Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 9 การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ, ์,…
บทที่ 9 การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ
การบาดเจ็บจากการคลอด
(Birth Injury)
ความหมาย
การบาดเจ็บที่เกิดกับทารกระหว่างคลอดจากแรงที่กระทำกับทารกโดยตรง และไม่เกี่ยวกับโรคที่มารดาเป็นระหว่างการตั้งครรภ์
ปัจจัยเสี่ยงจาก
มารดา
ความผิดปกติที่มีมาก่อนการตั้งครรภ์
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการตั้งครรภ์
ระยะเวลาของการคลอด
ทารก
ทารกมีส่วนนำผิดปกติ เช่น หน้า ไหล่ ก้น
ทารกมีขนาดตัวโตมากทำให้เกิดการคลอดยาก
อายุครรภ์ของทารกไม่ครบกำหนด หรือเกินกำหนด
การคลอดไหล่ยาก
ทารกมีความพิการแต่กำเนิด
การคลอด
การคลอดด้วยคีม หรือเครื่องดูดสุญญากาศ
การใช้แรงดึงมากเกินไปในการช่วยคลอดทารก
ผู้ทำคลอด
ขาดความชำนาญหรือขาดการเอาใจใส่อย่างเพียงพอ
แบ่งออกเป็น
การบาดเจ็บที่ศีรษะทารก (Skull injuries)
ภาวะก้อนบวมน้ำใต้หนังศีรษะ
(caput succedaneum)
สาเหตุ
เกิดจากแรงดันที่กดลงบนศีรษะทารกระหว่างการคลอดท่าศีรษะ ทำให้มีของเหลวไหลซึมออกมานอกหลอดเลือดในชั้นใต้เยื่อหุ้มหนังศีรษะ
จาการใช้เครื่องดูดสุญญากาศช่วยคลอด (vacuum extraction)
ความหมาย
เกิดจากการคั่งของของเหลวในระหว่างชั้นของหนังศีรษะกับชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ
ก้อนบวมโนนี้จะข้ามรอยต่อ
(suture) ของกระดูกกะโหลกศีรษะ
มีขอบเขตไม่แน่นอน
การวินิจฉัย
จากการคลำศีรษะทารกพบก้อนบวมโน นุ่ม กดบุ๋ม ขอบเขตไม่ชัดเจน ข้าม suture พบทันทีภายหลังคลอด
อาการและอาการแสดง
พบได้ด้านข้างของศีรษะ
การบวมของก้อนโนนี้จะมีความกว้างและมีขนาดโตประมาณไข่ห่าน
ทำให้ศีรษะมีความยาวมากกว่าปกติ
แนวทางการรักษา
หายไปได้เอง ประมาณ 2 -3 วันหลังคลอด
ถ้าเกิดจาก V/E จะหายได้ช้ากว่า
บทบาทการพยาบาล
สังเกตลักษณะ ขนาด การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ของก้อนบวมโนที่ศีรษะ
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทของทารก
อธิบายให้มารดาและบิดาเข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นเพื่อคลายความวิตกกังวล
บันทึกอาการและการพยาบาล
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มารดาและบิดาวิตกกังวลเกี่ยวกับก้อนบวมน้ำที่ใต้ศีรษะทารก
ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ (cephalhematoma)
ความหมาย
เป็นการคั่งของเลือดบริเวณใต้เยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ
มีขอบเขตชัดเจน
พบมากที่กระดูก parietal
ไม่ข้ามรอยต่อของ
กระดูกกะโหลกศีรษะ
สาเหตุ
ระยะเวลาการคลอดยาวนาน
ศีรษะทารกถูกกดจากช่องทางคลอด
การใช้ V/E
ภาวะแทรกซ้อน
ในรายที่มีอาการรุนแรง ก้อนโนเลือดมีขนาดใหญ่ จะเกิดภาวะระดับบิลลิรูบินในเลือดสูง(hyperbilirubinemia)
อาจเกิดการติดเชื้อจากการดูดเลือดออกจากก้อนโนเลือดใน
กรณีมีแผนการรักษา
การวินิจฉัย
ประวัติเบ่งคลอดนาน ช่วยคลอดโดยใช้ V/E
ตรวจร่างกายทารกพบบริเวณศีรษะมีก้อนบวมโนบนกระดูกกะโหลกศีรษะชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
มีลักษณะแข็งหรือค่อนข้างตึง คลำขอบเขตได้ชัดเจน
ใช้นิ้วกดจะไม่เป็นรอยบุ๋ม
อาการและอาการแสดง
ห้เห็นชัดเจนหลัง 24 ชั่วโมงไปแล้ว
ในรายที่เป็นรุนแรงอาจพบอาการแสดงทันทีหลังเกิดและพบว่า
ก้อนโนเลือดมีสีผิดปกต
แนวทางการรักษา
ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน จะค่อยๆหายไปเองภายใน 2 เดือน
ถ้ามีภาวะตัวเหลืองร่วมด้วยและมีระดับบิลลิรูบินในเลือดสูงจำเป็นต้องได้รับการส่องไฟ (phototherapy)
รายที่ก้อนเลือดขนาดใหญ่
อาจรักษาโดยการดูดเลือดออก
บทบาทการพยาบาล
สังเกต ลักษณะ ขนาด การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับ ภาวะเลือดออกในสมอง
ให้ทารกนอนตะแคงด้านตรงข้ามกับก้อนโนเลือด
สังเกตอาการซีด เจาะ Hct และให้เลือดตามแผนการรักษา
ตรวจ MB ถ้าตัว เหลืองรายงานแพทย์ เพื่อพิจารณาส่องไฟ (phototherapy)
ภาวะเลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ (intracranial hemorrhage)
ความหมาย
เป็นภาวะที่เลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ
เกิดขึ้นได้หลายตำแหน่ง
เหนือเยื่อหุ้ม สมองชั้นดูรา (epidural)
ใต้เยื่อหุ้มสมองชั้น ดูรา (subdural)
ใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นอะแรคนอยด์ (subarachnoid)
ภายในเนื้อสมอง (intracerebral)
ภายในห้องสมอง (intraventricular)
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกกดศูนย์หายใจทำให้ทารกหายใจลำบาก
