Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความรู้พื้นฐานและหลักทั่วไปทางเภสัชวิทยา - Coggle Diagram
ความรู้พื้นฐานและหลักทั่วไปทางเภสัชวิทยา
ความรู้พื้นฐานทางเภสัชวิทยา
ประเภทยา
แบ่งตามเภสัชตำรับ
ประโยชน์ในการรักษา
เป็นวิธีแบ่งประเภทของยาที่นิยมใช้กันมากที่สุดและอาจใช้ร่วมกับการแบ่งยาตามกลไกการออกฤทธิ์ทางกายวิภาคด้วย
ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
ยานอนหลับ
ยารักษามะเร็ง
ยาแก้ปวดลดไข้
กลไกการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
ยากระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
ยาระบายหรือยาถ่ายที่ทำให้ลำไส้บีบรัดตัวเพิ่มขึ้น
ตำแหน่งการออกฤทธิ์ทางกายวิภาค
ระบบประสาท
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ยาออกฤทธิ์ต่อระบบการไหลเวียนเลือด
แหล่งที่มาของยา หรือคุณสมบัติทางเคมี และเภสัชวิทยาของยา
ไอโอดีนจากแร่ธาตุ
ยากลุ่มกลัยโคไซด์ที่ได้จากพืช
ยารักษาโรคปัจจุบัน แบ่งตามพระราชบัญญัติพุทธศักราช 2510
ยาใช้ภายนอก
ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่มุ่งหมายสำหรับใช้ภายนอก ทั้งนี้ไม่รวมถึงยาใช้เฉพาะที่
ยาใช้เฉพาะที่
ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่มุ่งหมายสำหรับใช้เฉพาะที่กับผิวหนัง หู ตา จมูก ปาก ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ และทวารหนัก
ยาควบคุมพิเศษ
ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาที่ควบคุมพิเศษ
ยาสามัญประจำบ้าน
ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาสามัญประจำบ้าน
ยาอันตราย
ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาอันตราย
ยาบรรจุเสร็จ
ยาแผนปัจจุบันหรือยาแผนโบราณที่ได้ผลิตขึ้นเสร็จในรูปต่างๆทางเภสัชกรรมซึ่งบรรจุในภาชนะหรือหีบห่อที่ปิดหรือผนึกไว้และมีฉลากครบถ้วน
ยาแผนโบราณ
ยาที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณหรือบำบัดโรคสัตว์ซึ่งอยู่ในตำราแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศหรือยาที่รัฐมนตรีประกาศเป็นยาแผนโบราณหรือยาที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนยาแผนโบราณ
ยาสมุนไพร
ยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ หรือแร่ ซึ่งมิได้ปรุงหรือแปรสภาพ
ยาแผนปัจจุบัน
ยาที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม การประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบัน หรือการบำบัดโรคสัตว์
แหล่งกำเนิดยา
จากธรรมชาติ
จากสัตว์
สกัดจากอวัยวะบางส่วนของสัตว์
ตับอ่อน
ยาอินซูลินสกัดมาจากตับอ่อนของวัว
ดีหมู
ตับ
ดีวัว
จากแร่ธาตุ
เช่น ไอโอดีน ทองแดง น้ำมัน เกลือแร่
ตัวอย่างยา
ผงน้ำตาลเกลือแร่ (Oral Rehydrating Salt, ORS) ใช้ในการทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่
Lithium carbonate เป็นยารักษาโรคจิตชนิดคลุ้มคลั่ง
ยาใส่แผลสด Tincture iodine ซึ่งเป็นยาใช้ภายนอก
ยาลดกรดประเภทอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์
จากพืช
เป็นยาที่ได้จากส่วนต่างๆของพืชโดยตรง
ใบ
ลำต้น
ราก
ผล
เมล็ด
เปลือก
นำมาปรุงเป็นยาโดยไม่เปลี่ยนแปลงรูป เรียกว่า ยาสมุนไพร (Crude drug)
มะเกลือใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ
ใบมะขามแขกใช้เป็นยาระบาย
เมล็ดพริกไทยใช้เป็นยาขับลม
ถ้าสกัดเอาสารที่มีอยู่ในพืชออกมาทำให้บริสุทธิ์ซึ่งสามารถกำหนดขนาดในการรักษาได้ เรียกว่า สารสกัดบริสุทธิ์
คาเฟอีน จากใบชาและเมล็ดกาแฟใช้เป็นยากระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
มอร์ฟีนและโคเดอีน ได้จากยางของฝิ่นใช้เป็นยาแก้ปวด
จากการสังเคราะห์
ปัจจุบันยาส่วนใหญ่ได้จากการสังเคราะห์โดยอาศัยปฏิกิริยาทางเคมีในห้องปฏิบัติการ
เกลือของเหล็ก ใช้บำรุงโลหิต
อะลูมิเนียมไฮดอกไซด์ ใช้เป็นยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
ความสำคัญของเภสัชวิทยาต่อวิชาชีพพยาบาล
พยาบาลวิชาชีพจะสามารถให้ยาแก่ผู้ป่วยเมื่อแพทย์มีคำสั่งการรักษาเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น
