Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การประเมินสัญญาณชีพ - Coggle Diagram

- - - - การนำความร้อน conduction
        
        ระบายความร้อโดยอาศัยสื่อร่างกายต้องสัมผัสโดยต้องกับสิ่งที่เย็นกว่า
      - การพาความร้อน Convection
        
        กระบายความร้อนโดยอาศัยตัวกลาง
      - การแผ่รังสี Radiation
        
        ส่งผ่านความร้อนในรูปแบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
      - การกระเหยเป็นไอ Evaporation
        
        ระบายความร้อนโดยการระเหยจากพื้นผิวของร่างกาย ความร้อนจะระบายออกมาโดยระเหยของน้ำเป็นไอ
    - - การลดกิจกรรมต่างๆ
      - พื้นผิวสามารถระบายความร้อน และเคลื่อนย้ายไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นได้
  - - - อุณภูมิจะมีการปลี่ยนแปลงตลอดวัน
      - จะมีอุณหภูมิต่ำที่สุดในช่วงที่นอน 04.00-06.00 น.
    - - เด็ก
        
        จะมีอุณหภูมิที่ไม่คงที่
        
        การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมมีผลต่ออุณภูมิร่างกาย
      - ผู้สูงอายุ
        
        มีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด
        
        มีสภาวะเสี่ยง Hypothermia
    - - พลังงานความร้อนจะผู้ผลิตออกมาจากการหดตัวและการคลายตัวขอกล้ามเนื้อ
    - - ความเครียดจะมีการไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาธิติก
    - - เพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิมากกว่าผู้ชาย
    - - สามรถเพิ่มหรอลดอุณภูมิของร่างกายได้ ถ้าร่างกายสัมผัสอุณห๓ภูมิแวดล้อมเย็น หรือร้อนเป็นเวลานานๆ
    - - การรับประทานเครื่องงดื่มร้อนหรือเย็น สามารถทำให้อุณหภูมิในช่องปากเปลี่ยนแปลงได้
    - - ร่างกายผลิตทอกซินและกรตุ้นให้ปล่อยสารไพโรเจนออกมา
  - - - ปรอทวัดไข้ชนิดอมในปาก
        
        แท่งแก้วบรรจุปรอท Mercurial temperature
        
        ปรอทดิจิทัลบอกค่าตัวเลข
      - วางกระเปาะปรอทไว้ใต้ลิ้นข้างใต้ข้างหนึ่งของลิ้นปิดปากให้สนิทนาน 2-3 นาที
    - - กรณีที่ไม่สามารถวัดค่าอุณหภูมิทางปากและทวารหนักได้
      - ค่าอุณหภูมิวัดทางรกแร้จะต่ำกว่าค่าอุณหภูมิทางปาก 0.5-1องศาเซลเซียส
    - - มักใช้ในเด็กที่ไม่สามารถอมปรอทได้
      - ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว
      - สอดปรอทเข้าไปรูทวารหนักลึกประมาณ 0.5-1นิ้ว ทิ้งไว้ 1-2 นาที
      - ค่าที่วัดได้จะสูงกว่าอุณหภูมิที่วัดทางปาก 0.6 องศาเซลเซียม
    - - การวัดทางหู
        
        อุณหภูมิแกนกลางของร่างกาย
        
        อ่านค่าได้รวดเร็วภายใน 2-5นาที
      - การวัดทางผิวหนัง
        
        ใช้เทอร์โมมิเตอร์ แบบอิเล็กทรอนิกส์สัมผัสบริเวณ หน้าผา ซอกคอ หลังใบหู
    - - ล้างมือให้สะอาด
      - บอกให้ผู้ป่วยทราบ
      - ตรวจสอบการทำงานของปรอท โดยจับปรอทในระดับสายตาแนวนอน
      - จัดท่าของผู้ป่วย
      - วัดอุณหภูมิร่างกาย
      - เอาเทอร์โมมิเตอร์ออก เช็ดด้วยกระดาษทิชชูจากบนลงปลายด้วยวิธีการหมุน
      - อ่านค่าอุณหภูมิที่ได้
      - บันทึกลงกระดาษที่เตรียมไว้
      - นำอุปกรณ์ไปล้างให้สะอาดและเก็บเข้าที่
  - - - ระยะเริ่มต้น
        
        อัตราการเต้นของชีพจรและการหายใจเพิ่มขึ้น
        
        หนาวสั่น
        
        ซีด
        
        ผิวหนังเย็น
        
        เหงื่อออกน้อย
      - ระยะไข้
        
        เบื่ออาหาร
        
        หน้าแดง
        
        รู้สึกร้อนๆหนาวๆ
        
        กระสับกระส่าย
      - ระยะสิ้นสุดไข้
        
        มีเหงื่อออก
        
        หนาวสั่นลดลง
        
        เกิดภาวะขาดน้ำ
    - - มีอุณหภูมิต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส
      - การผลิตความร้อนไม่สมดุลกับการสุญเสียความร้อน
      - ผู้ป่วยอาจมีการหนาวสั่นร่วมด้วย
- - - - ความดันโลหิต
      - การหายใจ
      - ชีพจร
      - อุณหภูมิ
  - - - อายุ
      - เพศ
    - - อุณหภูมิ 36.5-37.5 องศาเซลเซียส
      - ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที
      - หายใจ 12-20 ครั้ง/นาที
      - ความดันโลหิต
        