ทารกอาจเกิดปัญญาอ่อน (mental retardation)
การวินิจฉัย
จากประวัติการคลอดเพื่อค้นหาสาเหตุ
สาเหตุ
Preterm
ภาวะขาดออกซิเจนเป็นเวลานานในขณะคลอดหรือเกิดภายหลังคลอด
การได้รับอันตรายรุนแรงจาการคลอด เป็นสาเหตุสำคัญที่สุด
✓ การใช้เครื่องมือช่วยคลอด
✓ การคลอดท่าก้น
✓ ภาวะ CPD
✓ การคลอดยาก
✓ การให้ยาช่วยเร่งคลอดไม่เหมาะสม
แนวทางการรักษา
ถ้ามีความดันในกะโหลกศีรษะสูง อาจได้รับการรักษาโดยเจาะน้ำไขสันหลัง เพื่อบรรเทาอาการความดันในสมอง
ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายทารกถ้าตัวเย็น
ดูแลให้ได้รับยาระงับการชักและให้
วิตามินเค
ดูแลให้ออกซิเจนถ้าทารกมีภาวะพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับนมและน้ำอย่างเพียงพอ
อาการและอาการแสดง
รายที่มีอาการรุนแรงจะแสดงอาการแรกคลอดทันที หรืออาจค่อย ๆ แสดงอาการหรืออาจไม่แสดงอาการเลยในบางราย โดยอาการ มีดังนี้
• Reflex ลดน้อยลงหรือไม่มี โดยเฉพาะ moro reflex จะเสียไป
• กำลังกล้ามเนื้อไม่ดี มีอาการอ่อนแรง
• มีภาวะซีด หรือมีอาการเขียว (cyanosis)
• ซึม ดูดนมไม่ดี หรือไม่ยอมดูดนม
• ร้องเสียงแหลม
• การหายใจผิดปกติ มีหายใจเร็ว ตื้น ช้า ไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดหายใจ
• กระหม่อมโป่งตึง
• ชัก (Convulsion)
Subgaleal hematoma
สาเหตุ
มักพบในการคลอดโดยใช้ V/E
ความหมาย
ภาวะที่มีเลือดสะสมใต้ช่องว่างของเนื้อเยื่อ ที่อยู่ระหว่างพังพืดของกะโหลกกับเยื่อหุ้มกะโหลก
Subgaleal hematoma อันตรายมากกว่า
Cephalhematoma เนื่องจากสามารถขยายขนาดได้ตั้งแต่ขอบกระดูกเบ้าตาจนถึงชายผมทำให้ทารกเสียเลือดมากจนเกิด hypovolemia
อาการและอาการแสดง
มีขอบเขตจากหน้าไปหลังเริ่มจากขอบเบ้าตา ไปยังท้ายทอยและด้านข้างจากหูไปยังหูอีกข้าง
ก้อนมีลักษณะน่วม และข้ามแนวประสานกระดูก ก้อนมีขนาดเพิ่มขึ้นช้าๆ ในหลายชั่วโมงหรือวัน หรือ เพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว อาจทำให้ทารกช็อกจากการเสียเลือดได้
การบาดเจ็บของกระดูก (Bone injuries)
กระดูกต้นแขนหัก
(Fracture humurus)
สาเหตุ
การคลอดท่าก้นผู้ทำคลอดดึงทารกออกมาแขนเหยียด
การคลอดท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex)
พบว่าทารกจะไม่งอแขน
เมื่อจับแขนขยับทารกจะร้องไห้เนื่องจากรูสึกเจ็บ
อาการและอาการแสดง
ในรายที่มีกระดูกหักสมบูรณ์ (complete) อาจได้ยินเสียงกระดูกหักขณะคลอด
แขนข้างที่หัก จะมีอาการบวมและทารกไม่เคลื่อนไหวแขนข้างที่หักเนื่องจากรูสึกเจ็บ
แนวทางการรักษา
ลำตัว ไม่ให้แขนเคลื่อนไหว 1-2 สัปดาห์
แต่ถ้ากระดูกแขนหักสมบูรณ์ จะรักษาโดยการจับแขนตรึงกับผนังทรวงอก ศอกงอ 90 องศา แขนส่วนล่างและมือทาบขวางลำตัวใช้ผ้าพันรอบแขนและลำตัว หรือใส่เฝือกอ่อนจากหัวไหล่ถึงสันหมัด
ถ้าเป็นเพียงกระดูกแขนเดาะ จะรักษาโดยการตรึงแขนให้แนบกับ
กระดูกต้นขาหัก
(Fracture femur)
สาเหตุ
การคลอดท่าก้น
ผู้ทำคลอดดึงขาทารกขณะที่ติดอยู่ที่ ทางเข้าเชิง
อาการและอาการแสดง
อาจได้ยินเสียงกระดูกหักขณะทารกคลอด
อาจไม่ทราบว่ากระดูกหักจนเวลาผ่านไปหลายวัน จะพบว่าขาทารกมีอาการบวม เนื่องจากเลือดเข้า ไปในกล้ามเนื้อใกล้เคียงบริเวณที่หัก
เมื่อจับทารกเคลื่อนไหวหรือถูกบริเวณที่กระดูกต้นขาหกทารกจะร้องไห้
แนวทางการรักษา
ถ้ากระดูกไม่หักแยกจากกัน (incomplete) รักษาโดย การใส่เฝือกขายาว ประมาณ 3 -4 สัปดาห์
ถ้ากระดูกหักแยกจากกัน (complete) รักษาโดยการห้อยขาทั้งสองข้างไว้กับราวที่ขวางปลายเตียง ขาเหยียดตรง ให้ก้นและสะโพกลอยจากพื้นเตียง ดึงขาไว้นาน 2-3 สัปดาห์
กระดูกไหปลาร้าหัก
(Fracture clavicle)
สาเหตุ
การคลอดทารกท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก
ทารกตัวโตหรือคลอดท่าก้นที่แขนเหยียดซึ่งผู้ทำคลอดดึงแขนออกมา
การตรวจร่างกาย
ทดสอบ moro reflex แขนทั้งสองข้างของทารกเคลื่อนไหวไม่เท่ากัน
กรณีที่กระดูกเดาะอาจยกแขนได้ คลำบริเวณที่หักอาจไดยินเสียงกรอบแกรบ
อาการและอาการแสดง
ทารกเคลื่อนไหวแขนข้างที่กระดูกไหปลาร้าหัก น้อยหรือไม่เคลื่อนไหวเลย
ทารกจะมีอาการหงุดหงิดหรือร้องไห้ เมื่อสัมผัสบริเวณที่กระดูกหัก
อาจพบว่ามีอาการบวมห้อเลือด (ecchymosis) ตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
อาจพบปมประสาทใต้ไหปลาร้า ของทารกอาจได้รับอันตรายร่วมด้วย
แนวทางการรักษา
ส่วนใหญ่หายได้เองค่อนข้างเร็วมักเกิดกระดูกงอกใหม่ภายใน 1สัปดาห์
รักษาโดยให้แขนและไหล่ด้านที่กระดูกไหลปลาร้าหักอยู่นิ่งๆ โดยการกลัดแขนเสื้อติดกับตัวเสื้อประมาณ 10 – 14 วัน
บทบาทการพยาบาลทารกที่มีอาการบาดเจ็บ ของกระดูก
ดูแลไม่ให้กระดูกส่วนที่หักเคลื่อนไหว
จัดกิจกรรมการพยาบาลไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายทารกบ่อย ๆ
ดูแลความสุขสบายและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่ม
ดูแลให้ทารกได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ
ดูแลการขับถ่ายป้องกันการระคายเคืองจากอุจจาระและปัสสาวะ
ดูแลให้ความอบอุ่นทางด้านจิตใจแก่ทารก
ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
การบาดเจ็บของเส้นประสาท
การบาดเจ็บของเส้นประสาทที่มาเลี้ยงใบหน้า(facialnerve injury)
สาเหตุ
การคลอดยาก
การใช้คีมช่วยคลอดทำให้กดเยื่อประสาทสมองคู่ที่7 (facial nerve injury) ที่ไปเลี้ยงใบหน้า
การตรวจร่างกาย
จากสังเกตสีหน้าของทารกเวลานอน เวลาร้องไห้หรือแสดงสีหน้าท่าทาง
แนวทางการรักษา
ปกติถ้าประสาทที่เลี้ยงใบหน้าเพียงถูกกดอาจหายไปได้ องภายใน 2-3วัน ถึงสัปดาห์
แต่ถ้าเส้นประสาทขาดต้องได้รับการทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
อาการและอาหารแสดง
มีอาการอัมพาตชั่วคราวของกล้ามเนื้อใบหน้ามักเป็นด้านเดียว
กล้ามเนื้อด้านที่เป็นอัมพาตจะไม่เคลื่อนไหวทำให้หน้าเบี้ยวไปข้างที่ดี
รูปหน้าทั้ง 2 ด้านจะไม่เท่ากัน เห็นได้ชัด เจนเมื่อทารกร้องไห้
ทารกจะลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว ตาปิดไม่สนิท
ปากข้างที่เป็นจะถูกดึงลงมาทำให้มุมริมฝีปากล่างตก
ไม่มีรอยย่นที่หน้าผาก
บทบาทการพยาบาล
ล้างตา หยอดตาตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้เยื่อบุตาตาขาว และกระจกตาของทารกแห้ง
ดูแลให้ได้รับนมให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายและเฝ้าระวัง การสำลัก เนื่องจากกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาต
ดูแลให้ทารกได้รับการตอบสนองด้านจิตใจ
ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
การบาดเจ็บของเส้นประสาท Brachial
สาเหตุ
เกิดจากข่ายประสาท Brachial ถูกดึงหรือกด
พบในทารกที่คลอดโดยมีส่วนนำเป็นก้นหรือคลอดยากบริเวณแขนหรือไหล่จากการที่ดึงไหล่ออกไปจากศีรษะในระหว่างการคลอด
Erb-Duchenne paralysis
เป็นการบาดเจ็บที่เส้น ประสาทจากกระดูกสันหลังระดับคอท่อนที่ 5-6 (c5-c6)
แขนข้างนั้นส่วนบนไม่ขยับ
แขนจะอยู่ในท่าชิดตัวและหมุนเข้าข้างใน
บริเวณข้อมือยังขยับ
กำมือได้ตามปกติ
Klumpke’ s paralysis
เป็นการบาดเจ็บที่เส้นประสาทจากกระดูกสันหลัง ตอนคอท่อนที่ 7-8และเส้นประสาทเลี้ยงทรวงอกคู่ที่1(c7-c8 และ T1)
แขนข้างนั้นส่วนล่างไม่ขยับ
แขนอยู่ในท่าชิดตัวและหมุนเข้าข้างใน
บริเวณข้อมือไม่ขยับ
กำมือไม่ได้
การตรวจร่างกาย
Erb Duchen Paralysis
✓ ทดสอบ moro reflex พบว่าแขนข้างที่เป็นยกขึ้นไม่ได้หรือยกได้น้อย
✓ การเคลื่อนไหวและการงอของแขนลดลง
✓ การตอบสนองต่อการกำมือ (grasp reflex) ปกติ
Klumpke’ s paralysis
✓ ทดสอบ moro reflex ไหล่และแขนส่วนบนเหยียดกางออกเป็นปกติ แต่ข้อมือ นิ้วมือตกไม่มีแรง
✓ การตอบสนองต่อการกำมือ (grasp reflex) ผิดปกติ
แนวทางการรักษา
ให้แขนไม่เคลื่อนไหว ในท่ากางหมุนแขนออก ข้อศอกตั้งฉากกับลำตัว
ทำกายภาพบำบัด
ถ้าไม่หายอาจต้องทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
ทารกน้ำหนักตัวผิดปกติ ความผิดปกติเกี่ยวกับอายุครรภ์ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
ทารกแรกเกิดน้ำหนักมากกว่าอายุครรภ์
(Large for gestational age)
สาเหตุ
ทารกแรกเกิดน้ำหนักมากกว่า
อายุครรภ์จากมารดาเป็นเบาหวาน
กลูโคสจะผ่านรกมาสู่ทารกในครรภ์
ทำให้ทารกมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้น จะเกิด Hyperinsulinemia
มีการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไกลโคเจนเพิ่มขึ้น
มีการสะสมไขมันตามอวัยวะต่างๆ ทารกจึงมีน้ำหนักมากกว่าปกติ
ผลกระทบ
คลอดยากเนื่องจากตัวใหญ่ทำ
ให้เกิดการบาดเจ็บจากการคลอด
Hypoglycemia ภายหลังคลอด
Hyperbilirubinemia จากภาวะเลือดข้น
ภาวะเลือดข้น (Polycythemia)
ภาวะแคลเซียม แมกนีเซียมในเลือดต่ำ
ความพิการของหัวใจแต่กำเนิด
ผนังกั้นหัว ใจห้องล่างมีรูรั่วหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบตัน
ทารกคลอดก่อนกำหนด (Preterm baby)
และน้ำหนักตัวน้อย (Low birth weight infant)
ความหมาย
ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์เต็มหรือน้อยกว่า 259 วัน และมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม
ลักษณะของทารกคลอดก่อนกำหนด
น้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500กรัม
รูปร่างรวมทั้งแขนขามีขนาดเล็ก
ศีรษะจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัวกะโหลกศีรษะนุ่มรอยต่อ กะโหลกศีรษะและขม่อมกว้าง