นักศึกษาพยาบาลจะให้ยาแก่ผู้ป่วยได้ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพยาบาลวิชาชีพซึ่งเป็นอาจารย์พยาบาลหรือพยาบาลประจำการตามพระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์เท่านั้น
ความรู้พื้นฐานทางด้านเภสัชวิทยาจึงนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับวิชาชีพพยาบาลพยาบาลต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับที่กฎหมายกำหนดไว้
การให้ยาเป็นหน้าที่สำคัญของพยาบาลนอกเหนือจากความรู้เรื่องยาแล้วพยาบาลต้องมีคุณธรรมโดยการตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อให้เกิดผลที่พึงประสงค์แก่ผู้ป่วย เพราะถ้าหากเกิดจากความประมาทเลินเล่อของพยาบาลทำให้ผู้ป่วยได้รับผลที่ไม่พึงประสงค์จากยาแม้เพียงระดับเล็กน้อยก็ตามพยาบาลจะมีความผิดจากการปฏิบัติวิชาชีพการพยาบาล
การเรียกชื่อยา
เรียกชื่อสามัญทางยาหรือชื่อตัวยา (generic name)
ชื่อยาที่รวมอยู่ในกลุ่มจะมีฤทธิ์เหมือนกัน
acetaminophen หรือยาพาราเซตตามอล แก้ปวดลดไข้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
แอสไพรินหรือ acetylsalicylic acid เป็นยาแก้ปวดลดไข้
แบ่งเป็นกลุ่มๆ เช่น ยานอนหลับ ยาแก้ปวดลดไข้ ยาแก้อักเสบ ยาถ่าย
เรียกชื่อตามการค้า (trade name)
เช่นยาในกลุ่ม acetaminophen มีชื่อทางการค้า
Beramol
Paracetamol
Sara
Tylenol
เป็นชื่อที่ บริษัท ผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายยาเป็นผู้ตั้งและขอจดทะเบียนไว้กับกระทรวงสาธารณสุขมักตั้งชื่อยาให้น่าสนใจ จำง่าย
เรียกชื่อตามสูตรเคมี (Chemical name)
เป็นการเรียกตามลักษณะส่วนประกอบทางเคมีของยา ตั้งแต่การเรียงตัวของอะตอมหรือกลุ่มอะตอม
เภสัชวิทยาและเภสัชกรรม
เภสัชวิทยา (Pharmacology)
วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของยาและฤทธิ์หรือผลต่างๆของยาที่มีต่อร่างกายรวมทั้งผลที่ร่างกายกระทำต่อยาด้วย
เภสัชกรรม (Pharmacy)
วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการเตรียมยา ผสมยาและจ่ายยาเพื่อรักษา
เภสัชภัณฑ์หรือยาเตรียม ( Pharmaceutical preparation, Pharmaceutical product)
ของแข็ง (Solid form)
ยาแคปซูล (Capsule)
เช่น Chloramphenical Tetracyclin Ampicillin Amoxycillin
เป็นยาที่มีเจลาตินเป็นปลอกหุ้มเพื่อกลบรสขมของยา
ยาเม็ด (Tablet)
เป็นยาผงแห้งที่อัดเม็ด
ชนิดของยาเม็ด
ยาเม็ดเคลือบ
เพื่อให้ออกฤทธิ์ที่สำไส้เป็นการป้องกันการแตกตัวของยาที่กระเพาะอาหารและป้องกันการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารด้วย
Vitamin B 1-6-12
ยาเม็ดที่ไม่ได้เคลือบ
Aspirin
Paracetamol
ยาอมใต้ลิ้น (Subtingual) หรือในกระพุ้งแก้ม
เป็นยาที่ถูกดูดซึมได้ดีในเยื่อบุในช่องปากเข้าสู่ตระแสโลหิตได้โดยตรงยาจึงออกฤทธิ์เร็วและไม่ถูกทำลายโดยกระเพาะอาหาร
ยาเม็ด Testosterone Nitroglycerine
ยาเม็ดสำหรับเคี้ยว
ต้องเคี้ยวก่อนยาจึงจะออกฤทธิ์ได้ดี
ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
ยาอม (Lozenge) และโทรเช (Troche)
ใช้อมแก้เจ็บคอประกอบด้วยยาฆ่าเชื้อและยาทำลายทำลายเชื้อผสมน้ำตาลให้มีรสชาติน่ารับประทานชื่อทางการค้า
สเตร็ปซิล
ดีกวดิน
ยาผงเดือดฟู (Effervescent powder)
เป็นยาที่ละลายน้ำได้ง่ายประกอบด้วย Sodium bicarbonate uas Acetic acid
ยาผง (Pulveres หรือ power)
เป็นรูปของยาผสมที่เป็นผงเพื่อเก็บยาได้นานและกลิ่นรสดีขึ้นมีทั้งชนิดกินและโรยแผล
ยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องร่วง
ยาเหน็บ (Suppositories)
เป็นยาที่เตรียมขึ้นเพื่อใช้สอดเข้าไปในช่องเปิดเช่นช่องคลอดทวารหนักตัวยาจะละลายเมื่อสอดเข้าใส่ในร่างกายและออกฤทธิ์ตรงบริเวณที่เหนียหรือซึมเข้าสู่กระแสเลือดทั่วร่างกายยาเหน็บทางทวารหนัก
Dutcolas ใช้เหน็บเพื่อให้ถ่ายอุจจาระ
ยาเหน็บช่องคลอดมักใช้เหน็บเพื่อฆ่าเชื้อรา
Protosedo ใช้รักษาโรครอดสีดวงทวารหนัก
ของเหลว
ยาน้ำสารละลาย
ตัวทำละลายเป็นน้ำ
ยาน้ำเชื่อม (Syrups)
เป็นสารละลายเข้มข้นของน้ำตาลหรือสารอื่นที่ใช้แทนน้ำตาลในน้ำ
ยาจิบ (Linctuses)
เป็นสารละลายใสมีลักษณะหนืดเล็กน้อยเพราะละลายในน้ำตาลหรือยาน้ำเชื่อมประกอบด้วยตัวยาที่ใช้ระงับการไอขับเสมหะซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ลำคอด้วย
