่อคลายความวิตกกังวล
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทของทารก
สังเกตลักษณะ ขนาด การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ของก้อนบวมโนที่ศีรษะ
1.2) ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ (cephalhematoma) หรือบางทีเรียกว่า
ก้อนโนเลือดที่ศีรษะเป็นการคั่งของเลือดบริเวณใต้เยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ มีขอบเขตชัดเจน เนื่องจากภาวะนี้จะเกิดบนกระดูกกะโหลกศีรษะเพียงชิ้นเดียวหรือเพียงชิ้นใดชิ้นหนึ่งเท่านั้นและไม่ข้ามรอยต่อของ
กระดูกกะโหลกศีรษะ พบมากที่กระดูก parietal แต่อาจพบที่กระดูกท้ายทอยหรือแม้แตบนกระดูกหน้าผากก็ได้
สาเหตุ
เกิดจากมารดามีระยะเวลาการคลอดยาวนาน ศีรษะทารกถูกกดจากช่องทางคลอดหรือการใช้เครื่องดูดสูญญากาศช่วยคลอด เป็นผลทำให้หลอดเลือดฝอยบริเวณเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะของทารกฉีกขาด เลือดจึงซึมออกมานอกหลอดเลือดใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อน
ในรายที่มีอาการรุนแรง ก้อนโนเลือดมีขนาดใหญ่ จะเกิดภาวะระดับบิลลิรูบินในเลือดสูง (hyperbilirubinemia) ภายหลังเกิดหรืออาจเกิดการติดเชื้อจากการดูดเลือดออกจากก้อนโนเลือดในกรณีมีแผนการรักษา
การวินิจฉัย
ซักประวัติ
ประวัติการเบ่งคลอดนานห
การช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ
การตรวจร่างกาย
ทารกพบบริเวณศีรษะมีก้อนบวมโนบนกระดูกกะโหลกศีรษะชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
มีลักษณะแข็งหรือค่อนข้างตึง คลำขอบเขตได้ชัดเจน เมื่อใช้นิ้วกดจะไม่เป็นรอยบุ๋ม
อาการและอาการแสดง
อาการจะชัดเจนหลังจาก 24 hr.ไปแล้ว เนื่องจากเลือดจะค่อยๆซึมออกมานอกหลอดเลือด
ในรายที่เป็นรุนแรงอาจพบอาการแสดงทันทีหลังเกิดและพบว่าก้อนโนเลือดมีสีผิดปกติ คือ เป็นสีดำหรือน้ำเงินคล้ำ เนื่องจากการแข็งตัวของเลือด และอาจพบว่าทารกมีภาวะซีดได้จากการสูญเสียเลือดมาก
แนวทางการรักษา
ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ก้อนโนเลือดจะค่อยๆหายไปเองได้ แต่อาจใช้เวลา
หลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน โดยปกติจะค่อยๆหายเองภายใน 2 เดือน
แต่ถ้ามีภาวะตัวเหลืองร่วมด้วยและมี
ระดับบิลลิรูบินในเลือดสูง
ต้องได้รับการส่องไฟ (phototherapy)
ในรายที่ก้อนเลือดขนาดใหญ
อาจรักษาโดยการดูดเลือดออก
บทบาทการพยาบาล
สังเกต ลักษณะ ขนาด และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เกี่ยวกับภาวะเลือดออกในสมอง
ให้ทารกนอนตะแคงด้านตรงข้ามกับก้อนโนเลือด เพื่อป้องกันการกดทับที่จะกระตุ้นให้
เลือดออกมากขึ้น
สังเกตอาการซีด การเจาะหาค่า Hct และดูแลให้เลือดตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลเกี่ยวกับการหาค่า microbilirubin ถ้ามีภาวะตัวเหลือง ให้การพยาบาลทารกที่ได้รับ
การส่องไฟตามแผนการรักษาของแพทย