เปลือกตาบวมและนูนออกมา ตามักปิดตลอดเวลา
ผิวหนังบาวสีแดงและเหี่ยวย่น มองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังได้ชัดเจน มักบวมตามมือและเท้า
ไขเคลือบตัว (vernix caseosa) มีน้อยหรือไม่มีเลย
พบขนอ่อน (Lanugo hair) ได้ที่บริเวณใบหน้าหลังและแขน ผมน้อย
ลายฝ่ามือฝ่าเท้ามีน้อยและเรียบ เล็บมือเล็บเท้าอ่อนนิ่มและสั้น
กล้ามเนื้อมีกำลังน้อย
กล้ามเนื้อระหว่างกระดูกซี่โครงยังเจริญไม่ดีกระดูกซี่โครงค่อนข้างอ่อนนิ่ม
ขณะหายใจอาจถูกกระบังลมดึงรั้งเข้าไปเกิด Intercostals retraction
หัวนมมีขนาดเล็ก หรือมองไม่เห็นหัวนม
เสียงร้องเบา และร้องน้อยกว่าทารกแรกเกิดคลอดครบกำหนด
reflex ต่างๆ มีน้อยหรือไม่มี
ใบหูอ่อนนิ่ม เป็นแผ่นเรียบ และงอพับได้ง่าย
หายใจไม่สม่ำเสมอ มีการกลั้นหายใจเป็นระยะ (Periodic breathing) เขียวและหยุดหายใจ (Apnea) ได้ง่าย
บทบาทการพยาบาล
ห่อตัวทารกและให้อยู่ใต้ radiant warmer 36.5-37 ๐C
ทำทางเดินหายใจให้โล่ง ให้นอนตะแคงหรือนอนศีรษะสูง
ดูแลให้ได้รับ นมมารดาหรือนมผสมตามแผนการรักษาที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ดูแลและแนะนำมารดาบิดาในการป้องกันการติดเชื้อ ทำความสะอาดร่างกายทำความสะอาดสะดือ ป้ายตาด้วยยาปฏิชีวนะ
ดูแลให้วิตามินเค 1 mg.ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเพื่อป้องกันภาวะเลือดออกง่าย
ผลกระทบ
▪ ระบบภูมิต้านทาน
sepsis
▪ ระบบทางเดินอาหาร
และภาวะโภชนาการ
necrotizing enterocolitis
malnutrition
▪ ระบบทางเดินหายใจ
ศูนย์ควบคุมการหายใจใน Medulla ยัง เจริญไม่เต็มที่ กล้ามเนื้อช่วยการหายใจไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิด Periodic breathing
ปอดพัฒนาไม่เต็มที่ ทาให้เกิด RDS
▪ ระบบประสาท
hypothermia and hyperthermia
retinopathy of prematurity
intraventricular hemorrhage
▪ ระบบหัวใจและระบบเลือด
patent ductus arteriosus
hyperbilirubinemia
▪ ระบบเมตาบอลิซึมและต่อมไร้ท่อ
Hypocalcemia
Hypoglycemia
congenital hypothyroidism
/cretinism
ทารกคลอดเกินกำหนด
(Postterm baby)
ความหมาย
ทารกที่เกิดเมื่ออายุครรภ์มากกว่า 42 สัปดาห์
ลักษณะของทารกคลอดเกินกำหนด
▪ มีภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ จาก Uteroplacental insufficiency
▪ มีการสะสมไขมันใต้ผิวหนังลดลง มีการหลุดลอกของไข
▪ ผมและเล็บจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ
▪ ผิวหนังแห้งแตกเหี่ยวย่น และหลุดลอก เนื่องจากสูญเสียไขมันใต้ผิวหนัง
▪ มีขี้เทาเคลือบติดตามตัว
▪ รูปร่างผอม มีลักษณะขาดสารอาหาร แต่ตื่นตัว (alert)
▪ หน้าตาดูแกกว่าเด็กทั่วไป
บทบาทการพยาบาล
ระยะรอคลอด ให้ติดตาม EFM ทุก 1-2 ชั่วโมง และติดตามผลการประเมินปริมาณน้ำคร่ำด้วย U/S
ระยะคลอด ป้องกันการบาดเจ็บจากการคลอด จากทารกตัวใหญ่/การคลอดติดไหล่
ระยะหลังคลอด ดูดสิ่งคัดหลั่งจากปากและจมูก
ทารกที่มี APGAR score ปกติให้ดูแลเหมือนทารกแรกเกิดทั่วไป แต่ทารกที่มี APGAR score ต่ำดูแลให้เหมาะสมตามระดับของภาวะพร่องออกซิเจนแรกคลอด
ทารกแรกเกิดติดเชื้อ
กลุ่มมารดาที่มีโอกาสให้กำเนิด ทารกที่มีการติดเชื้อ ได้แก่
▪ มารดาที่มีประวัติการเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุในระหว่างตั้งครรภ์โดยเฉพาะมีอาการไข้หรือออกผื่น
▪ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนคลอดเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง
▪ มีสิ่งคัดหลั่งผิดปกติออกจากช่องคลอดในระยะก่อนคลอด
การติดเชื้อระหว่างอยู่ในครรภ์
เกิดขึ้นโดยเชื้อจะผ่านจากมารดาไปสู่ทารกทางรกหรือช่องคลอดเข้าสู่โพรงมดลูกซึ่งอาจทำให้เกิดการแท้งตายคลอด คลอดก่อนกำหนด หรอพิการแรกคลอดก็ได้ โดยเชื้อที่พบบ่อย
➢ กลุ่มเชื้อไวรัส
cytomegalovirus
หัดเยอรมัน
➢ กลุ่มเชื้อปาราสิต
Toxoplasma gondii
➢ กลุ่มเชื้อแบคทีเรีย
Group B streptococcus,
Mycobacterium tuberculosis
Treponema pallidum
การติดเชื้อในระยะคลอด
ทารกจะได้รับเชื้อที่ปนเปื้อนยู่บริเวณช่องคลอดและเลือดของมารดาทาให้ติดเชื้อได้ เชื้อที่พบได้บ่อย
เอดส์
หนองใน
เริม
ตับอักเสบบี
การติดเชื้อในระยะหลังคลอด
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
(Neonatal sepsis)
ปอดอักเสบ (Pneumonia)
โรคซิฟิลิส (Syphilis)
Treponema pallidum เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคซิฟิลิส
ถ้าติดเชื้อภายหลัง 16 สัปดาห์ Langhan’s epithelial layer จะหายไป ทำให้ทารกเสี่ยงต่อ ภาวะ congenital syphilis
