Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ…
การพยาบาลแบบองค์รวมในทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและปัญหาสุขภาพ (การบาดเจ็บจากการคลอด Birth Injury)
การบาดเจ็บที่ศีรษะทารก (Skull injuries)
ภาวะก้อนบวมน้ำใต้หนังศีรษะ
ความหมาย
ภาวะก้อนบวมน้ำใต้หนังศีรษะ (caput succedaneum) เกิดจากการคั่งของของเหลวในระหว่างชั้นของหนังศีรษะกับชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ ก้อนบวมโนนี้จะข้ามรอยต่อ(suture) ของกระดูกกะโหลกศีรษะ มีขอบเขตไม่แน่นอน
สาเหตุ
เกิดจากแรงดันที่กดลงบนศีรษะทารกระหว่างการคลอดท่าศีรษะ ทำให้มีของเหลวไหลซึม ออกมานอกหลอดเลือดในชั้นใต้เยื่อหุ้มหนังศีรษะ หรือมีสาเหตุมาจาการใช้เครื่องดูดสุญญากาศช่วยคลอด (vacuum extraction)
การวินิจฉัย
จากการประเมินสภาพร่างกายทารกแรกเกิด โดยการคลำศีรษะทารก จะพบก้อนบวมโน มีลักษณะนุ่ม กดบุ๋ม ขอบเขตไม่ชัดเจน ข้ามแนวรอยต่อของกระดูกกะโหลกศีรษะและพบทันทีภายหลังคลอด
อาการและอาการแสดง
สังเกตพบได้ด้านข้างของศีรษะ ลักษณะการบวมของก้อนโนนี้จะมี
ความกว้างและมีขนาดโตประมาณไข่ห่าน ทำให้ศีรษะมีความยาวมากกว่าปกติ
แนวทางการรักษา
ไม่จำเป็นต้องรักษาแบบเฉพาะทาง
หายไปได้เองภายหลังคลอดประมาณ 2 -3 วันหลังคลอด
ถ้าเกิดจากการคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศจะหายได้ช้ากว่าเกิดจากการคลอดปกติ
การประเมินสภาพ
การตรวจร่างกาย
ประเมินลักษณะก้อนบวมน้ำที่ใต้ศีรษะทารก
การซักประวัติ
มารดามีประวัติคลอดยาก เบ่งคลอดนานหรือเบ่งคลอดก่อนปากมดลูกเปิดหมด มีประวัติการได้รับการช่วยคลอดโดยเครื่องดูดสุญญากาศ
บทบาทการพยาบาล
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทของทารก
อธิบายให้มารดาและบิดาเข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นเพื่อคลายความวิตกกังวล
สังเกตลักษณะ ขนาด การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ของก้อนบวมโนที่ศีรษะ
บันทึกอาการและการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มารดาและบิดาวิตกกังวลเกี่ยวกับก้อนบวมน้ำที่ใต้ศีรษะทารก
ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
ความหมาย
ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ (cephalhematoma) หรือบางทีเรียกว่าก้อนโนเลือดที่ศีรษะ เป็นการคั่งของเลือดบริเวณใต้เยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ มีขอบเขตชัดเจน เนื่องจาก ภาวะนี้จะเกิดบนกระดูกกะโหลกศีรษะเพียงชิ้นเดียวหรือเพียงชิ้นใดชิ้นหนึ่งเท่านั้น และไม่ข้ามรอยต่อของกระดูกกะโหลกศีรษะ พบมากที่กระดูก parietal แต่อาจพบที่กระดูกท้ายทอยหรือแม้แต่บนกระดูกหน้าผากก็ได้
สาเหตุ
เกิดจากมารดามีระยะเวลาการคลอดยาวนาน ศีรษะทารกถูกกดจากช่องทางคลอดหรือ การใช้เครื่องดูดสูญญากาศช่วยคลอด เป็นผลทำให้หลอดเลือดฝอยบริเวณเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะของทารกฉีกขาด เลือดจึงซึมออกมานอกหลอดเลือดใต้ชั้นเยื่อหุ้มกระดูกกะโหลกศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อน