อธิบายมารดาและบิดาให้เข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นของทารกเพื่อลดความวิตกกังวล และ
แนะนำไม่ใช้ใช้ยาทา ยานวด ประคบหรือเจาะเอาเลือดออกเอง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ทารกเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตัวเหลืองเนื่องจากมีภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะที่เกิด
ทารกมีโอกาสติดเชื้อที่บริเวณผิวหนังรอบๆบริเวณที่มีภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
มารดาและบิดาวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
1.3) ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ
ความหมาย
ภาวะเลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ (intracranial hemorrhage) เป็นภาวะที่เลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ อาจเกิดขึ้นที่ตำแหน่งเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นดูรา (epidural) ใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นดูรา (subdural) ใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นอะแรคนอยด์ (subarachnoid) ภายในเนื้อสมอง (intracerebral)
ใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นอีเพนไดมัล (subependymal) ภายในห้องสมอง (intraventricular)
สาเหต
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ภาวะขาดออกซิเจนเป็นเวลานานในขณะคลอดหรือเกิดภายหลังคลอด
การได้รับอันตรายรุนแรงจาการคลอด
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกกดศูนย์หายใจทำให้ทารกหายใจลำบาก
ทารกอาจเกิดปัญญาอ่อน (mental retardation)
การวินิจฉัย
ประวัติการคลอด
เชิงกรานแม่เล็กกว่าปกติ ทารกอยู่ในท่าท้ายทอยหันหลัง (occiput posterior position: OPP)ท่าหน้า หรือท่าก้น ภาวะ CPD การช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศหรือคีมช่วยคลอด ระยะการคลอดยาวนาน การคลอดเร็ว (precipitate labor)
อาการและอาการแสดง
Reflex ลดน้อยลงหรือไม่มี โดยเฉพาะ moro reflex จะเสียไป
กำลังกล้ามเนื้อไม่ดี มีอาการอ่อนแรง
มีภาวะซีด หรือมีอาการเขียว (cyanosis)
ซึม ไม่ร้อง
ดูดนมไม่ดี หรือไม่ยอมดูดนม
ร้องเสียงแหลม
การหายใจผิดปกติ มีหายใจเร็ว ตื้น ช้า ไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดหายใจ
กระหม่อมโป่งตึง
ชัก
แนวทางการรักษา
ถ้ามีความดันในกะโหลกศีรษะสูง อาจได้รับการรักษาโดยเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อบรรเทา
อาการความดันในสมอง
ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายทารกถ้าตัวเย็น
ดูแลให้ได้รับยาระงับการชัก และให้วิตามินเค
ดูแลให้ออกซิเจนถ้าทารกมีภาวะพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับนมและน้ำอย่างเพียงพอ
การประเมินสภาพ
1.การซักประวัติการคลอด
การตรวจร่างกายเพื่อค้นหาอาการผิดปกต
การฉายภาพรังสีเพื่อดูบริเวณและขอบเขตที่เลือดออก
2) การบาดเจ็บของกระดูก (Bone injuries)