Codeine tinctus
ยาน้ำใส (Solutions)
เป็นยาละลายน้ำใสประกอบด้วยตัวยาซึ่งอาจเป็นสารของแข็งหรือของเหลวละลายในน้ำบริสุทธิ์หรือเป็นของเหลวชนิดอื่นที่เหมาะสม
เช่น แอลกอฮอล์ กลีเซอลีน ตัวยาที่ละลายอยู่มักเป็นสารที่ไม่ระเหย
ยากลั้วคอ (Gargale)
เป็นสารละลายใสและเข้มข้นตัวยามีฤทธิ์ต้านการฆ่าเชื้อละลายอยู่ในน้ำใช้ป้องกันหรือรักษาอาการติดเชื้อในลำคอ
น้ำยาบ้วนปาก
น้ำปรุง (Aromatic water)
เป็นสารละลายใสและอิ่มตัวของน้ำมันระเหยง่ายตัวยาสำคัญคือน้ำมันหอมระเหย
สาระแหน่ น้ำมันกุหลาบ น้ำมันดอกส้ม เช่นการบูรหรือสาระเหยอื่น ๆ ในน้ำบริสุทธิ์
ยาอมบ้วนปาก (Mouthwash)
เป็นสารละลายใสใช้ทำความสะอาดดับกลิ่นปากกระตุ้งแก้ม โดยเฉพาะตัวยาที่ใช้เป็นสารระงับเชื้อยาซายาสมานเนื้อเยื่อ
ยาหยอดจมูก (Nasal preparations)
เป็นสารละลายใสประกอบด้วยตัวยาละลายในน้ำใส่ขวดน้ำสำหรับใช้พ่นหรือหยอดเข้าทางจมูกส่วนมากยาหยอดจมูกใช้บรรเทาอาการคัดจมูก
ยาสวนล้าง (Irrigation)
เป็นสารละลายชนิดปราศจากเชื้อสำหรับล้างบาดแผลหรือซ่องต่างๆยาหยอดหู (Oric preparations) ส่วนมากเป็นยาน้ำใสบางครั้งเป็นยาแขวนตะกอนของร่างกาย
นิยมเรียกว่า Douches มีลักษณะโดยมีขนาดบรรจุมากกว่ายาฉีดใช้จุกขวดเป็นฝาเกลียวธรรมดาและบรรจุสำหรับใช้ครั้งเดียว
ยาน้ำสวนทวารหนัก (Enemas)
เป็นสารละลายใสประกอบด้วยตัวทำละลายซึ่งอาจเป็นน้ำกลีเซอลีนสารละลายน้ำเกลือหรือสารละลายโซเดียมไบคาร์บอเนต
ตัวทำละลายไม่ใช้น้ำ
ยาโคโลเดียน (Colodians) หรือยากัด
เป็นยาน้ำที่มีลักษณะข้นเหนียวมักใช้ทาบาดแผลขนาดเล็กมักมีส่วนประกอบของยาที่มีฤทธิ์ลอกผิวหนังหรือเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว
Salicylic acid 10-1296 ใช้รักษาตาปลาหรือหูด
ยากลีเซอริน (Glycerines)
เป็นยาน้ำที่มีลักษณะข้นเหนียวหรือกึ่งแข็งประกอบด้วยตัวยากลีเซอรินไม่น้อยกว่า 50% โดยน้ำหนักใช้เป็นยาหยอดหู ยาอมบ้วนปาก ยาทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่ม
ยาสปริริต (Spirits)
เป็นสารละลายใสของสารหอมระเหยง่ายเช่นการบูรแอมโมเนียในแอลกอฮอล์หรือแอลกอฮอล์ผสมน้ำยาสปริริตจะมีแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูงคือมากกว่า 60 96
ยาถูนวด (Lininments)
เป็นยาน้ำใช้เฉพาะภายนอก อาจเป็นสารละลายใสหรือข้นเหลว
ยาอิลิกเซอร์ (Elixir)
เป็นสารละลายใสชนิดไฮโดรแอลกฮอล์ที่มีกลิ่มหอมและรสหวานใช้เป็นยารับประทานเท่านั้นตัวยาที่สำคัญเป็นแอลกอฮอล์จำนวน 3-44 96 ผสมในน้ำหรือส่วนผสมอื่นที่ไม่ใช่น้ำ
ยาป้าย (Paints)
เป็นยาน้ำที่ประกอบด้วยตัวยาที่มีฤทธิ์ต้านการติดเชื้อสมานแผลหรือระงับปวดละลายอยู่ในน้ำแอลกอฮอล์ผสมอะซีโตนใช้ป้ายผิวหนังหรือเยื่อเมือก
ยาน้ำกระจายตัว
ยาน้ำแขวนตะกอนยาน้ำชนิดนี้มักมีสารช่วยในการทำให้ยาแขวนตะกอนอยู่ด้วย แต่เมื่อตั้งทิ้งไว้ยาจะตกตะกอนเวลาใช้ต้องเขย่าขวดเพื่อให้ยากระจายได้ทั่วถึง
รูปแบบของยาน้ำแขวนตะกอน
แมกมาและมิลค์ (Magmas and Mil)
เป็นยาแขวนตะกอนคล้ายเจล แต่สารยามีขนาดใหญ่ลักษณะของยาจึงหนืดกว่า เช่น ยาระบายแมกนีเซีย
มิกซ์เจอร์ (Mictures)
เป็นยาน้ำผสมอาจใส่หรือไม่ใส่ยาแขวนตะกอนก็ได้กินรับ
โลชั่น (Lotions)
เป็นยาน้ำแขวนตะกอนชนิดใช้ภายนอก เช่น คาลาไมน์ โลชั่น
อิมัลชั่น (Emulsion)
มีทั้งรูปแบบยากินและยาทาเฉพาะที่เป็นยาน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำมันกระจายอยู่ในน้ำมีลักษณะขุ่นเหนียว เช่น ยาระบายพารัฟฟิน น้ำมันละหุ่ง อิมัลชั่น
เจล (Gels)
ตัวยามีขนาดเล็ก แต่ไม่ละลายน้ำมีลักษณะเป็นกาว เช่น alum milk
กึ่งแข็ง
ขี้ผึ้ง (Oitment)
ลักษณะเป็นน้ำมันเป็นยาเตรียมที่ใช้ทาผิวหนังและเยื่อเมือกเพื่อลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียหรือบรรเทาอาการอาการต่างๆส่วนมากมักจะผสมสารที่ช่วยให้การกระจายตัวและการดูดซึมของยาดีขึ้นอยู่ด้วย เช่น ขี้ผึ้ง
ครีม (Paste)
เป็นยาน้ำแขวนตะกอนที่มีความข้นมากใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อทำให้รู้สึกเย็นหรือใช้แต่งแผลเพื่อบรรเทาอาการมักผสมกับตัวยาที่ทำให้เหนียวและดูดซึมได้ดี
