Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลสุขภาพแบบข้ามวัฒนธรรม - Coggle Diagram
การดูแลสุขภาพแบบข้ามวัฒนธรรม
ความหมายของวัฒนธรรม
ความหมาย
คือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเป็นเครื่องเพื่อช่วยในการดำรงชีววิตอยู่ต่อไปได้ในสังคม(culture)
พื้นฐานที่สำคัญของวัฒนธรรมมี 6 ประการ
3.วัฒนธรรมมีพื้นฐานมาจากการใช้สัญลักษณ์(Symbol) เช่น เงินตรา
สัญญาณจารจร และภาษา
4.วัฒนธรรมเป็นองค์รวมของความรู้และภูมิปัญญา เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์
2.วัมนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้(Culture is learned)ซึ่งเรียนรู้ทีละเล้กละน้อยจนกลายเป็น "มรดกโลก"
5.วัฒนธรรมคือกระบวนการที่มนุษย์นิยามความหมายให้กับชีวิตและสิ่งต่างๆ
1.วัฒนธรรมเป็นความคิดร่วม(shared ideas)ค่านิยมทางสังคมเป็นตัวกำหนด
6.วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
วัฒนธรรมแบ่งเป็น 2 ประเภท
1.วัฒนธรรมทางวัตถุ(material culture)คือสิ่งของหรือวัตถุเกิดจากความคิดที่สร้างขึ้น เช่น ถ้วย จาน ชาม ช้อน
2.วัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ(non-material culture)วัฒนธรรมที่แสดงออกได้โดยทัศนะ ประเพณี เช่น ความเชื่อ ความคิด ภาษา กำหมาย เป็นต้น
องค์ประกอบของวัฒนธรรมมี 4 ประการ
2.องค์การหรือสมาคม(Organization หรือ Association)การจัดระเบียบมีแบบแผนหรือกฏข้อบังคับ เช่นสถาบันสังคมต่างๆ สหภาพ สมาคม ชมรม บริษัท เป็นต้น
3.องค์พิธีหรือพิธีการ(Usage หรือ Ceremony) มนุษย์ได้สร้างขึ้นตั้งแต่การเริ่มต้นของชีวิต พิธีรับขวัญเด็ก พิธีบาชนาค พิธีแต่งงาน การแต่งกาย รวมถึงพิธีการที่สังความกำหนด
1.องค์วัตถุ(Material) เป็นทั้งเครื่องมือและสัญลักษณ์(Instrumental And Symbolic) เช่นเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ภาพเขียน สิ่งก่อสร้าง
4.องค์มติหรือมโนทัศน์(Concepts) วัฒนธรรมในด้านความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ต่างๆ เช่น ความเชื่อในเรื่องบาปบุญ กฎแห่งกรรม เชื่อในพระเจ้า รวมทั้งอุดมการณ์ทางการเมือง
ความสำคัญของวัฒนธรรม
4.ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม
5.ทำให้มีพฤติกรรมเป้นแบบเดียวกัน
3.ทำให้มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันและให้ความร่วมมือกันได้
6.ทำให้เข้ากับคนอื่นในสังคมได้
2.การศึกษาวัฒนธรรมจะทำให้เข้าใจถึงความเป็นอยู่ ค่านิยมของสังคม เจตคติความคิดเห็นและความเชื่อถึอบุคคล
7.ทำให้มนุษยืมีสภาวะที่แตกต่างจากสัตว์
1.วัฒนธรรมเป็นเครื่องกำหนดความเจริญหรือความเสื่อมของสังคม และยังเป็นเครื่องกำหนดชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม
วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพและการแสวงหาการรักษาประชาชนในภูมิภาคต่างๆของโลก
แนวคิดเกี่ยวกับวัมนธรรมกับการดูแลสุขภาพ
-ป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยหรือพิการ
-ดุแลรักษาสุขภาพเมื่ออยู่ในภาวะเจ็บป่วยเป็นโรค
-ส่งเสริมสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
-ฟื้นฟูสุขภาพให้เข้าสู่ภาวะปกติ
ประเภทวัฒธรรมกับการดูแลสุขภาพ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ
1.วัฒนะรรมในการดูแลสุขภาพในสภาวะปกติ
-วัฒนธรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ เช่นการกินอาหาร การออกกำลังกาย การเข้าวัด
-วัฒนธรรมเกี่ยวกับการป้องกันโรค เช่น การบริโภคอาหารปรุงสุกิการรับวัคซีนภูมิคุ้มกันโรค
2.วัฒนะรรมการดูแลสุขภาพในสภาวะเจ็บป่วย
-วัฒนธรรมเกี่ยวกับการรักาาโรค ได้แก่ ระบบการดูแลสุขภาพภาคประชาชน แบบพื้นบ้าน และแบบวิชาชีพ