2.1) กระดูกต้นแขนหัก กระดูกต้นแขนที่หักนั้นส่วนใหญ่จะหักที่ลำกระดูก
สาเหตุ
การคลอดท่าก้น
ผู้ทำคลอดดึงทารกออกมา แขนเหยียดหรือการคลอดท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex)
อาการและอาการแสดง
ในรายที่มีกระดูกหักสมบูรณ์ (complete) อาจได้ยินเสียงกระดูกหักขณะคลอด แขนข้างที่หักจะมีอาการบวมและทารกไม่เคลื่อนไหวแขนข้างที่หักเนื่องจากรู้สึกเจ็บ
แนวทางการรักษา
ถ้าอาการไม่รุนแรงเป็นเพียงกระดูกแขนเดาะ จะรักษาโดยการตรึงแขนให้แนบกับลำตัวเพื่อไม่ให้แขนเคลื่อนไหว 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าหากกระดูกแขนหักสมบูรณ์ จะรักษาโดยการจับแขนตรึงกับผนังทรวงอก ศอกงอ 90 องศา แขนส่วนล่างและมือทาบขวางลำตัวใช้ผ้าพันรอบแขนและลำตัว หรือใส่เฝือกอ่อนจากหัวไหล่ถึงสันหมัด
2.2) กระดูกต้นขาหัก
กระดูกต้นขาหักส่วนใหญ่มักจะหักที่ส่วนลำกระดูก
สาเหตุ
การคลอดท่าก้น ผู้ทำคลอดดึงขาทารกขณะที่ติดอยู่ที่ทางเข้าเชิงกราน (pelvic inlet)
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex)
อาการและอาการแสดง
อาจได้ยินเสียงกระดูกหักขณะทารกคลอด
อาจไม่ทราบว่ากระดูกหักจนเวลาผ่านไปหลายวันจะพบว่าขาทารกมีอาการบวมเนื่องจาก
เลือดเข้าไปในกล้ามเนื้อใกล้เคียงบริเวณที่หัก
เมื่อจับทารกเคลื่อนไหวหรือถูกบริเวณที่กระดูกต้นขาหักทารกจะร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บ
แนวทางการรักษา
ถ้ากระดูกไม่หักแยกจากกัน (incomplete) รักษาโดยการใส่เฝือกขายาว ประมาณ 3-4 สัปดาห์
2.3) กระดูกไหปลาร้าหัก
สาเหตุ
การคลอดทารกท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก ทารกตัวโตหรือคลอดท่าก้นที่แขนเหยียดซึ่ง
ผู้ทำคลอดดึงแขนออกมา
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าแขนทั้งสองข้างของทารก เคลื่อนไหวไม่เท่ากัน โดยทารกจะยกแขนข้างที่ดีได้เท่านั้น หรือในกรณีที่กระดูกเดาะทารกอาจยกแขนได้ก็ได้ แต่ถ้าคลำตรงบริเวณที่หักอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบ
อาการและอาการแสดง
ทารกเคลื่อนไหวแขนข้างที่กระดูกไหปลาร้าหักน้อยหรือไม่เคลื่อนไหวเลย
ทารกจะมีอาการหงุดหงิดหรือร้องไห้เมื่อสัมผัสบริเวณที่กระดูกหัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับใต้แขนยกตัวทารกขึ้น
อาจพบว่ามีอาการบวมห้อเลือด (ecchymosis) ตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
ปมประสาทใต้ไหปลาร้า (brachial plexus) ของทารกอาจได้รับอันตรายร่วมด้วย
บางรายหลังจากจำหน่ายทารกกลับบ้านไปแล้วหลายสัปดาห์ พบว่าอาจมีก้อนนูนที่ไหปลา
ร้าหรือคลำได้ก้อนแข็ง ซึ่งแสดงถึงการมีกระดูกเกิดขึ้นใหม่แทนที่กระดูกที่หัก
แนวทางการรักษา
ส่วนใหญ่หายได้เองค่อนข้างเร็ว มักเกิดกระดูกงอกใหม่ภายใน 1 สัปดาห์
รักษาโดยให้แขนและไหล่ด้านที่กระดูกไหลปลาร้าหักอยู่นิ่ง ๆ โดยการกลัดแขนเสื้อติดกับ
ตัวเสื้อประมาณ 10 – 14 วัน
บทบาทการพยาบาล
7 more items...
