Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่1 ความรู้พื้นฐานและหลักทั่วไปทางเภสัชวิทยา - Coggle Diagram
บทที่1 ความรู้พื้นฐานและหลักทั่วไปทางเภสัชวิทยา
1) ความรู้พื้นฐานทางเภสัชวิทยา
1.2) เภสัชวิทยาและเภสัชกรรม
เภสัชวิทยา : วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของยาและฤทธิ์หรือผลต่างๆของยาที่มีต่อร่างกาย รวมทั้งผลที่ร่างกายกระทำต่อยาด้วย
เภสัชกรรม : วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการเตรียมยา ผสมยาและจ่ายยาเพื่อรักษา
1.1) ความหมายของยา
2.วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการวิจัย บำบัด บรรเทา รักษาโรค ป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วยของคนและสัตว์
3.วัตถุที่เป็นเภสัชเคมีภัณฑ์ หรือเภสัชเคมีภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูป
1.วัตถุที่รับรองไว้ในตำรายาที่รัฐมนตรีประกาศ
4.วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับให้เกิดผลแก่สุขภาพ โครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ใดๆของร่างกายของคนและสัตว์
1.4) ประเภทของยา
1.ยารักษาโรคปัจจุบัน
1 ยาแผนปัจจุบัน ใช้ในการประกอบวิชาชีพเวรกรรม โรคศิลปะแผนปัจจุบัน หรือการบำบัดสัตว์
2 ยาแผนโบราณ ใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณหรือบำบัดโรคสัตว์
3 ยาอันตราย
4 ยาควบคุมพิเศษ
5 ยาใช้ภายนอก
6 ยาใช้เฉพาะที่
7 ยาสามัญประจำบ้าน
8 ยาบรรลุเสร็จ
9 ยาสมุนไพร
2.แบ่งตามเภสัชตำรับ
1.ตำแหน่งการออกฤทธิ์ทางกายวิภาค
2.ประโยชน์ในการรักษา
3.กลไกการออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
4.แหล่งที่มาของยา หรือคุณสมบัติทางเคมี
1.5) แหล่งกำเนิดยา
1.จากธรรมชาติ
จากสัตว์ โดยสกัดจากอวัยวะบางส่วนของสัตว์เช่น ตับอ่อนของวัวสกัดมาทำอินซูลิน
จากแร่ธาตุ เช่นไอโอดีน ทองแดง น้ำมันเกลือแร่
จากพืช ได้จากส่วนต่างๆของพืชโดยตรง เรียกว่าสมุนไพร
2.จากการสังเคราะห์ : โดยอาศัยปฏิกิริยาทางเคมีในห้องปฏิบัติการเช่น เกลือของเหล็กใช้บำรุงโลหิต
1.6) การเรียกชื่อยา
2.เรียกชื่อสามัญทางยาหรือชื่อตัวยา ยาที่มีฤทธิ์เหมือนกัน
3.เรียกชื่อตามการค้า ชื่อบริษัทผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายยา
1.เรียกชื่อตามสูตรเคมี เรียกตามส่วนประกอบทางเคมีของยา
1.3) ความสำคัญของเภสัชวิทยาต่อวิชาชีพพยาบาล : การให้ยาเป็นหน้าที่สำคัญของพยาบาล พยาบาลต้องมีคุณธรรมโดยการตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อให้เกิดผลที่พึงประสงค์แก่ผู้ป่วย
1.7) เภสัชภัณฑ์หรือยาเตรียม
2.ประเภทของเหลว
2.1 ยาน้ำสารละลาย
2.1.1 ยาน้ำสารละลายที่ตัวทำละลายเป็นน้ำ เช่นน้ำปรุง ยาน้ำใส ยาน้ำเชื่อม
2.1.2 ยาน้ำสารละลายที่ตัวทำละลายไม่ใช่น้ำ เช่น ยาอิลิกเซอร์ ยาสปริริต
2.2 ยาน้ำกระจายตัว ยาน้ำแขวนตะกอน ยาน้ำชนิดนี้มักมีสารช่วยในการทำให้ยาแขวนตะกอนอยู่ด้วย เช่น เจล โลชั่น
3.รูปแบบประเภทกึ่งแข็ง เช่น ขี้ผึ้ง ครีม
รูปแบบที่เป็นของแข็ง
1.3 ยาอมใต้ลิ้น
1.4 ยาเม็ดสำหรับเคี้ยว
1.2 ยาเม็ด
1.5 ยาอม
1.1 ยาแคปซูล
1.6 ยาผงเดือดฟู่
1.7 ยาผง
1.8 ยาเหน็บ
4.ประเภทอื่นๆเช่น ยาฉีด ยาทาผิวหนัง ยาพ่นฝอย ยาดม
ข้อดี ข้อเสีย ของการให้ยาเภสัชภัณฑ์ในวิถีทางต่างๆ
3.ยาชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ไม่นิยมใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่เทสการแพ้