ประเภทอื่น ๆ
ยาทาผิวหนัง (Applications)
เป็นยาสำหรับใช้ทาเฉพาะที่อาจเป็นยาน้ำใสอิมัลชั่นยาน้ำแขวนตะกอนก็ได้
ยาพ่นฝอย (Spray)
เป็นยาที่เตรียมขึ้นเพื่อหวังผลเฉพาะที่และป้องกันฤทธิ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่อร่างกายส่วนอื่นมักใช้ประกอบกับเครื่องพ่นเพื่อให้ตัวยากระจายเป็นอนุภาคเล็ก ๆ และออกฤทธิ์ในบริเวณที่ต้องการโดยตรงเช่นที่ผิวหนังเยื่อบุช่องจมูกหรือหลอดลม
ยาฉีด (Injections)
เป็นเภสัชภัณฑ์ชนิดไร้เชื้อที่บริหารยา
การฉีดหมายถึงการให้โดยไม่ผ่านระบบทางเดินอาหาร
ตัวยาจะมีความบริสุทธิ์สูงไม่มีสารพิษหรือสารที่ดูดซึมไม่ได้ยาจะปราศจากเชื้อจุลชีพเพื่อความปลอดภัยมีความคงตัวดีเป็น isotonic solution
แบ่งตามคุณสมบัติทางกายภาพได้เป็นยาน้ำใสยาผงผสมแห้งชนิดไร้เชื้อยาแขวนตะกอนชนิดไร้เชื้อห้ามฉีดเข้าหลอดเลือดดำหรือช่องไขสันหลัง
ยาดม (Inhalant)
เป็นยาที่มีกลิ่นหอมระเหยสามารถสูดดมได้ง่ายใช้สูดดมเพื่อบรรเทาอาการวิงเวียนต่างๆ
ความหมายของยา
วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการวินิจฉัยบำบัดบรรเทารักษาหรือป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วยของมนุษย์หรือสัตว์
วัตถุที่เป็นเภสัชเคมีภัณฑ์หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป
วัตถุที่รับรองไว้ในตำรายาที่รัฐมนตรีประกาศ
วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับให้เกิดผลแก่สุขภาพโครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์วัตถุตาม (1) (2) หรือ (4) ไม่หมายความรวมถึง
(ข) วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์เครื่องกีฬาเครื่องมือเครื่องใช้ในการส่งเสริมสุขภาพเครื่องสำอางหรือเครื่องมือและส่วนประกอบของเครื่องมือที่ใช้ในการประกอบโรคศิลปะหรือวิชาชีพเวชกรรม
(ค) วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในห้องวิทยาศาสตร์สำหรับการวิจัยการวิเคราะห์หรือการชันสูตรโรคซึ่งมิได้กระทำโดยตรงต่อร่างกายของมนุษย์
(ก) วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการเกษตรหรือการอุตสาหกรรมตามที่รัฐมนตรีประกาศ
ข้อดี ข้อเสียของการให้เภสัชภัณฑ์ในวิถีทางต่างๆ
ยาชนิดฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อ
ข้อดี
ยาถูกดูดซึมได้เร็วและเกิดการระคายเคืองน้อยกว่าการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
สามารถใช้กับยาฉีดที่ละลายได้ในน้ำมัน
ข้อเสีย
สามารถให้ยาได้ไม่เกิน 5 มิลลิลิตร
การสะสมยาไว้ที่เนื้อเยื่ออาจทำให้การดูดซึมยาช้าลง
ข้อเสียเช่นเดียวกับยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำข้อ 4, 5 และ 6
ยาพ่นฝอย
ข้อดี
ยาออกฤทธิ์เร็ว และสามารถให้ยาได้ด้วยตนเอง
ยาจะออกฤทธิ์เฉพาะที่
ข้อเสีย
ปริมาณยาที่ได้ไม่แน่นอน
อาจระคายเคืองเยื่อบุทางเดินหายใจและหลอดลม
วิธีการให้ยาไม่สะดวก
อาจเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
ยาชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
ข้อดี
การดูดซึมเป็นไปอย่างช้าๆ ให้ยาออกฤทธิ์ได้นานพอ
ควรหลังฉีดยาหากแพ้ยาเฉียบพลันสามารถใช้ tourniquest รัดเหนือบริเวณที่ฉีดยาบางแห่งได้เช่นต้นแขนหรือต้นขาจะช่วยให้การดูดซึมยาเข้าสู่กระแสโลหิตช้าลง
ข้อเสีย
ยาบางชนิดระคายเคือง
บริเวณที่ฉีดทำให้เกิดแผลหรือฝีได้
สามารถให้ยาได้ไม่เกิน 2 มิลลิลิตร ยามีราคาแพง
มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
ข้อเสียเช่นเดียวกับยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำข้อ 4, 5 และ 6
ยาอมใต้ลิ้น
ข้อดี
ยาถูกดูดซึมและออกฤทธิ์ได้เร็วโดยไม่ผ่านตับเช่นยาลดอาการเจ็บที่หน้าอกเพราะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
ไม่ถูกทำลายโดยกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
ข้อเสีย
ยาบางชนิดรสชาติไม่ดียาอาจระคายเคืองเยื่อบุภายในปาก
ใช้เวลานานไม่สะดวกในการพูด
ยาชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
ข้อดี
ใช้ในรายที่หมดสติหรืออาเจียนได้
ยาฉีดที่มีปริมาณมากสามารถให้โดยวิธีการนี้ได้โดยวิธีการหยดช้าๆ