-วัฒนธรรมเกี่ยวกับการฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่น การงดบริโภคอาหารแสลง การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง
ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมกับการดูแลสุขภาพ
-การมีทักษะเกี่ยวกับวัฒนธรรม(cultural skill) คือความสามารถของบุคคลากรในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับประวัติและปัญหาของผู้รับบริการ
-การมีองค์ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม(cultural knowledge) คือ การแสวงหาความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับโลกทัศน์ของบุคคลที่ต่างวัฒนธรรม
-หากบุคคลากรทางสุขภาพ(พยาบาล)ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งในวัฒนธรรมตนเอง ก็มีโอกาสที่จะเกิดพฤติกรรมการบริการที่ไม่เหมาะสมกับผู้ใช้บริการต่างวัฒนธรรม
-องค์ความรู้เหล่านี้สามารถศึกษาได้จาก ศาสตร์ต่างๆ เช่น การบริการข้ามวัฒนธรรม จิตวิทยา ต่างวัฒนธรรมและสังคมวิทยา
-การตระหนักรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม(Cultural awareness) กระบวนการรู้คิดของบุคคลากรสุขภาพที่เล็งเห็นความสำคัญของการให้คุณค่า ความเชื่อ วิถีชีวิต พฤติกรรมและวิธีการแก้ไขปัญหา
-องค์ความรู้พื้นฐานทางวัฒนธรรมยังรวมไปถึงลักษณะเฉพาะ ทางด้านร่างกาย ชีววิทยา และสรีรวิทยาที่มีคสามแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มชาติพันธ์ุ
Encounter
-ความสามารถในการเผชิญและจัดการกับวัฒนธรรม การที่บุคคลากรมีความสามารถในการจัดบริการที่เหมาะสมสำหรับผู้บริการที่มีภูมืหลังวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
-การหาประสบการณืโดยเข้าไปอยู่ในสังคมที่ต่างวัฒนธรรม
Desire
-ความปราถนาที่จะมีสมรรถนะทางวัฒนธรรมดดยต้องการที่จะเข้าไปสู่กระบวนการพัฒนาสมรรถภาพทางวัฒนธรรม
-เป็นขั้นที่สูงที่สุดของสมรรถนะทางวัฒนธรรม
ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนะรรมกับการดูแลสุขภาพ สามารถแบ่งได้ตามประโยชน์และโทษ ดังนี้
2.ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่ได้ให้ประโยชน์ เช่น ห้ามหญิงมีครรภ์กินกล้วยแผด
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่แน่ว่าให้คุณหีือโทษ เช่น สังคมแอฟริกันให้เด็กกินดินหรือโคลน
1.ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น การให้ทารกกินนมแม่นานถึง 2 ปี หรือห้ามหญิงหลังคอดบริโภคน้ำดิบ
-ขนบะรรมเนียมประเพณีที่ให้โทษ เช่น การรับประทานอาหาร สุกๆดิบๆเป้นสาเหตุโรคพยาธิ โรคอุจจาระร่วง
แนวคิดแบ่งออกเป็น 3 ระบบคือ
2.ระบบการดุแลสุขภาพภาคพื้นบ้าน(Folk sector of care)
3.ระบบการดูแลสุขภาพภาคประชาชน (Popular health sector)
1.ระบบการดูแลสุขภาพภาควิชาชีพ (Professional health sector)
คุณค่า ความเชื่อ ค่านิยมทางสังคมที่มีผลต่อการ
ดำเนินชีวิต
ความหมาย
การยอมรับคำอธิบายเหตุการณ์หรือปรากฎการหนึ่งและถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนตกผลึกเป็นแบบแผนทางวัฒธรรมของสังคม
ประเภทของความเชื่อ
2.ความเชื่อขั้นพื้นฐานของบุคคล มี2ลักษณะ คือ เกิดจากประสบการณืตรงและเกิดจากการแลกเปลี่ยนพบปะสังสรรค์
3.ความเชื่อแบบประเพณี เรื่องเกี่ยวกับผีและอำนาจเหนือธรรมชาติ การบูชาพระธาตุและผีวีรบุรุษ
1.ความเชื่อในสิ่งปรากฎอยู่จริง เช่น เชื่อว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตะวันตก
4.ความเชื่อแบบเป็นทางการ เช่น ความเชื่อที่มีต่อหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาเรื่องการมีสติความไม่ประมาท
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อ
1.ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ได้แก่การรับรู้และการเรียนรู้