ในรายที่มีอาการรุนแรง ก้อนโนเลือดมีขนาดใหญ่ จะเกิดภาวะระดับบิลลิรูบิน ในเลือดสูง (hyperbilirubinemia) ภายหลังเกิดหรืออาจเกิดการติดเชื้อจากการดูดเลือดออกจากก้อนโนเลือดในกรณีมีแผนการรักษา
การวินิจฉัย
จากการซักประวัติการเบ่งคลอดนานหรือการช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ และจากการตรวจร่างกายทารกพบบริเวณศีรษะมีก้อนบวมโนบนกระดูกกะโหลกศีรษะชิ้นใดชิ้นหนึ่ง มีลักษณะแข็งหรือค่อนข้างตึง คลำขอบเขตได้ชัดเจน เมื่อใช้นิ้วกดจะไม่เป็นรอยบุ๋ม
อาการและอาการแสดง
อาการของภาวะก้อนโนเลือดที่ศีรษะ จะปรากฏให้เห็นชัดเจนหลัง 24
ชั่วโมงไปแล้ว
กเลือดจะค่อย ๆ ซึมออกมานอกหลอดเลือด ลักษณะการบวมจะมีขอบเขตชัดเจนบนก้อนโนเลือดมีสีผิดปกติ คือ เป็นสีดำหรือน้ำเงินคล้ำ เนื่องจากการแข็งตัวของเลือด และอาจพบว่าทารกมี
ภาวะซีดได้จากการสูญเสียเลือดมาก
แนวทางการรักษา
ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก้อนโนเลือดจะค่อยๆหายไปเองได้ แต่อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน โดยปกติจะค่อยๆหายเองภายใน 2 เดือน แต่ถ้ามีภาวะตัวเหลืองร่วมด้วยและมีระดับบิลลิรูบินในเลือดสูงจำเป็นต้องได้รับการส่องไฟ (phototherapy) หรือในรายที่ก้อนเลือดขนาดใหญ่
อาจรักษาโดยการดูดเลือดออก
การประเมินสภาพ
การซักประวัต
ส่วนใหญ่ได้ประวัติว่ามารดาเบ่งคลอดนานหรือเบ่งคลอดก่อนปากมดลูก
เปิดหมด มีประวัติการได้รับการช่วยคลอดโดยเครื่องดูดสุญญากาศ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ทารกได้รับกรณีมีแผนการรักษา เช่น ระดับความเข้มข้นของเลือด การตรวจหาระดับบิลลิรูบิน เป็นต้น
การตรวจร่างกาย
ประเมินลักษณะก้อนโนเลือดที่กระดูกชิ้นใดชิ้นหนึ่ง ภายหลังเกิดหลาย
ชั่วโมงอาจพบก้อนโตขึ้น ต่อมาอาจพบภาวะตัวและตาเหลืองร่วมด้วย
บทบาทการพยาบาล
สังเกต ลักษณะ ขนาด และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เกี่ยวกับภาวะเลือดออกในสมอง
ให้ทารกนอนตะแคงด้านตรงข้ามกับก้อนโนเลือด เพื่อป้องกันการกดทับที่จะกระตุ้นให้เลือดออกมากขึ้น
สังเกตอาการซีด การเจาะหาค่า Hct และดูแลให้เลือดตามแผนการรักษาของแพทย์
ดูแลเกี่ยวกับการหาค่า microbilirubin ถ้ามีภาวะตัวเหลือง ให้การพยาบาลทารกที่ได้รับการส่องไฟตามแผนการรักษาของแพทย์
อธิบายมารดาและบิดาให้เข้าใจถึงอาการที่เกิดขึ้นของทารกเพื่อลดความวิตกกังวล และแนะนำไม่ใช้ใช้ยาทา ยานวด ประคบหรือเจาะเอาเลือดออกเอง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ทารกมีโอกาสติดเชื้อที่บริเวณผิวหนังรอบๆบริเวณที่มีภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
มารดาและบิดาวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ
ทารกเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตัวเหลืองเนื่องจากมีภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะที่เกิดจากการคลอด
ภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ
ความหมาย
ภาวะเลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ (intracranial hemorrhage) เป็นภาวะที่เลือดออกภายในกะโหลกศีรษะ อาจเกิดขึ้นที่ตำแหน่งเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นดูรา (epidural) ใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นดูรา (subdural) ใต้เยื้อหุ้มสมองชั้นอะแรคนอยด์ (subarachnoid) ภายในเนื้อสมอง (intracerebral) ใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นอีเพนไดมัล (subependymal) ภายในห้องสมอง (intraventricular)
สาเหตุ
ทารกคลอดก่อนกำหนด
ภาวะขาดออกซิเจนเป็นเวลานานในขณะคลอดหรือเกิดภายหลังคลอด
การได้รับอันตรายรุนแรงจาการคลอด
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกกดศูนย์หายใจทำให้ทารกหายใจลำบาก
ทารกอาจเกิดปัญญาอ่อน (mental retardation)
การวินิจฉัย
จากประวัติการคลอด เช่น เชิงกรานแม่เล็กกว่าปกติ ทารกอยู่ในท่าท้ายทอยหันหลัง(occiput posterior position: OPP)ท่าหน้า หรือท่าก้น ภาวะ CPD การช่วยคลอดโดยใช้เครื่องดูด สุญญากาศหรือคีมช่วยคลอด ระยะการคลอดยาวนาน การคลอดเร็ว (precipitate labor)
อาการและอาการแสดง
Reflex ลดน้อยลงหรือไม่มี โดยเฉพาะ moro reflex จะเสียไป
กำลังกล้ามเนื้อไม่ดี มีอาการอ่อนแรง
มีภาวะซีด หรือมีอาการเขียว (cyanosis)
ซึม ไม่ร้อง
ดูดนมไม่ดี หรือไม่ยอมดูดนม
ร้องเสียงแหลม
การหายใจผิดปกติ มีหายใจเร็ว ตื้น ช้า ไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดหายใจ
กระหม่อมโป่งตึง
ชัก
แนวทางการรักษา
ถ้ามีความดันในกะโหลกศีรษะสูง อาจได้รับการรักษาโดยเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อบรรเทาอาการความดันในสมอง
ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายทารกถ้าตัวเย็น
ดูแลให้ได้รับยาระงับการชัก และให้วิตามินเค
ดูแลให้ออกซิเจนถ้าทารกมีภาวะพร่องออกซิเจน
ดูแลให้ได้รับนมและน้ำอย่างเพียงพอ
การประเมินสภาพ
การตรวจร่างกายเพื่อค้นหาอาการผิดปกติ
การฉายภาพรังสีเพื่อดูบริเวณและขอบเขตที่เลือดออก
การซักประวัติการคลอด
บทบาทการพยาบาล
ดูแลให้ทารกหายใจสะดวกและได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
กรณีที่ให้ออกซิเจน ควรสำรวจปริมาณออกซิเจนที่ทารกได้รับความไม่ควรเกิน 40% หรือ ตามแผนการรักษา และให้ออกซิเจนที่มีความชื้นปนเพื่อช่วยละลายเสมหะ
ดูแลให้ได้รับนมและน้ำที่เพียงพอ บางรายอาจต้องให้อาหารทางสายยางเพื่อไม่ให้ทารกต้องออกกำลัง และไม่เพิ่มความดันในกะโหลกศีรษะ
ให้ทารกอยู่ในตู้อบ (incubator) ที่มีการควบคุมอุณหภูมิตู้ไว้เพื่อให้อุณหภูมิของร่างกาย
คงที่
เตรียมเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือทารกไว้ให้พร้อม ได้แก่ เครื่องดูดเสมหะ ลูกยางแดง ออกซิเจน laryngoscope endotracheal tube และเครื่องช่วยหายใจ
ตรวจสอบสัญญาณชีพ และบันทึกไว้ทุก 2- 4 ชั่วโมง ตามระดับความรุนแรงของอาการ
ป้องกันและไม่ให้ทารกได้รับอันตรายจากการชัก จัดวางเตียงของทารกไว้บริเวณที่พยาบาลสังเกตอาการทารกได้ง่าย