ออกฤทธิ์เร็ว ไม่ระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ไม่ถูกทำลายโดยกรด หรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
เหมาะกับการให้สารน้ำสารอิเลคโตรไลท์หรือสารอาหารบางชนิดที่ให้ทางหลอดเลือดดำ
ข้อเสีย
เกิดพิษง่าย รวดเร็ว และรุนแรงถึงชีวิต ยามีราคาแพง
มีโอกาสเกิดติดเชื้อได้ง่ายเกิดการทำลายผนังหลอดเลือดหลอดเลือดดำอักเสบ
การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเร็วอาจทำให้เกิดหัวใจล้มเหลวจากกล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักก้อนยาอุดตันหลอดเลือดทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดีหายใจไม่สม่ำเสมอชักหรืออาจทำให้เม็ดเลือดแดงแตกเนื่องจากได้รับสารที่เป็น hypotonic solution หรือทำให้เม็ดเลือดแดงเกี่ยวเนื่องจากได้รับสารที่เป็น hypertonic solution
ในกรณีที่เกิดพิษจากยาสามารถไม่สามารถแก้ไขโดยการทำให้อาเจียนหรือใช้ผงถ่าน (activated charcoal) ดูดซับรวมทั้งไม่สามารถล้างยาออกจากกระเพาะอาหาร (Lavage) ได้
ยาที่ไม่ละลายตัวในตัวทำละลายไม่สามารถให้โดยวิธีการนี้
เกิด embolism จากการไม่ไล่อากาศออกจากกระบอกฉีดยา
ยาเหน็บ
ข้อดี
ออกฤทธิ์เฉพาะที่และทั่วร่างกาย
สำหรับยาที่ใช้เหน็บช่องคลอดจะออกฤทธิ์เฉพาะที่รักษาอาการติดเชื้อบรรเทาอาการคัดทำให้มดลูกหดรัดตัว
เหมาะกับเด็กหรือผู้ที่รับประทานยายาก เช่น ยาเหน็บทวาร เพื่อลดไข้
ข้อเสีย
ไม่สะดวกต่อการใช้ ราคาแพง
สำหรับยาที่ใช้เหน็บช่องคลอดอาจเกิดการติดเชื้อภายในของอวัยวะสืบพันธุ์ได้
ยาชนิดรับประทาน
ข้อดี
หากเกิดอันตรายจาการรับประทานยาส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงและเร็วเท่ายาฉีด
ในกรณีที่เกิดพิษจากยาสามารถทำให้อาเจียนได้ง่ายหรือใช้ผงถ่าน (activated charcoal) ดูดซับได้หรือใส่สายยางล้างยาออกจากกระเพาะอาหาร (lavage)
สะดวก ปลอดภัย ไม่เจ็บ ราคาถูก สามารถให้ได้ด้วยตนเอง
ข้อเสีย
กลิ่นแสีอาจไม่ชวนรับประทาน
ยาอาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร เช่น ทำให้กระเพาะอาหารเป็นแผลคลื่นไส้อาเจียน
ไม่เหมาะกับยาที่ดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารช้า ไม่คงตัว
ยาอาจถูกทำลายโดยกรดและน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่อาเจียนหมดสติ
หลักทั่วไปทางเภสัชวิทยา
เภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetic)
การแปรสภาพยาหรือการเปลี่ยนแปลงยา (Drug metabolism, Drug biotransformation)
เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงยา
เอนไซม์อาจอยู่ที่ไซโตพลาสซึม (cytoplasm) ของอวัยวะต่างๆ
ตับ (อวัยวะที่สำคัญในการแปรสภาพยา) ไตปอดทางเดินอาหารพลาสม่า
เอนไซม์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงยาได้ตั้งแต่ยาถูกดูดซึมผ่านทางเดินอาหารและผ่านตับ
ในร่างกายมี enzyme หลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการแปรสภาพยา
flavoprotein (enzyme NADPHytochrom P450 reductase)
ยาแต่ละชนิดจะใช้ enzyme ในการแปรสภาพยาหรือเปลี่ยนแปลงยาแตกต่างกันไป
ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงยา
Phase l reaction
enzyme จะเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของยา โดยอาศัยกระบวนการ Oxidation, reduction, hydrolysis
เป็นการแปรสภาพยาโดยอาศัยเอนไซม์ cytochrom P450 ทำให้ยาเป็น polar metabolite มากขึ้น
ขับถ่ายออกจากร่างกายหรือเข้าสู่ phase II reaction
Phase II reaction
ทำให้ละลายน้ำได้ดีขึ้นโดยการรวมตัว (conjugation) กับ endogenous Compound ในตับ
เช่น กรดกลูคิวโรนิค (glucuronic acid) กรดซัลฟิวริค (Sulfuric acid) กรดอะซิติก (acetic acid)
ยาหรือ metabolite จาก phase l ที่ไม่มีความเป็น polar มากพอที่จะถูกขับออกทางไต
ปัจจัยที่มีผลต่อ drug metabolism
พันธุกรรม
สิ่งแวดล้อม
คนที่สูบบุหรี่จะมีการ metabolized ยาได้เร็วกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่
คนที่สัมผัสกับยาฆ่าแมลงจะ metabolized ยาได้เร็วกว่าคนปกติทั่วไป
อายุ
เด็กและผู้สูงอายุจะไวต่อฤทธิ์และพิษของยามากกว่าผู้ใหญ่
ความสำคัญการแปรสภาพยา