ดังนั้น ถ้ารักษาในมารดาก่อนอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ สามารถป้องกันทารกจากภาวะ congenital syphilis ได้
อาการแสดงของภาวะ congenital syphilis
▪ ศีรษะเป็นรูปสี่เหลี่ยม หน้าผากโหนก
▪ น้ำหนักตัวน้อย
▪ ตาอักเสบ
▪ ตั้งจมูกแบน จมูกบี้
▪ ตับโต ม้ามโต
▪ ต่อมน้ำเหลืองโต้ทั่วตัว
▪ ซีดผิวหนังที่ฝ่ามือฝ่าเท้า
อักเสบและลอกเป็นขุย
▪ ถ้าติดเชื้อรุนแรงทารกจะเสียชีวิตจากภาวะ Hydrop fetalis
แนวทางการรักษา
• ทารกที่คลอดจากมารดาที่เป็นโรคซิฟิลิส พยาบาลจะต้องสังเกตภาวะ congenital syphilis
• ส่ง cord blood for VDRL ติดตามผลเลือด
• แยกทารกออกจากทารกคนอื่น ๆ
• ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา
• ดูแลให้ยา Aqueous penicillin G 50,000 ยูนิต/กก.ทางหลอดเลือดดำและให้Procaine penicillin G 50,000 ยูนิต/กก. ทางกล้ามเนื้อ
• ดูแลให้ยา Benzathine penicillin G 50,000 ยูนิต/กก.ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 ครั้ง
หัดเยอรมัน
(Rubella)
▪ เกิดจากเชื้อ Rubella Virus
▪ ทารกสามารถติดต่อได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ผ่านทางรก
▪ การติดเชื้อไตรมาสแรก ส่งผลให้เกิด congenital rubella syndrome (CRS)
▪ ความผิดปกติทางตา (ต้อกระจก ต้อหิน)
▪ ความผิดปกติของหัวใจ เช่น PDA
▪ ความบกพร่องทางการได้ยิน (หูหนวก)
▪ สมองพิการและปัญญาอ่อน
▪ ภาวะเจริญเติบโตช้าในครรภ์
▪ เกร็ดเลือดต่ำ ซีด ตับม้ามโต
▪ รวมทั้งความผิดปกติของโครโมโซม
หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับเชื้อหัดเยอรมันในช่วง 4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ (แม้จะมีผื่นหรือไม่มีผื่นขึ้นก็ตาม)
➢เชื้อจะเข้าไปยับยังการแบ่งตัวของ cell ทารกในครรภ์ และทำให้โครโมโซมของทารกแตก
➢ส่งผลให้ทารกแท้ง ตายคลอด หรือพิการแต่กำเนิดได้
➢กรณีที่ Titer > 1:8 ในระหว่าง GA 1- 16 สัปดาห์ ควรให้ข้อมูลในการยุติการตั้งครรภ์
แนวทางการรักษา
▪ ควรได้รับการแยกจากทารกปกติ เพื่อสังเกตอาการและประเมินความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง
▪ เก็บเลือดทารกส่งตรวจเพื่อยืนยันการติดเชื้อและตรวจร่างกายทารกอย่างละเอียด
โรคสุกใส (Chickenpox)
➢เกิดจากเชื้อไวรัส varicella virus
➢ระยะติดต่อ : ตั้งแต่ 24 ชม.ก่อนผื่นขึ้นและ 6 วันหลังผื่นขึ้น
➢ถ้ามีการติดเชื้อในระยะตั้งครรภ์
ระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ อาจท าให้ทารกในครรภ์พิการ
GA 6-12 wks. เกิดความผิดปกติของแขน ขามากทสี่ ุด เชน่ แขนขาลีบ
GA 16-20 wks. จะมีผลต่อการพัฒนาการทางสมอง และตา
ถ้าหญิงตั้งครรภ์เป็นสุกใสระยะก่อนคลอด 5 วัน หรือหลังคลอด 2 วัน
ทารกทเี่ กิดมาอาจเป็นสุกใสชนิดรุนแรงได้
แนวทางการรักษา
ถ้ามารดามีอาการขณะคลอด มารดาและทารกควรได้รับการแยกกันดูแลจนกระทั้งมารดามีการตกสะเก็ดของตุ่มสุกใสจนหมด และทารกควรได้รับการแยกจากทารกที่คลอดจากมารดาปกติ
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อสุกใสภายใน 5 วันก่อนคลอดหรือ 2 วันหลังคลอด ควรได้รับ varicella-zoster immunoglobulin (VZIG) ทันทีที่คลอด
มีบางรายงานแนะนำว่าควรให้ยา Acyclovir ร่วมกับ VZIG ในทารกแรกคลอด เนื่องจากได้ผลการรักษาดีกว่า การให้ VZIG เพียงตัวเดียว
โรคหนองในแท้ (Gonorrhea)
▪ เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhea
▪ ทารกจะได้รับเชื้อโดยตรงจากมีถุงน้ำคร่ำแตกหรือผ่านช่องทางคลอดที่ติดเชื้อพบในวัน ที่ 1-4 หลังคลอด
แนวทางการรักษา
ต้องเช็ดตาของทารกด้วย NSS หรือล้างตาทุก 1 ชั่วโมงจนกว่าหนองจะแห้ง
ดูแลให้ได้รับยา Cefixin 1 mg/kg ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อของทารกวันละ 1 ครั้งติดต่อกัน 7 วัน
โรคเริม
เกิดจากเชื้อ Herpes simplex virus
ทารกหลังคลอดอาจมีการติดเชื้อจากมารดา
อาการของทารก
ไข้ อ่อนเพลีย
ชัก
การดูดนมไม่ดี
ตัวเหลือง ตับ ม้ามโต
บางรายพบมีตุ่มน้ำพองใสเล็กๆ
ที่ผิวหนังตามร่างกาย
แนวทางการรักษา
แยกทารกออกจากทารกคนอื่นๆ และดูแลอย่างใกล้ชิด
ดูแลให้ได้รับยา Acyclovir ตามแผนการรักษา
โรคเอดส์ (AIDS)
เกิดจากการติดเชื้อ HIV
การติดต่อจากมารดาไปสู่ทารก
ทางรกการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งจากมารดาขณะคลอด และหลังคลอด
และการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
การให้ยาต้านไวรัสและการผ่าตัดคลอดก่อนการเจ็บครรภ์สามารถ
ป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไวรัส HIV จากมารดาสู่ทารกได
แนวทางการรักษาทารกที่คลอดจากมารดาเป็นโรคเอดส์
หลีกเลี่ยงการใส่สายยางสวนอาหารในกระเพาะอาหารทารกโดยไม่จำเป็น
ทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อจะต้องได้รับยา NVP ชนิดน้ำขนาด 6มิลลิกรัมทันทีหรือภายใน 8 -12 ชั่วโมงหลังคลอด
ตรวจหาการติดเชื้อเพื่อหา viral load ด้วยวิธี real time PCR assay
เมื่อทารกครบ 12 เดือน ควรตรวจหาภูมิต้านทานชนิด IgG และ IgMและควรตรวจอีกครั้ง เมื่อ 18 เดือน
ร่วมกับ AZT 2มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หลังจากนั้นจะให้ยา AZT ต่อทุก 2 ชั่วโมง
โรคตับอักเสบบี
เกิดจาก hepatitis B virus
การถ่ายทอดเชื้อ
ผ่านเลือด น้ำลาย อสุจิ สิ่งคัดหลั่ง ทางชองคลอด น้ำนม และผ่านทางรก
ทารกติดเชื้อจากมารดาได้ตั้งแต่ในระยะตั้งครรภ์ คลอด จนถึงหลังคลอด
หญิงตั้งครรภ์ที่มีผล HBeAg positive จะมีอัตราการถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารกสูงถึงร้อยละ 90 และหญิงตั้งครรภ์ที่มีผล HBeAg negative จะมีอัตราการถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารกเพียงร้อยละ 10 - 20
แนวทางการรักษา
เมื่อแรกคลอดดูดมูกและเลือดออกจากปากและจมูกของทารกออกมาให้มากที่สุด และทาความสะอาดทารกทันทีที่คลอด
ทารกดูดนมมารดาได้ทันทีหลังคลอดโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ทารกได้รับวัคซีนก่อน แต่หากมารดามีหัวนมแตกให้งดให้บุตรดูดนมเพราะอาจแพร่การกระจายเชื้อสู่ทารกได้
ดูแลให้ทารกแรกเกิดได้รับ HBIG เข้ากล้ามเนื้อโดยเร็วที่สุด ร่วมกับHBV เข็มที่ 1 เข้ากล้ามเนื้อโดยเร็วที่สุภายใน 12 ชั่วโมงหลังคลอด
บทบาทการพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะติดเชื้อ
ประเมินสัญญาณชีพ
ดูแลให้ได้รับนมมารดา
และน้ำอย่างเพียงพอ
สังเกตอาการผิดปกติเกี่ยวกับการหายใจ
ดูแลและแนะนาเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดของร่างกายทารก
แยกของใช้ของมารดากับทารกและมีการทำลายเชื้ออย่างเหมาะสม
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
แจ้งอาการและแนวทางการรักษาที่ทารกได้รับแก่มารดาบิดา
ทารกแรกเกิดจากมารดาติดสารเสพติด
ผลกระทบของ
สารเสพติดต่อทารก
น้ำหนักแรกคลอดต่ำ (low birth weight)
ทารกแรกคลอดมีอาการของการขาดยา
โอกาสเกิด sudden infant death syndrome (SIDS) สูง
ทารกเจริญเติบโตช้า
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
ทารกติดเชื้อในครรภ์ หรือติดเชื้อตั้งแต่กำเนิด (congenital infection)
ทารกพิการแต่กำเนิด (congenital anomaly)
ผลกระทบของเฮโรอีนต่อทารก
ทารกในครรภ์ขาดสารอาหารทุกชนิด
ทารกได้รับสารเสพติดติดต่อกันตลอดระยะของการตั้งครรภ์ เกิดการติดสารเสพติด
ทารกแรกเกิดจึงมีอาการที่แสดงถึงการขาดสารเสพติดหรือที่เรียกว่า อาการถอนยา
ทารกมีภาวะออกซิเจนในเลือดตำเนื่องจากเฮโรอีนยับยั้งการน า O2 เข้าสู่เซลล์
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ทารกในครรภ์เจริญเติบโตล่าช้า
ผลกระทบของสุราต่อทารก Fetal AlcoholSyndrome (FAS)
มารดาที่ดื่มสุรา 6 แก้วต่อวันในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์หรือ 3 ออนซ์ต่อวันตลอดการตั้งครรภ์
มีการเจริญเติบโตช้าในครรภ์ น้ำหนักตัวน้อยความยาวสั้นกว่าปกติ
การเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อและระบบประสาททำงานไม่ดี
การกลืนมีปัญญา หลังดูดนมจะอาเจียน
มีลักษณะผิดรูปของใบหน้าชัดเจน ศีรษะเล็ก
spina bifida
ริมฝีปากบางคล้ายปากปลา ขากรรไกรเล็กกว่าปกติ
ตาเล็กผิดปกติ หนังตาบนสั้น ตาปิดไม่สนิทจมูกสั้น สันจมูกแบน บางรายพบตาเหล่
เส้นลายมือมีเพียงเส้นเดียว ไม่สามารถกำมือแน่นๆ ได้
ระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติ
เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด
แขนขาผิดปกติ อวัยวะสืบพันธุ์ผิดปกติ (พบน้อย)
ผลกระทบของ
การสูบบุหรี่ต่อทารก
เนื้อเยื่อขาดออกซิเจนเรื้อรัง
คลอดก่อนกำหนด และเกิดภาวะหายใจลำบาก
หลั่ง catecholamine มากขึ้น
uteroplacental blood flow ลดลง
ทารกได้รับสารอาหารน้อย
การเจริญเติบโตช้า มีน้ำหนักน้อย
มีสติปัญญาต่ำ
ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง
หัวใจทารกเต้นผิดปกติ
ทารกได้รับออกซิเจนน้อย
ผลกระทบของ
แอมเฟตามีน
น้ำหนักแรกเกิดน้อย
มีความผิดปกติของหัวใจแต่กำเนิด
ภาวะเลือดออกในสมอง ภาวะสมองตาย
เด็กมีปัญหาพฤติกรรมในระยะยาว
neonatal abstinence syndrome (NAS)
อาการของ NAS
ทารกจะร้องเสียงแหลม
หายใจผิดปกติ suckingและ swallowing เสียไป
ไม่ยอมดูดนม
การรักษา NAS
Phenobarbital 2 – 4 mg/kg ทุก 8 ชั่วโมง เป็นยาที่แนะนำให้ใช้
Methadone 1 – 2 mg วันละ 2 ครั้ง
Paregoric 0.1 – 0.5 mg/kg ทุก 4 ชั่วโมง