ดูแลให้ทารกได้พักผ่อน รบกวนทารกให้น้อยที่สุด พลิกตะแคงตัวทารกได้แต่ไม่บ่อยครั้งควรทำหลังจากให้นมไปแล้ว และต้องทำด้วยความระมัดระวัง
ดูแลฉีดวิตามินเค จำนวน 1 มิลลิกรัม เข้ากล้ามเนื้อเพื่อป้องกันเลือดที่จะออกเพิ่ม
ประคับประคองจิตใจมารดาและบิดาเพื่อลดความวิตกกังวล และประคับประคองจิตใจของทารก โดยการตอบสนองความต้องการทางจิตใจ ปลอบโยนด้วยการสัมผัสที่อ่อนโยน อุ้มทารกเมื่ออาการดีขึ้น
ให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การให้ความรู้แก่มารดาในการดูแลทารกให้เหมาะสมกับเศรษฐานะของครอบครัว การให้ยา การดูแลเมื่อเจ็บป่วย และควรมีการส่งต่อพยาบาลชุมชนในการติดตามเยี่ยมบ้าน และนัดทารกมาตรวจที่คลินิกสุขภาพเด็กด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ทารกเสี่ยงต่อภาวะชักเนื่องจากภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ
ทารกเสี่ยงต่อภาวะตัวเหลืองเนื่องจากมีภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ
มารดาและบิดาวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเลือดออกในกะโหลกศีรษะ
การบาดเจ็บของกระดูก (Bone injuries)
กระดูกต้นขาหัก
สาเหตุ
การคลอดทารกท่าศีรษะที่ไหล่คลอดยาก ทารกตัวโตหรือคลอดท่าก้นที่แขนเหยียดซึ่งผู้ทำคลอดดึงแขนออกมา
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าแขนทั้งสองข้างของทารกเคลื่อนไหวไม่เท่ากัน โดยทารกจะยกแขนข้างที่ดีได้เท่านั้น หรือในกรณีที่กระดูกเดาะทารกอาจยกแขนได้ก็ได้แต่ถ้าคลำตรงบริเวณที่หักอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบ
อาการและอาการแสดง
ทารกจะมีอาการหงุดหงิดหรือร้องไห้เมื่อสัมผัสบริเวณที่กระดูกหัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจับใต้แขนยกตัวทารกขึ้น
อาจพบว่ามีอาการบวมห้อเลือด (ecchymosis) ตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ
ทารกเคลื่อนไหวแขนข้างที่กระดูกไหปลาร้าหักน้อยหรือไม่เคลื่อนไหวเลย
ปมประสาทใต้ไหปลาร้า (brachial plexus) ของทารกอาจได้รับอันตรายร่วมด้วย
บางรายหลังจากจำหน่ายทารกกลับบ้านไปแล้วหลายสัปดาห์ พบว่าอาจมีก้อนนูนที่ไหปลาร้าหรือคลำได้ก้อนแข็ง ซึ่งแสดงถึงการมีกระดูกเกิดขึ้นใหม่แทนที่กระดูกที่หัก
แนวทางการรักษา
ส่วนใหญ่หายได้เองค่อนข้างเร็ว มักเกิดกระดูกงอกใหม่ภายใน 1 สัปดาห์
ักษาโดยให้แขนและไหล่ด้านที่กระดูกไหลปลาร้าหักอยู่นิ่ง ๆ โดยการกลัดแขนเสื้อติดกับตัวเสื้อประมาณ 10 – 14 วัน
บทบาทการพยาบาล
ดูแลไม่ให้กระดูกส่วนที่หักเคลื่อนไหว และจัดให้บริเวณที่หักอยู่ในท่าที่ถูกต้องตามแผนการรักษา
จัดกิจกรรมการพยาบาลไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายทารกบ่อย ๆ เพื่อให้ส่วนที่เจ็บอยู่นิ่ง
ดูแลให้ได้รับความสุขสบาย และป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเพิ่ม
ดูแลให้ทารกได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอ การที่ทารกถูกตรึงร่างกายไว้ตามแผนการรักษา ทำให้การให้นมจากอกมารดาอาจไม่สะดวก