กระตุ้นการออกฤทธิ์ของยา (mechanism of drug activation)
ยาบางชนิดยังไม่สามารถออกฤทธิ์ได้หลังให้ยาจำเป็นต้องถูกเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี (metabolite) ก่อนจึงจะสามารถออกฤทธิ์ในร่างกายได้
เช่น Levodopa (ยารักษาโรคพาร์กินสัน) จะถูก metabolite เป็นโดปามีน (dopamine; DA) ออกฤทธิ์ในระบบประสาทส่วนกลาง
สิ้นสุดการออกฤทธิ์ของยา (termination of drug action)
การแปรสภาพยาช่วยทำให้ยามีคุณสมบัติละลายน้ำได้ดีขึ้น (hydrophilic) หรือมีความเป็นประจุ (ionize form, polar Compound) มากขึ้นเพื่อง่ายต่อการขับออกทางไต
ปฏิกิริยาระหว่างยาในระหว่างการเกิด metabolism
ยาบางชนิดมีคุณสมบัติเหนี่ยวนำเอนไซม์ (enzyme inducer)
เพิ่มการสังเคราะห์ enzyme cytochrome P450-dependent drugs-oxidizing ในตับ
หากให้ยาชนิดนี้ร่วมกับยาชนิดอื่นทำให้ยาชนิดอื่นที่ให้ร่วมกันมีประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์ลดลงเนื่องจากเมื่อมีปริมาณ enzyme cytochrome P450 เพิ่มขึ้นทำให้มีการเปลี่ยนแปลงยาและทำลายยาอื่นอย่างรวดเร็วและมากขึ้น เช่น phenyltoin
ยาบางชนิดมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ (enzyme inhibitor)
ส่งผลในกรณีให้ยาที่มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์หากให้ยาร่วมกับยาชนิดอื่นทำให้ยาชนิดอื่นที่ให้ร่วมถูกแปรสภาพได้ช้าทำให้ยาอื่นที่ให้ร่วมด้วยมีระยะเวลาการออกฤทธิ์นานขึ้นระดับยาในร่างกายเพิ่มขึ้นและหากยามีระดับสูงเกินระดับรักษาอาจเกิดความเป็นพิษของยาอื่นที่ให้ร่วมกันได้
ยาที่สามารถลดหรือยับยั้งการทำงานของ enzyme cytochrome P450 ในตับ
ยาที่มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ เช่น Cimetidine
อวัยวะอื่นที่เกิดการแปรสภาพยาได้ เช่น ทางเดินอาหาร ปอด ผิวหนัง และไต
การแปรสภาพยาเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของยาโดยกระบวนการที่อาศัยเอนไซม์ในร่างกายและมีตับเป็นอวัยวะสำคัญที่เกิดการแปรสภาพยา
คำสำคัญทางเภสัชจลนศาสตร์
Loading dose
ขนาดยาที่ให้ครั้งแรกเพื่อให้ถึงระดับยาที่ต้องการในพลาสมา
การให้ยาในขนาดสูงอย่างรวดเร็วเพื่อหวังผลให้ปริมาณและขนาดยาสูงขึ้นออกฤทธิ์ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
Onset
ระยะเวลาที่เริ่มให้ยาจนถึงยาเริ่มออกฤทธิ์ที่ต้องการ
ค่าครึ่งชีวิต (Half life; tv2)
เวลาที่ใช้ในการทำให้ยาหรือความเข้มข้นของยาลดลงเหลือ 50% จากความเข้มข้นแรกโดย half Life จะเป็นตัวกำหนด
Duration of action
ระยะเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ที่ต้องการจนถึงหมดฤทธิ์ที่ต้องการ
การกระจายตัวของยา (Drugs distribution)
การจับตัวของยากับโปรตีนในพลาสม่า (plasma protein binding)
การรวมของยากับพลาสมาโปรตีนส่งผลลดการกระจายตัวของยาเพราะยาที่รวมตัวกับโปรตีนจะมีขนาดโมเลกุลใหญ่ขึ้นไม่สามารถผ่านผนังหลอดเลือดฝอย ไปยังบริเวณที่ออกฤทธิ์ได้ทำให้มียาบางส่วนถูกเก็บกักไว้ในกระแสเลือด
โมเลกุลของยาบางชนิดสามารถรวมตัวได้อย่างหลวม ๆ กับพลาสมาโปรตีน
เป็นเสมือนแหล่งเก็บยาในร่างกายเป็นตัวกำหนดค่าปริมาตรการกระจายตัวของยา (volume of distribution; Vd)
ค่าปริมาตรการกระจายตัวของยาสูงขึ้นหากโมเลกุลยามีการจับตัวกับโปรตีนในพลาสม่าได้น้อยทำให้มียาในรูปอิสระ (free drugs) ที่สามารถออกนอกระบบไหลเวียนโลหิตกระจายไปยังบริเวณที่ออกฤทธิ์ได้
ความสามารถในการผ่านเข้าสมองและรก (capillary permeability)
(Central ในไขมันได้ดีเท่านั้นจึงจะสามารถผ่าน blood brain barrier ได้นอกจากนี้ยังมี barrier อื่นในร่างกายเช่น nervous system; CNS) ป้องกันไม่ให้สารหรือยาที่เป็นอันตรายเข้าไปยังสมอง
ยาที่มีคุณสมบัติละลาย placenta barrier ช่วยป้องกันยาบางชนิดที่จะเข้าไปสู่ทารกในครรภ์ (fetus) และอาจมีผลทำให้ทารกเกิดมากขึ้นความพิการได้
blood brain barrier (BBB) จะไม่ยอมให้ยาผ่านได้ มีหน้าที่ป้องกันระบบประสาทสมองส่วนกลาง
คุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของยาแต่ละชนิด