diazepam 1 – 2 mg วันละ 2 ครั้ง
อาการถอนยาเสพติดในทารกแรกเกิด
หงุดหงิด ร้องกวนตลอดเวลา
ระบบประสาทถูกกระตุ้น
ระบบประสาทถูกกด
สารละลายในเลือด
ถ่ายเป็นน้ำ และถ่ายบ่อย อาเจียน
แนวทางการรักษา
การรักษาแบบประคับประคอง
โดยการรักษาตามอาการ เช่น ระวังภาวะขาดน้ำและอาหาร ดังนั้น จึงอาจพิจารณาให้นมผสมได้
การรักษาแบบจำเพาะ
การบรรเทาอาการขาดยา และ/หรือ ใช้ร่วมกับยาที่ทำให้ทารกสงบ ได้แก่ Phenobarbital,Chlorpromazine, Diazepam
ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด
(Birth Asphyxia)
อาการและอาการแสดง
ทารกจะมีลักษณะเขียวแรกคลอด
ไม่หายใจ
ตัวนิ่ม อ่อนปวกเปียก
reflex ลดลง
หัวใจเต้นช้า โดยอาการขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะขาดออกซิเจน
หลังคลอดในระยะต่อมา
ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอดมีผลต่อระบบต่างๆของร่างกาย
ไม่ว่าจะเป็นระบบทางเดินอาหาร ตับ ไต ไขกระดูก
ส่วนใหญ่จะแสดงออกทางระบบประสาทส่วนกลาง ระบบหัวใจ และระบบหายใจ เช่น หายใจลำบาก หยุดหายใจความดันเลือดต่ำ ซึม ชัก ม่านตาขยาย
สาเหตุ
การไหลเวียนเลือดทางสายสะดือของทารกขัดข้อง เช่น สายสะดือถูกกด
O2หรือสารอาหารผ่านรกมายังทารกไม่พอ เช่น มารดา BP ต่ำจากยาระงับความรู้สึกที่ฉีดเข้าทางไขสันหลัง , มารดาเสียเลือดในระหว่างการคลอด, มดลูกกดทับ aorta และ venacava
ไม่มีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนทางรก
ปอดของทารกขยายไม่เต็มที่ภายหลังคลอด
การไหลเวียนของเลือดไม่เปลี่ยนเป็นแบบทารกหลังคลอดปกติ
แนวทางการช่วยเหลือทารก
ในรายที่มีภาวะขาดออกซิเจนรุนแรง อาจทำให้ทารกมีภาวะชักได้ โดยภาวะชักนั้นจะปรากฏภายใน24 ชั่วโมงแรกของชีวิต
ทารกที่เกิดภาวะชักจะต้องให้ยาระงับชักและสังเกตการณ์กลับเป็นซ้ำเนื่องจากทารกอาจชักต่อเนื่องจนถึงหลังคลอดประมาณ 8-10 วัน
อาการและอาการแสดงภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด
การประเมิน APGAR score
▪ พบว่ามีคะแนน < 8 คะแนน ที่นาทีที่ 1
แบ่งความรุนแรง 3 ระดับ ดังนี้
No asphyxia (APGAR score 8-10)
เช็ดตัวทารกให้แห้ง ห่อผ้าให้ความอบอุ่น หรือวางทารกใต้ radiant warmer ที่อุ่น
clear airway โดยดูด สิ่งคัดหลั่งในปากและจมูก
▪ APGAR score 3 - 4 (moderate Asphyxia)
clear airway
ใช้ bag และ mask ให้ออกซิเจนร้อยละ 100
และความดันที่เพียงพอ
หลังช่วยเหลือ 30 วินาที HR ไม่เพิ่ม หรือ เต้นช้ากว่า 60 /min ควรใส่ท่อ endotracheal tube และนวดหัวใจ
▪ APGAR score 5 – 7 (mild Asphyxia)
เช็ดตัวทารกให้แห้ง - clear airway
กระตุ้นการหายใจด้วย ลูบหน้าอกหรือหลัง
ออกซิเจนที่ผ่านความชื้น และอ่นุ ผ่าน mask5 LPM
▪ Severe asphyxia (APGAR score 0-2)
clear airway
ช่วยหายใจทันทีที่คลอด โดยการใส่ endotracheal tube และช่วยหายใจด้วย bag
หลังช่วย 1 นาที ถ้า ไม่มี HR หรือหลังช่วย 2 นาที
HR < 100 /min ควร
ได้รับการใส่ umbilical venous catheter เพื่อให้ยาช่วยฟื้นคืนชีพและสารน้ำ
ใช้ออกซิเจนร้อยละ 100 พร้อมกับนวดหัวใจในอัตราการนวดหัวใจ : การช่วยหายใจ 3 : 1
การช่วยการหายใจ (Artificial Ventilation)
ข้อบ่งชี้การช่วยหายใจด้วยความดันบวก (positive pressure ventilation: PPV)
ทารกที่มี APGAR score เท่ากับหรือน้อยกว่า 4
เมื่อกระตุ้นการหายใจด้วย tactile stimuli ไม่ช่วยให้เกิดการหายใจเองได้
การหายใจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้การเต้นของหัวใจคงอยู่ในอัตราที่มากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
วิธีการช่วยหายใจด้วยความดันบวก (PPV)
จัดท่าให้ทารก โดยใช้ผ้ารองรับหัวไหล่ให้ยกสูงขึ้นจากพื้นประมาณ1 นิ้ว
ทำให้ศีรษะแหงนไปทางด้านหลังเล็กน้อย ทำให้ทางเดินหายใจโล่ง
อย่าให้หน้าและคอแหงนมากเกินไป เพราะจะทำให้หลอดลมตีบและแคบลง
การบีบ bag ในการช่วยหายใจด้วย PPV
บีบอัตรา 40 - 60 /min ให้ทรวงอกขยับพอประมาณโดยใช้แรงให้น้อยที่สุด
การบีบ bag เพื่อการหายใจเข้าเป็นครั้งแรกใช้ความดัน 30-50 ซม.น้ำ
การบีบ bag ในครั้งต่อๆไปใช้ความดัน 20 ซม.น้ำ (ยกเว้นรายความยืดหยุ่นปอดไม่ดี หรือการสำลักขี้เทา 20-40 ซม.น้ำ
ถ้าทางเดินหายใจอุดตันต้องดูดเสมหะทารก
เริ่ม resuscitation จาก room air ก่อนและค่อย ๆปรับให้ O2 จนได้ Targeted Preductal SpO2
ในขณะบีบ bag ผูที่บีบ bag ควรประเมินว่า
ทรวงอกทั้งสองข้างของทารกขยับเท่ากันหรือไม่
ตรวจสอบว่าขอบของ mask แนบสนิทกับใบหน้าของทารกหรือไม
วิธีการช่วยหายใจด้วยความดันบวก (PPV)
แล้วต้องประเมินทารกโดยใช้เวลา 6 วินาที โดยอาการที่บ่งชี้ว่าทารกมีอาการดีขึ้น คือ
อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
ทารกมีสีผิวชมพูขึ้น ทารกหายใจได้เอง ความตึงตัวกล้ามเนื้อดี
แต่ถ้าการหายใจไม่มีประสิทธิภาพ พิจารณาทำChest compression และใส่ท่อหลอดลมคอ
การใส่ท่อหลอดลมคอ endotracheal tube (ET tube)
ข้อบ่งชี้
▪ ช่วยฟื้นคืนชีพทารกที่มีภาวะ severe asphyxia
▪ ทารกที่มีน้ำคร่ำและขี้เทาใน trachea และต้องดูดออก
▪ หลังทำ PPVด้วย bag และ mask อาการไม่ดีขึ้น
▪ ทารกที่ต้องช่วยเหลือ โดยทา Chest compression
▪ อัตราการเต้นของหัวใจทารกต่ำ กว่า 60 ครั้งต่อนาที
▪ ทารกที่สงสัยว่ามี Diaphragmatic hernia
▪ ทารกที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 1,500 กรัมและไม่มีการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 100 ครั้งต่อนาที
วิธีการใส่ ET tube
จัดศีรษะอยู่ในลักษณะแบบเดียวกับการช่วยหายใจด้วย PPV
ควรเลือกขนาดของ ET tube ให้เหมาะสมกับตัวทารก
ผู้ใส่จับ laryngoscope ด้วยมือซ้าย และสอด ET tube
ถ้าไม่สามารถใส่ endotracheal tube ได้ภายใน 30วินาที ควรพักการใส่ไว้ก่อน และช่วยหายใจด้วย bag และ maskไปก่อนเป็นเวลา 30 – 60 วินาที แล้วจึงพยายามใส่ใหม่อีกครั้ง
ตำแหน่งที่ถูกต้องของปลาย ET tube ต้องอยู่ตำแหน่งเหนือcarina ตรวจสอบโดยใช้ stethoscope ฟัง breathsound ที่ส่วนบนของ mid axillary line หรือ ที่ยอดปอดทั้งสองข้าง ควรได้ยินเสียงเท่ากัน
การนวดหัวใจ
(External Cardiac massage)
ข้อบ่งชี้ในการนวดหัวใจทารก
ทารกที่คลอดออกมาแล้วหัวใจไม่เต้นโดยที่ไม่ไดคาดหมายมาก่อน
ทารกที่อัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที
ภายหลังจากการช่วยหายใจด้วย bag และ mask 30
วินาที แล้ว HR ไม่เพิ่มขึ้น
ทารกในกลุ่ม Severe asphyxia หลักการนวดหัวใจ
กดลงที่ตาแหล่ง lower third ของ sternum ความลึกมากกว่า 1/3ของ chest wall ร่วมกับ ventilation (ETT)
กดหน้าอก 90 ครั้ง : PPV 30 ครั้ง ในเวลา 1 นาที
ด้วยออกซิเจน100 % ในอัตรา 3:1 (นับ “หนึ่ง และสองและสามและบีบ และ…ซ้ำ”)
ภาวะสูดสำลักขี้เทา (Meconium Aspiration syndrome)
ความผิดปกติเกิดขึ้นเนื่องจากการที่ทารกหายใจเอาขี้เทา ซึ่งปนอยู่ในน้ำคร่ำเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ โดยการหายใจนี้อาจเกิดขึ้นในมดลูกหรือ ขณะที่ผ่านทางช่องคลอดก็ได้มักพบในทารกคลอดเกินกำหนด หรือคลอดครบกำหนดแต่น้ำหนักตัวน้อย
สาเหตุ
เกิดจากการขาดออกซิเจนของทารกทำให้ทารกหายใจเอาขี้เทาที่ตนเองถ่ายไว้เข้าไป
อาการและอาการแสดง
ขี้เทาจะไปอุดตามหลอดลมและถุงลมในปอดของทารก ทำให้ทารกหายใจเร็วกว่าปกติเล็กน้อย เป็นเวลา 2- 3 วัน หลังคลอด หรือบางรายอาจหายใจเร็วมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที
ปลายมือปลายเท้าและรอบปากเขียว
หน้าอกโป่ง เวลาหายใจเข้าออกหน้าอกจะบุ๋ม
ฟังปอดพบเสียง rales และ rhonchi เสียงลมหายใจเข้าเบาลง เสียงหัวใจค่อยลง เนื่องจากมีลมในช่องเยื่อหุ้มปอด(pneumothorax)
ภาพรังสีของปอดพบปอดทึบพบสารน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด
สายสะดือมีสีเหลือง (yellowish staining)
ในรายที่อาการไม่รุนแรงอาการจะดีขึ้นมาภายใน 24 – 72 ชั่วโมง
ในรายที่รุนแรงอาจใช้เวลาถึง 1-2 สัปดาห์
ในรายที่สูดสำลักขี้เทาเข้าไปมากอาจเสียชีวิตทันทีหลังคลอดหรือภายใน 24ชั่วโมง
บทบาทการพยาบาล
จัดให้ทารกนอนตะแคงศีรษะต่ำเล็กน้อยหรือตะแคงหน้า ไปด้านใดด้านหนึ่ง
ให้ลูกสูบยางแดงหรือสาย suction ขนาดเล็ก ดูดขี้เทาและน้ำคร่ำจนกว่าจะหมด
กระตุ้นให้ร้องและดูแลให้ออกซิเจน
รักษาร่างกายทารกให้อบอุ่น โดยจัดให้นอนใน radiant warmer ที่อุณหภูมิ 36.5-37 องศาเซลเซียส
สังเกตอาการผิดปกติโดยเฉพาะการหายใจมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที ให้รายงานแพทย์
บอกถึงอาการและความก้าวหน้าของการรักษาพยาบาลทารกให้มารดาและบิดาทราบ
แนวทางการรักษา
ดูดขี้เทาและน้ำคร่ำออกจากปากและจมูกของทารกให้มากที่สุดก่อนทารกหายใจ
หากมีขี้เทาในน้ำคร่ำประกอบกับทารกหายใจช้าความตึงตัวของกล้ามเนื้อไม่ดี และ HR < 100 ครั้งต่อนาที พิจารณาใส่ ETTเพื่อดูดขี้เทาออก
ภายหลังการดูดขี้เทาในหลอดลม ควรใส่สายยางดูดขี้เทาจากกระเพาะอาหารด้วย
ในรายที่มี asphyxia โดยทำการดูดขี้เทาก่อนช่วยด้วยแรงดันบวก และดูดออกให้มากที่สุด
งดอาหารและน้ำทางปาก ดูแลให้ 10% Dextros in water ทางหลอดเลือดดำ
ตรวจ arterial blood gas เพื่อประเมินภาวะความเป็นกรดของเลือด
ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อที่ปนเข้าไปกับขี้เทา
์
น.ส.ปณัฐฐา วงภักดี
รหัส 602701055 เลที่ 55