4.ยาชนิดฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อ ข้อดี:ยาถูกดูดซึมได้เร็ว ข้อเสีย:แก้พิษยาก
2.ยาชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ข้อดี:ออกฤทธิ์เร็ว ข้อเสีย:แก้พิษยาก
5.ยาพ่นฝอย ยาแอโรซอล สูดดม และยาหยอดจมูก หยอดหู ข้อดี:ยาออกฤทธิ์ สามารถให้ยาด้วยตัวเองได้ ข้อเสีย:ปริมาณยาที่ได้ไม่แน่นอน
1.ยาชนิดรับประทาน ข้อดี:สะดวก ปลอดภัย แก้พิษได้ทัน ข้อเสีย:ออกฤทธิ์ช้า
6.ยาอมใต้ลิ้น ข้อดี:ยาถูกดูดซึมได้เร็วโดยไม่ผ่านตับ ข้อเสีย:ใช้เวลานาน ไม่สะดวกในการพูด
7.ยาเหน็บ เหมาะกับเด็กหรือผู้ที่รับประทานยายาก ข้อเสีย:ไม่สดวกต่อการใช้งาน ราคาแพง
2) หลักทั่วไปทางเภสัชวิทยา
2.1 เภสัชจลนศาสตร์
2.1.2 การกระจายตัวของยา
3.การจับตัวของยากับโปรตีนในพลาสม่า ยาตัวไหนจับกับโปรตีนพลาสม่าได้น้อย จะกระจายตัวได้สูงทำให้การออกฤทธิ์ได้ดี ยาตัวไหนจับกับพลาสม่าโปรตีนได้มาก จะกระจายตัวช้าทำให้การออกฤทธิ์ได้ไม่ดี
4.ความสามารถในการผ่านเข้าสมองและรก
2.คุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของยาแต่ละชนิด
5.การสะสมของยาที่ส่วนอื่น
1.ปริมาณการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะนั้นๆ
2.1.3 การแปรสภาพยาหรือการเปลี่ยนแปลงยา มีตับเป็นอวัยวะสำคัญที่เกิดการแปรสภาพยา
2.1.3.1 เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงยา
flavoprotein เป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการแปรสภาพยา
ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลง
Phase I reaction เอนไซม์จะเปลี่ยนโครงสร้างทางเคมีของยา ทำให้ยาเป็นpolar metabolite มากขึ้นและขับออกจากร่างกายหรือเข้าสู่phase II
Phase II reaction ถูกทำให้ละลายน้ำได้ดีขึ้นโดยรวมตัวกับ Endogenous compound ในตับ
2.1.3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อ drug metabolism
1.พันธุกรรม
2.สิ่งแวดล้อม
3.อายุ
2.1.3.3 ปฏิกิริยาระหว่างยาในระหว่างการเกิดMetabolism
1.ยาบางชนิดมีคุณสมบัติเหนี่ยวนำเอนไซม์ คือยาบางสามารถเพิ่มการสังเคราะห์ enzyme cytochrome P450-dependent drugs-oxidizing ในตับได้ ถ้าใช้ร่วมกับยาตัวอื่นจะทำให้ประสิทธิภาพของยาตัวอื่นลดลง เช่น phenyltoin
2.ในขณะที่ยาบางชนิดมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ คือยาที่สามารถลดหรือยับยั้งการทำงานของ enzyme cytochrome P450 ในตับได้
ปฏิกิริยาระหว่างยากับสาร : ยาตัวไหนให้เยอะยาตัวนั้นก็จะจับได้เยอะ
2.1.1 การดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย
ปัจจัยที่มีผลต่อการดูดซึมยา
ปัจจัยเกี่ยวกับตัวยา
ขนาดโมเลกุลของยา
วิธีการผลิตยา
ขนาดยาที่ให้
คุณสมบัติในการละลายในไขมัน ยิ่งละลายในไขมันได้ดียิ่งดูดซึมได้ดี
ปัจจัยเกี่ยวกับผู้ป่วย
2.พยาธิสภาพของร่างกาย
3.สภาวะทางสรีรวิทยาและอารมณ์ของผู้รับยา
1.วิธีการบริหารยา
การให้ยาผ่านทางเดินอาหาร
ยาที่มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อน เช่น แอสไพริน จะถูกดูดซึมได้ดีใน Medium ที่เป็นกรด
ยาที่มีคุณสมบัติเป็นด่างอ่อน เช่น มอร์ฟีน จะถูกดูดซึมได้ดีใน Medium ที่เป็นด่าง
ข้อเสีย เกิด First pass effect คือ การเกิดการทำลายยาที่ตับอ่อนครั้งแรกเมื่อยาผ่าน portal vein เข้าสู่ตับและถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับก่อนเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปยังบริเวณหรือเซลล์ที่ออกฤทธิ์ ส่งผลให้ระดับของยาในเลือดลดลงอาจไม่ถึงระดับรักษาส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง
การให้ยาดูดซึมผ่านหลอดเลือดฝอยบริเวณใต้ลิ้น
การให้ยาดูดซึมผ่านทางระบบหายใจ
การให้ยาโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ความเร็วในการดูดซึม iV>iM>SC
การให้ยาเหน็บทวารหนักหรือช่องคลอด
ยาเหน็บออกฤทธิ์เฉพาะที่
ยาเหน็บชนิดที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย
4.การได้รับอาหารหรือยาชนิดอื่นร่วมด้วย
Bioavailability หมายถึง การดูดซึมยา ปริมาณยาที่ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดโดยไม่เปลี่ยนแปลง
2.1.4 การขับถ่ายยา
อวัยวะหลักในการกำจัดคือ ไต ซึ่งสารที่เป็นpolar compound จะถูกกำจัดออกได้ดีกว่าสารที่มีhigh lipid solubility ดังนั้นจึงเห็นว่ายาที่เป็นlipid soluble จะถูกเปลี่ยนแปลงให้ได้เป็นสารpolar compoundก่อนจึงจะถูกขับออกมาได้
การออกฤทธิ์ของยาทางเภสัชพลศาสตร์
1.เภสัชพลศาสตร์ (Pharmacodynamic)
1.1 การจับของยากับreceptor
1.2 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขนาดยาที่ใช้กับการตอบสนองที่เกิดขึ้นในร่างกาย
2.กลไกการออกฤทธิ์ของยาเภสัชพลศาสตร์
2.1 ออกฤทธิ์โดยไม่จับกับreceptor
Chemical action เช่น ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
Physical action เช่นยาระบาย ยาลดการดูดซึมในกระเพาะอาหาร
2.2 ออกฤทธิ์โดยจับกับ receptor
1.ตัวรับ (Receptor) มีคุณสมบัติที่จะจดจำและจับกับสารที่มีลักษณะโครงสร้างจำเพาะเจาะจงแล้วทำให้การทำงานของเซลล์นั้นๆเปลี่ยนแปลง
2.Agonist หมายถึง ยาที่จับกับreceptorแล้วสามารถทำให้เกิดฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
3.Antagonist หมายถึง ยาที่จับกับreceptorแล้วสามารถลดหรือบดบังฤทธิ์ของagonistในการจับกับreceptor จับแล้วไม่ออกฤทธิ์
4.Partial agonist หมายถึงยาที่จับกับreceptorแล้วออกฤทธิ์เพียงบางส่วน
คำสำคัญทางเภสัชจลนศาสตร์
4.Duration of action ระยะเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์ที่ต้องการจนถึงหมดฤทธิ์ที่ต้องการ
5.Affinity หมายถึง ความสามารถของยาในการเข้าจับกับreceptor จับแล้วออกฤทธิ์
3.Onset ระยะเวลาที่เริ่มให้ยาจนถึงยาเริ่มออกฤทธิ์ที่ต้องการ
6.Efficacy หมายถึง ความสามารถของยาที่ทำให้เกิดฤทธิ์สูงสุด ซึ่ง Maximum effect ของยา
7.Potency หมายถึง ความแรงของยา
2.Loading dose ขนาดยาที่ให้ครั้งแรกเพื่อให้ถึงระดับยาที่ต้องการในพลาสมา ให้ยาครั้งแรกแล้วเห็นผลในการรักษาเลย
1.ค่าครึ่งชีวิต (Half life) คือเวลาที่ใช้ในการทำให้ยาหรือความเข้มข้นของยาลดลงเหลือ 50% จากความเข้มข้นแรก
ระดับความปลอดภัยของยา
ยาที่มีค่า Therapeutic index ต่ำจะมีความปลอดภัยต่ำเช่น litium
ยาที่มีค่า Therapeutic index สูงจะมีความปลอดภัยสูง
การแปรผันของการตอบสนองต่อยา
4.Hypersensitivity หรือ Allergic reaction การแพ้ยาจากร่างกายมีAntibody ที่ต่อต้านต่อโครงสร้างทางโมเลกุลของยา
5.Tolerance การดื้อหรือทนฤทธิ์ของยา
3.Hyperactivity การตอบสนองต่อยาที่มากกว่าปกติ
6.Tachyphylaxis การดื้อยาที่เกิดขึ้นได้รวดเร็วเมื่อได้รับยาเพียง 2-3 ครั้ง
2.Hyporeactivity การตอบสนองต่อยาที่น้อยกว่าปกติ ทำให้ไม่เกิดฤทธิ์รักษา
7.Placebo effect ฤทธิ์หลอก
1.Idiosyncrasy การตอบสนองที่แตกต่างจากปกติที่ไม่พบเกิดในคนส่วนใหญ่