คุณสมบัติการละลายในไขมัน (Lipid solubility) เช่น ยาที่ละลายในไขมันได้ดีจะสามารถกระจายตัวไปยังอวัยวะเป้าหมายได้ดีกว่ายาที่ละลายในไขมันน้อย
ยาในรูปแบบของเหลวกระจายตัวได้ดีกว่ายาในรูปแบบที่เป็นของแข็ง
การสะสมของยาที่ส่วนอื่น (accumulation at other site)
ที่เซลล์ไขมัน (fat as reservoir) กระดูกและฟัน (bone and teeth) อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่ออวัยวะที่ยาไปสะสมได้หรืออาจทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ช้ากว่าปกติ
ปริมาณการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะนั้น ๆ
หลังจากยาถูกดูดซึมแล้วยาจะไปสู่อวัยวะที่มีปริมาณการไหลเวียนของเลือดสูงได้อย่างรวดเร็ว เช่น หัวใจ ตับ ไต และสมอง
การนำยาไปยังอวัยวะในช่องท้องกล้ามเนื้อและไขมันจะเกิดได้ช้ากว่า
การขับถ่ายยาออกจากร่างกาย (Drug Excretion)
ร่างกายสามารถกำจัดยาออกได้ทางไต ตับ น้ำดี และปอด นอกจากนี้ยาอาจถูกกำจัดออกทางน้ำนมและเหงื่อได้ด้วย แต่ในปริมาณที่น้อยมาก
ยาอาจถูกกำจัดสารที่เป็น polar Compound จะถูกกำจัดออกได้ดีกว่าสารที่มี high tipid solubility
การดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย (Drug absorption)
ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมยา
ปัจจัยเกี่ยวกับตัวยา
วิธีการผลิตยาและรูปแบบยาเช่นยาน้ำใสยาแขวนตะกอน
ขนาดยาที่ให้ (dosage) เป็นปัจจัยที่กำหนดความเข้มข้นของยาบริเวณจุดที่ออกฤทธิ์ (target cell)
ขนาดโมเลกุลของยายาที่มีขนาดน้ำหนักโมเลกุลของยาต่ำจะซึมผ่าน cel membrane ได้เร็วกว่ายาที่มีขนาดน้ำหนักโมเลกุลของยาสูง
คุณสมบัติในการละลายในไขมัน (lipophilic) เนื่องจาก cell membrane ประกอบด้วยไขมันเป็นส่วนใหญ่ฉะนั้นยาหรือสารที่มีคุณสมบัติละลายได้ดีในไขมันสามารถผ่าน Cel membrane ส่วนที่เป็นไขมันได้ดีและถูกดูดซึมได้ดี
ปัจจัยเกี่ยวกับผู้ป่วย
สภาวะทางสรีรวิทยาและอารมณ์ของผู้รับยา
การนอน ทำให้การเคลื่อนที่ของยาไปยังกระเพาะอาหารช้าลง
การนั่ง ทำให้การเคลื่อนที่ของยาไปยังกระเพาะอาหารเร็วขึ้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก
การได้รับอาหารหรือยาชนิดอื่นร่วมด้วย
อาหารอาจมีผลลดการดูดซึมยาบางชนิดได้ฉะนั้นยาบางชนิดจึงต้องรับประทานในขณะท้องว่าง
พยาธิสภาพของร่างกาย
ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และปริมาณอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหาร มีผลลดการดูดซึมของยาผ่านทางเดินอาหารได้
โรคเกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจล้มเหลว ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้ลดลง มีผลลดการดูดซึมยาทางหลอดเลือดได้
วิธีการบริหารยา (routes of administration)
การให้ยาดูดซึมผ่านทางระบบทางเดินหายใจ
ยาที่อยู่ในรูปก้าชและของเหลวที่ระเหยได้ดีจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดได้ง่ายและรวดเร็วเนื่องจากปอดมีพื้นที่ผิวการดูดซึมสูงและมีปริมาณเลือดมาเลี้ยงมาก
การให้ยาโดยการฉีดใต้ผิวหนัง (Subcutaneous: SC) กล้ามเนื้อ (muscle: IM) หลอดเลือดดำ (intravenous: V)
ความเร็วในการดูดซึมยาขึ้นกับทางในการบริหารยาฉีด (หลอดเลือดดำ> กล้ามเนื้อ> ใต้ผิวหนัง) และรูปแบบของยาที่ใช้
ยาที่อยู่ในรูปแขวนตะกอนจะถูกดูดซึมได้ช้า
การให้ยาโดยวิธีนี้ยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ 100% (bioavailability 100%)
การมีปริมาณเลือดที่ไหลเวียนผ่านบริเวณที่ให้ยาการบีบนวดทำให้ยาถูกดูดซึมได้รวดเร็วขึ้น
การให้ยาดูดซึมผ่านหลอดเลือดฝอยบริเวณใต้ลิ้น
ยาที่ละลายในไขมันได้ดีมีคุณสมบัติเป็นด่างการอมใต้ลิ้นช่วยให้ยาสามารถดูดซึมผ่านหลอดเลือดฝอยได้รวดเร็วและดีเพราะใต้ลิ้นจะมีร่างแหหลอดเลือดฝอยหนาแน่น
การให้ยาดูดซึมผ่านทางผิวหนัง
ขนาดโมเลกุลยาและคุณสมบัติในการละลายได้ในไขมันเป็นปัจจัยสำคัญในการดูดซึมยานอกจากนี้ยังขึ้นกับความหนาบางของผิวหนังบริเวณที่ทา
การให้ยาผ่านทางเดินอาหาร (alimentary route, Oral route) โดยพบว่า pH ของ medium มีผลต่อการดูดซึมยา
ยาที่มีคุณสมบัติเป็นด่างอ่อน (basic drugs) เช่นมอร์ฟีน (morphine) จะถูกดูดซึมได้ดีใน medium ที่เป็นด่าง (pH สูง) เช่นลำไส้เล็ก