3) การบาดเจ็บของเส้นประสาท
3.1) การบาดเจ็บของเส้นประสาทที่มาเลี้ยงใบหน้า (facial nerve injury)
สาเหตุ
การคลอดยาก
การใช้คีมช่วยคลอดทำให้กดเยื่อประสาทสมองคู่ที่ 7 (facial nerve injury) ที่ไปเลี้ยงใบหน้า
การตรวจร่างกาย
สังเกตสีหน้าของทารกเวลานอน เวลาร้องไห้หรือแสดงสีหน้าท่าทาง
อาการและอาหารแสดง
:star:มีอาการอัมพาตชั่วคราวของกล้ามเนื้อใบหน้า :star:
โดยทั่วไปมักเป็นด้านเดียว ทำให้ใบหน้าด้านที่เป็นไม่มีการเคลื่อนไหว ทารกจะลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว ตาปิดไม่สนิท
แนวทางการรักษา
ถ้าประสาทที่เลี้ยงใบหน้าเพียงถูกกดอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน ถึงสัปดาห์ แต่ถ้าเส้นประสาทขาดต้องได้รับการทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
การพยาบาล
5 more items...
บางรายอาจมีอันตรายเฉพาะแขนงประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนล่างของใบหน้า ปากข้างที่เป็นจะถูกดึงลงมาทำให้มุมิมฝีปากล่างตก ไม่มีรอยย่นที่หน้าฝาก เมื่อจับใบหน้าให้ตรง รูปหน้าทั้ง 2 ด้านจะไม่เท่ากัน เห็นได้ชัดเจน
ที่สุดเมื่อทารกร้องไห้ กล้ามเนื้อด้านที่เป็นอัมพาตจะไม่เคลื่อนไหว ทำให้หน้าเบี้ยวไปข้างที่ดี
3.2) การบาดเจ็บของเส้นประสาท Brachial
เส้นประสาทแต่ละเส้นที่ออกจากไขสันหลังจะมารวมกันเป็นกลุ่มประสาท เส้นประสาทจากกระดูกสันหลังตอนคอท่อนที่ 5 จนถึงกระดูกสันหลังตอนอกท่อนที่ (C5 -T1) รวมกันเป็นปมประสาทใต้ไหปลาร้า (Brachial nerve plexus) ที่ด้านข้างของคอใต้ไหปลาร้า ซึ่งจะกระจายออกไปสู่แขน อันตรายที่เกิดกับปม
ประสาทนี้ จึงเป็นสาเหตุให้มีอัมพาตของแขนส่วนนั้นบางระดับได้
สาเหตุ
เกิดจากข่ายประสาท Brachial ถูกดึงหรือกด
จะพบในทารกที่คลอดโดยมีส่วนนำเป็นก้น
หรือคลอดยากบริเวณแขนหรือไหล่จากการที่ดึงไหล่ออกไปจากศีรษะในระหว่างการคลอด
อาการและอาหารแสดง
ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด (BirthAsphyxia)
สาเหตุ
การไหลเวียนเลือดทางสายสะดือของทารกขัดข้อง เช่น สายสะดือถูกกด
O2หรือสารอาหารผ่านรกมายังทารกไม่พอ เช่น มารดา BP ต่ำจากยาระงับความรู้สึกที่ฉีดเข้าทางไขสันหลัง,มารดาเสียเลือดในระหว่างการคลอด,มดลูกกดทับ aorta และ venacava
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับภาวะ Birth asphyxia
ปัจจัยขณะตั้งครรภ์
อายุมากกว่า 35 ปี หรือน้อยกว่า 16 ปี
โรคเบาหวาน
เลือดออกในระยะตั้งครรภ์
มารดาได้รับยารักษาในการรักษาโรคบางอย่าง เช่น magnesium,adrenergic blocking agents
ติดยาเสพติดหรือสุรา
มีประวัติการตายในระยะเดือนแรกของชีวิต (neonatal death) ในครรภ์ก่อนๆ
PIH /chronic hypertension
Oligohydramnios /Polyhydramnios
Post term gestation
ตั้งครรภ์มากกว่า 1 คน
มารดาป่วยด้วยโรคบางอย่างเช่น โรคหัวใจ ไทรอยด์ เป็นต้น
ทารกในครรภ์มีความพิการ
คลอดก่อนก้าหนดหรือถุงน้ำคร่ำแตกก่อนก้าหนด
ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
ปัจจัยขณะคลอด
จังหวะหรืออัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ผิดปกติ
Meconium stain amniotic fluid
การคลอดโดยการผ่าตัดทางหน้าท้อง
มารดาได้รับ sedative หรือยาแก้ปวด
สายสะดือย้อย
การเจ็บครรภ์คลอดยาวนาน
การติดเชื้อ
ท่าก้นหรือส่วนน้าผิดปกติ
การประเมินสภาพและการวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
1.1 การตั้งครรภ์ที่ทำให้เกิดการลดลงเรื้อรังของการแลกเปลี่ยนออกซิเจนระหว่างทารกและรก ได้แก่ Postterm,IUGR
1.2 การลดลงของออกซิเจนในมารดา ได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอด ภาวะความผิดปกติของการหายใจ ภาวะพร่องออกซิเจนในมารดา
1.3 การลดลงของการไหลเวียนเลือดของมารดาหรือรก ได้แก่PIH, ภาวะความดนัโลหิตต่ำ,Tetanic contraction
1.4 การพร่องของการแลกเปลี่ยนเลือดและออกซิเจนระหว่างทารกและรกทันที เช่น รกลอกตัวก่อนกำหนดสายสะดือย้อย สายสะดือพันคอ
1.5 ประวัติการได้รับยาระงับความเจ็บปวดระหว่างคลอด เช่น pethidine
การตรวจร่างกาย
ประเมิน APGAR score ไดค้ะแนนต่ำตรวจพบอาการและอาการแสดงของภาวะขาดออกซิเจน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ
3.1 ค่า arterial blood gas จะพบว่าค่า PaCO2
สูง, ค่า PaO2ต่ำ,ค่า pH และ HCO3 ต่ำ
3.2 ค่าระดบัของน้ำตาลในเลอืดต่ำกว่า 30 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
3.3 ค่าระดับ calcium ในเลอืดต่ำกว่า 8 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
3.4 ค่าระดับ potassium ในเลือดสูง
อาการและอาการแสดง
ทารกจะมีลักษณะเขียวแรกคลอด ไม่หายใจ ตัวนิ่ม อ่อนปวกเปียก reflexลดลง หัวใจเต้นช้า โดยอาการขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะขาดออกซิเจน
การประเมิน APGAR score พบว่ามีคะแนน < 8 คะแนน
แบ่งความรุนแรง 3 ระดับ ดังนี้
▪ APGAR score 5 – 7 (mild Asphyxia)
▪ APGAR score 0 - 2 (severe Asphyxia)
▪APGAR score 3 - 4 (moderate Asphyxia)
แนวทางการช่วยเหลือทารกตามระดับความรุนแรงของภาวะขาด
ออกซิเจน
No asphyxia
(APGAR score 8-10)
Mild asphyxia (APGAR score 5-7)
Moderate asphyxia (APGAR score 3-4)
Severe asphyxia (APGAR score 0-2)
▪clear airway
▪ช่วยหายใจทันทีที่คลอด โดยการใส่ endotracheal tubeและช่วยหายใจด้วย bag ใช้ออกซิเจนร้อยละ 100 พร้อมกับนวดหัวใจในอัตราการนวดหัวใจ :การช่วยหายใจ 3 : 1
▪หลังช่วย 1 นาที ถ้า ไม่มี HR หรือหลังช่วย 2 นาที HR < 100 /min ควรได้รับการใส่umbilical venous catheter เพื่อให้ยาช่วยฟื้นคืนชีพและสารน้ำ
การกู้ชีพ :<3:
มีการประเมินทารก
A = (Airway)
3 more items...
B = ( Breathing)
1 more item...
C = (circulation)
1 more item...
D = (drug)
1 more item...
1.การช่วยเหลือพื้นฐานหรือขั้นต้น (Basic step)
8 more items...