2.ปัจจัยทางสังคมและวัมนธรรม ได้แก่ การขัดเกลาทางสังคม การควบคุมทางสังคม
3.ปัจจัยทางด้านบุคคล ได้แก่ ศาสนา อายุ เพศ การศึกษา อาชีพ
ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรคและวิธีการดูแลสุขภาพ
3.ความเชื่อแบบการแพทย์แผนตะวันตกและการดูแลสุขภาพ เช่น การเจ็บป่วยเกิดจากเชื้อโรค กรรมพัธุ์ และพฤติกรรม
4.ความเชื่อและการดูแลสุขภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านสถานการณ์ชีวิต
4.1ความเชื่อและการดูแลสุขภาพกับการเกิดแบบพื้นบ้าน
-ระยะคลอดบุตร เชื่อว่าคลอดบุตรเป็นสิริมงคล ท่าทางในการคลอด และการดูแลสุขภาพในระยะคลอดบุตร
-ระยะหลังคลอด ความเชื่อเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผีเรื่องกรรม การดูแลสุขภาพ การอยู่ไฟ การประคบสมุนไพร การนวดหลังคลอด
-ระยะตั้งครรภ์ คนโบราณเชื่อว่าการตั้งครรภ์เกิดจากดวงดาวในระบบจักรวาน
4.2 ความเชื่อและการดุแลสุขภาพเกี่ยวกับการเกิดแบบแพทย์แผนตะวันตก
-ความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ภาวะที่ตัวอ่อนหรือทารกได้เกิดขึ้นภายในมดลูก
-การดุแลสุขภาพแบบการแพทย์แผนตะวันตกมีหลักการดูแลคล้ายคลึงกับแบบพื้นบ้าน คือมีระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด และระยะหลังคลอด
2.ความเชื่อแบบพื้นบ้านและวิธีการดูแลสุขภาพ เช่น เจ็บป่วยจากการขาดสมดุลธาตุ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ อาชีพการงาน อุบีติเหตุ
5.ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความชรา
5.1ความเชื่อเกี่ยวกับความชราและการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้าน
-ความเชื่อเกี่ยวกับความชรา เช่่น ภาวะหมดประจำเดือนในเพศหญิง ความเสื่อมสภาพในเพศชาย และความแปรปรวนของธาตุลม
-การดูแลสุขภาพวัยชราแบบพื้นบ้าน ได้แก่ การใช้สมุนไพร การดุแลด้านสุขภาพทางเพศ การดูแลสุขภาพโดยการพึ่งศาสนา
5.2 ความเชื่อเกี่ยวกับความชราและการดูแลสุขภาพแบบแพทยืแผนตะวันตก
-ความเชื่อเกี่ยวกับความชรา อายุตั้งแต่ 60 หรือ 65ปีขึ้นไปเป็นเกณฑ์เข้าสู่วัยชรา
-การดูแลสุขภาพวัยขราแบบการแพทย์แผนตะวันตก ได้แก่ การดุแลด้านดภชนาการ การดูแลด้านฮอร์โมน ด้านการออกกำลังกาย การพักผ่อนนอนหลับ ด้านอุบัติเหตุ ด้านจิตใจ
1.ความเชื่อแบบอำนาจเหนือธรรมชาติและวิธีการดูแลสุขภาพ เช่น เชื่อว่าที่เจ้บป่วยเกิดจากการกระทำของผี เกิดจากเวทมนต์และคุณไสย
6.ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความตาย
6.1การดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการตายแบบพื้นบ้าน
เชื่อเรื่องวิญญาณ กฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิดและชาติภพ
การดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการตายแบบพื้นบ้าน มุ่งเน้นการตอบสนองทางด้านจิตวิญญาณของผู้ตายและเครือญาติ
6.2การดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการตายแบบแพทย์แผนตะวันตก
พิจารณาการหยุดเต้นของหัวใจและแกนสมอง
มุ่งเน้นระบบอวัยวะต่างๆการยื้อชีวิตผู้ป่วยให้นานที่สุดและการใช้เครื่องมือทางการแพทย์
ค่านิยมทางสังคม
3.สถาบันศาสนา มีส่วนช่วยในการปลูกฝังค่านิยมและศีลธรรมอันถูกต้องได้เป็นอย่างดี
4.สังคมวัยรุ่นและกลุ่มเพื่อน การเรียนรู้และยอมรับค่านิยมจากกิจกรรมที่ทำร่วมกัน
2.โรงเรียน เป็นสถาบันที่มีส่วนในการสร้างค่านิยมอันถูกต้องให้เด็กเป็นอย่างมากในการสั่งสอนเด็ก ความคิด ความเชื่อ
5.สื่อมวลชน ปัจจุบันเราได้รับความรู้และความคิดจากสื่อมวลชนบุคคลก็ยอมรับเอาความรู้บางครั้งยึดถือเป็นค่านิยม เช่น ค่านิยมการแต่งกายตามสมัยนิยม
1.ครอบครัว อบรมสั่งสอนพฤติกรรมสังคมให้แก่คนตั้งแต่เกิดจนโต
6.องค์การของรัฐบาล รัฐย่อมมีการปลูกฝังค่านิยมและศีลธรรมให้แก่สังคม