ข้อเสีย
การเกิด first pass effect คือการเกิดการทำลายยาที่ตับเมื่อยาผ่าน portal vein เข้าสู่ตับและถูกเปลี่ยนแปลง (metabolite) ที่ตับก่อนเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปบริเวณหรือเซลล์ (cell) ที่ออกฤทธิ์ (target cell) ส่งผลให้ระดับของยาในเลือดลดลงอาจไม่ถึงระดับรักษา (therapeutic dose) ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง
ยาที่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน (acidic drugs) เช่นแอสไพริน (aspirin) จะถูกดูดซึมได้ดีใน medium ที่เป็นกรด (pH ต่ำ) เช่นกระเพาะอาหาร
ยาที่มีคุณสมบัติ hepatic first past effect สูงควรพิจารณาให้ยาทางอื่นเช่นการฉีดยาผ่านทางกล้ามเนื้อหรือหลอดเลือดดำ (หลีกเลี่ยงการให้ยาทางปาก) เพื่อที่จะคงระดับยาในกระแสเลือดให้ถึงระดับรักษา
การให้ยาแบบเหน็บทวารหนักหรือช่องคลอด
ยาเหน็บชนิดที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่
เมื่อสอดยาเหน็บตัวยาจะซึมผ่านเยื่อเมือกของอวัยวะและออกฤทธิ์เฉพาะที่บริเวณนั้น ๆ
เช่น ยาชา ยาแก้คัน ยาต้านการอักเสบ ยาปฏิชีวนะ
ยาเหน็บชนิดที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย
เมื่อสอดยาเหน็บตัวยาจะซึมผ่านเยื่อเมือกและถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดของร่างกาย
Bioavailability หมายถึง สัดส่วนของยาที่ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงที่ถูกนำเข้าสู่กระแสเลือด
การดูดซึมยา หมายถึง อัตรา (rate) และปริมาณ (extent) ยาที่ถูกนำเข้าสู่กระแสโลหิต
เภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamic)
การออกฤทธิ์ของยาต่อร่างกาย
กลไกการออกฤทธิ์ของยา
ออกฤทธิ์โดยไม่จับกับ receptor
Chemical action เช่น ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
Physical action เช่น ยาระบายยาลดการดูดซึมในกระเพาะอาหาร
ออกฤทธิ์โดยจับกับ receptor
ตัวรับ (Receptor)
Agonist
ยาที่จับกับ receptor แล้วสามารถทำให้เกิดฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
Antagonist
ยาที่จับกับ receptor ไม่สามารถออกฤทธิ์ในการรักษา
Partial agonist
ยาที่จับกับ receptor แล้วออกฤทธิ์เพียงบางส่วน
คำสำคัญทางเภสัชพลศาสตร์
Efficacy หมายถึง ความสามารถของยาที่ทำให้เกิดฤทธิ์สูงสุดซึ่ง Maximum effect ของยา
Potency หมายถึง ความแรงของฤทธิ์ยา
Affinity หมายถึง ความสามารถของยาในการเข้าจับกับ receptor
การแปรผันของการตอบสนองต่อยา
Hypersensitivity หรือ Allergic reaction
การแพ้ยาจากที่ร่างกายมี antibody (Ab) ที่ต่อต้านต่อโครงสร้างทางโมเลกุล (structure) ของยาหรือส่วนประกอบของยาทำให้เกิดอาการจากปฏิกิริยาภูมิแพ้เช่น ผื่นคัน หายใจลำบาก หัวใจเต้นเร็ว คลื่นไส้
Tolerance
เป็นการซื้อหรือทนฤทธิ์ของยา
Hyperactivity
การตอบสนองต่อยาที่มากกว่าปกติ เช่น การให้ยานอนหลับในผู้ป่วยบางคนจะไม่หลับ ในขณะที่ผู้ป่วยบางคนหลับได้นานกว่าปกติ
Tachyphylaxis
การดื้อยาที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วเมื่อได้รับยาเพียง 2-3 ครั้ง
Hyporeactivity
การตอบสนองต่อยาที่น้อยกว่าปกติ ทำให้ไม่เกิดฤทธิ์รักษา
Placebo effect
ฤทธิ์หลอก
idiosyncrasy
การตอบสนองที่แตกต่างจากปกติที่ไม่พบเกิดในคนส่วนใหญ่ มักจะเกิดจากความ แตกต่างทางพันธุกรรมในการเปลี่ยนแปลงยา
สาเหตุการตอบสนองต่อยา
มีความแตกต่างกันในความเข้มข้นของ endogenous receptor ligands
มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหรือการทำงานของ receptor
มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาณยาที่จะไปถึง receptor ซึ่งจะขึ้นกับ pharmacokinetic ของยาเพศอายุน้ำหนักภาวะความเจ็บป่วยรวมถึงการทำงานของตับและไต
มีการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของอวัยวะที่เกิดการตอบสนองจากการกระตุ้น receptor
ระดับความปลอดภัยของยา (Therapeutic index; TT)
การหาระดับความปลอดภัยของยามักจะทำการทดลองผ่านสัตว์ทดลองเช่นหนูแรทหรือหนูเมาส์ระดับความปลอดภัยของยาเป็นสัดส่วนของขนาดยาที่ทำให้หนูตาย 50% ต่อขนาดยาที่ได้ผลในการรักษา 50%