▪clear airway
▪ใช้ bag และ mask ให้ออกซิเจนร้อยละ 100 และความดันที่เพียงพอ
▪หลังช่วยเหลือ 30 วินาที HRไม่เพิ่มหรือเต้นช้ากว่า 60/min ใส่ท่อET-tube และนวดหัวใจ
▪เช็ดตัวทารกให้แห้ง
▪clear airway
▪กระตุ้นการหายใจด้วย ลูบหน้าอกหรือหลัง
▪ให้ออกซิเจนที่ผ่านความชุ่มชื้นและอุ่น ผ่าน mask 5LPM
▪เช็ดตัวทารกให้แห้ง ห่อผ้าให้ความอบอุ่น หรือวางทารกใต้radiant warmer ที่อุ่น
▪clear airway
ภาวะสูดสำลักขี้เทาเข้าปอด (Meconium aspiration syndrome)
ภาวะหายใจลำบากที่เกิดจากการที่ทารกสูดสำลักขี้เทาซึ่งปน
ในน้ำคร่ำเข้าทางเดินหายใจ ปอด มีความสัมพันธ์กับการขาดออกซิเจนของทารกขณะอยู่ในมดลูก หรือขณะคลอด
สาเหตุ
เมื่อทารกได้รับออกซิเจนระหว่างที่อยู่ในครรภ์ไม่พอ จะทำให้ทารกถ่ายขี้เทาออกมา ซึ่งการถ่ายขี้เทาออกมาเป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อหูรูดที่ทวารหนักมีการคลายออก ร่วมกับมีการหายใจเข้า และการหายใจเข้าระหว่างที่อยู่ในครรภ์ (ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำคร่ำ) จะทำให้ทารกหายใจเอาน้ำคร่ำเข้าสู่ปอด แล้วอุดกั้นทางเดินหายใจ
พยาธิสรีรวิทยา
เมื่อทารกสำลักขี้เทาเข้าปอด จะเกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ (airway obstruction) เกิด ballvalve effect ในปอด ลมเข้าปอดได้แต่ระบายออกไม่ได้ ทำให้ถุงลมโป่งและแตก (pneumothorax)
อาการ
มีอาการหายใจเร็ว
หอบเหนื่อย
หายใจลำบาก
มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง (retraction)
อาการเขียว
อกโป่ง (barrel chest)
เสียงปอดผิดปกติจะได้ยินเสียง crepitation และ rhonchi
สายสะดือมีสีเหลือง (yellowish staining)
ปัญหาจากการสูดสาลักขี้เทา
(air leak syndrome)
(pneumothorax)
chemical inflammation)
Atelectasis
การดูแลทารกที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสูดสำลักขึ้เทา
ระยะก่อนคลอด
๑. เฝ้าระวังการตั้งครรภ์ที่มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ เช่น ครรภ์
เกินกำหนด ทารกน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์
๒. ติดตาม FHS อย่างใกล้ชิด
๓. ในรายที่ทารกมีความผิดปกติของ FHS แพทย์พิจารณาการคลอด
ระยะคลอด
๑. เตรียมเครื่องมือ ประสานกุมารแพทย์
๒. เมื่อพบขี้เทาปนเปื้อนในน้ำคร่ำ ทำการดูดน้ำคร่ำและขี้เทาด้วยลูกยางแดง ในปากและจมูกตามลำดับทันทีที่ศีรษะพ้นช่องคลอด ก่อนที่จะคลอดไหล่หน้า เพื่อลดการสูดสำลักขี้เทาเมื่อทารกเริ่มหายใจครั้งแรก
๓. พิจารณาใส่ETT เพื่อดูดขี้เทาในรายที่มีasphyxia โดยทำการดูดก่อนช่วยด้วยแรงดันบวก และดูดออกให้มากที่สุด
๔. ภายหลังการดูดขี้เทาในหลอดลม ควรใส่สายยางดูดขี้เทาจากกระเพาะอาหารด้วย
ระยะหลังคลอด
๑. ดูแลให้ได้รับ oxygen
๒. รักษาระดับของ oxygen ให้อยู่ในระดับ 80-100 มม.ปรอท
๓. พิจารณาใช้เครื่องช่วยหายใจ