        Systolic 90-140 mmHg
        
        Diastolic 60-90 mmHg
- - - - การหดและขยายตัวของผนังหลอดเลือด เกิดจากการบีบตัวหัวใจห้องล่างซ้าย
    - - อายุ
        
        อายุเพิ่มขึ้นอัตราการเต้นชีพจรจะลดลง
      - เพศ
        
        หญิงจะเร็วกว่าชายเล็กน้อย
      - การออกกำลังกาย
        
        กล้ามเนื้อต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น
      - ภาวะไข้
        
        อัคตราการเต้นจะเพิ่มขึ้น เพื่อปรับตัวให้เข้ากับความดันเลือดที่ต่ำลง
      - ยา
        
        ยาบางชนิดลดอัตราการเต้นของชีพจร
      - อารมณ์
        
        ระบบประสาทซิมพาเทติกทำให้หัวใจบีบตัวเร็วขึ้น
      - ท่าทาง
        
        ท่ายืนหรือนั่ง ชีพจรจะเต้นเร็ว แต่ถ้านอน ชีพจรจะเต้นช้าลง
      - ภาวะเสียเลือด
        
        การเสียเลือดจะไปกระตุ้นประสาทซิมพาธิติค
  - - - ปกติจะมีอัตราการเต้น 60-100 ครั้งต่อนาที
      - ถ้าเต้นมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที เรียกว่า Tachycardia
      - ถ้าเต้นน้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที เรียกว่า Bradycardia
    - - จังหวะของชีพจรปกติ
        
        จะมีช่วงพักระหว่างจังหวะเท่ากัน
      - จังหวะของชีพจรที่ผิดปกติ
        
        จะมีการเต้นไม่เป้นังหวะแต่ละช่วงพักไม่สม่ำเสมอ
    - - ความแรงของชีพจรขึ้นอยู่กับปริมาตรของเลือดในการกระทบผนังของหลอดเลือด
    - - ผู้สูงอายุจะมีความยืดหยุนน้อยขรุขระ ไม่สม่ำเสมอ
- - - - การสูดเอาอากาศเข้าไปในถุงลมของปอด
      - การไล่อากาศออกจากปอด
  - - - Tachypena หายใจมากกว่า 24 ครั้งต่อนาที
      - Bradypnea หายใจน้อยกว่า 10 ครั้งต่อนาที
      - Apnea การหยุดหายใจ
    - - Hypoventillation การหายใจช้าและตื้น
      - Hyperventillation การหายใจเร็วและลึก
    - - Cheyne stokes การหายใจช่วงๆ ไม่สม่ำเสมอ
      - Biot การหายใจปกติสลับกับหารหายใจเร็วลึก
    - - Dyspena อาการการหายใจลำบาก
      - Orthopea อาการการหายใจลำบากในท่านอนราบจะหายใจได้เมื่อลุกขึ้นนั่ง
      - Paroxysal nocturnal dyspnea อาการหายใจลำบากในตอนกลางคืนเกิดอาการหายใจหอบรุนแรงจนต้องลุกนั่งหายใจเข้าลึกๆ
      - paroxysmal dyspnea อาการหอบอย่างรุนแรง ต้องลุกนั่ง ไอ มีเสมหะ
      - Air huger พยายามหายใจโดยใช้ทั้งทางจมูก และปากอย่างรุนแรง
    - - Stridor เสียงฟืด เกิดขึ้นเมื่อขระหายใจเข้า
      - Wheeze เป็นเสียงวีีดได้ยินขณะหายใจออก
- - - - เพศ
        
        จะพบในผู้ชายมากกว่าในช่วงวัยเดียวกัน
      - รูปร่าง
        
        คนอ้วนมักจะมีความดันโลหิตสูง
      - ยา
        
        ยาที่มีผลต่อหลอดเลือด
  - - - วิธีการใส่สายสวนเข้าไปใน Suoerior vena cava
    - - วิธีการฟัง
      - วิธีการคลำ
  - - - Systolic สูงกว่า 140 mmHg Diastolic สูงกว่า 90 mmHg
      - ปวดหัว ตาพร่า อาเจียน ชัก หมดสติ
    - - Systolic ต่ำกว่า 90 mmHg Diastolic ต่ำกว่า ุ60 mmHg
      - อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย หน้าซีด
    - - ความดันโลหิตตกในท่ายืน การเปลี่ยนจากท่านอนราบเป็นท่ายืนทันที