ดูแลความสุขสบายจากการขับถ่าย ป้องกันการระคายเคืองจากอุจจาระและปัสสาวะ
ดูแลให้ความอบอุ่นทางด้านจิตใจแก่ทารก
ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ทารกมีโอกาสเกิดกระดูกไหปลาร้า แขนและขาที่หักติดผิดรูป
มารดาและบิดาวิตกกังวลเกี่ยวกับการหักของกระดูกทารก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ทารกมีโอกาสเกิดกระดูกไหปลาร้า แขนและขาที่ติดผิดรูป
กระดูกต้นแขนหัก
สาเหตุ
การคลอดท่าก้น ผู้ทำคลอดดึงขาทารกขณะที่ติดอยู่ที่ทางเข้าเชิงกราน (pelvic inlet)
การตรวจร่างกาย
ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex) พบว่าทารกไม่ยกขา และสังเกตว่า
ทารกจะไม่เคลื่อนไหวขาข้างที่หัก
อาการและอาการแสดง
อาจไม่ทราบว่ากระดูกหักจนเวลาผ่านไปหลายวันจะพบว่าขาทารกมีอาการบวมเนื่องจากเลือดเข้าไปในกล้ามเนื้อใกล้เคียงบริเวณที่หัก
เมื่อจับทารกเคลื่อนไหวหรือถูกบริเวณที่กระดูกต้นขาหักทารกจะร้องไห้เพราะรู้สึกเจ็บแนวทางการรักษา
อาจได้ยินเสียงกระดูกหักขณะทารกคลอด
ถ้ากระดูกไม่หักแยกจากกัน (incomplete) รักษาโดยการใส่เฝือกขายาว ประมาณ 3 -4สัปดาห์
ถ้ากระดูกหักแยกจากกัน (complete) รักษาโดยการห้อยขาทั้งสองข้างไว้กับราวที่ขวางปลายเตียง ขาเหยียดตรง ให้ก้นและสะโพกลอยจากพื้นเตียง ดึงขาไว้นาน 2-3 สัปดาห
การบาดเจ็บของเส้นประสาท
การบาดเจ็บของเส้นประสาทที่มาเลี้ยงใบหน้า (facial nerve injury)
สาเหตุ
การคลอดยาก การใช้คีมช่วยคลอดทำให้กดเยื่อประสาทสมองคู่ที่ 7 (facial nerveinjury) ที่ไปเลี้ยงใบหน้า
การตรวจร่างกาย
จากการสังเกตสีหน้าของทารกเวลานอน เวลาร้องไห้หรือแสดงสีหน้าท่าทาง
อาการและอาหารแสดง
มีอาการอัมพาตชั่วคราวของกล้ามเนื้อใบหน้า โดยทั่วไปมักเป็นด้าน
เดียว ทำให้ใบหน้าด้านที่เป็นไม่มีการเคลื่อนไหว
ทารกจะลืมตาได้เพียงครึ่งเดียว ตาปิดไม่สนิท
บางรายอาจมีอันตรายเฉพาะแขนงประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนล่างของใบหน้า ปากข้างที่เป็นจะถูกดึงลงมาทำให้มุม ิมฝีปากล่างตก ไม่มีรอยย่นที่หน้าฝาก เมื่อจับใบหน้าให้ตรง รูปหน้าทั้ง 2 ด้านจะไม่เท่ากัน เห็นได้ชัดเจน ที่สุดเมื่อทารกร้องไห้ กล้ามเนื้อด้านที่เป็นอัมพาตจะไม่เคลื่อนไหว ทำให้หน้าเบี้ยวไปข้างที่ดี
แนวทางการรักษา
ถ้าประสาทที่เลี้ยงใบหน้าเพียงถูกกดอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน ถึงสัปดาห์ แต่ถ้าเส้นประสาทขาดต้องได้รับการทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
การพยาบาล
3.ดูแลให้ทารกได้รับการตอบสนองด้านจิตใจ เนื่องจากทารกมีตาปิดไม่สนิท อาจระคายเคือง และการได้รับนมที่ไม่สะดวกเหมือนทารกปกติ
4.ดูแลบรรเทาความวิตกกังวลของมารดาและบิดา
2.ดูแลให้ทารกได้รับอาหารเหมาะสมตามความต้องการของทารก เนื่องจากทารกไม่สามารถได้ริมฝีปากอมหัวนมมารดาได้กระชับเช่นทารกปกติ
ดูแลไม่ให้ดวงตาของทารกได้รับอันตราย
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ทารกเสี่ยงต่อการเกิดแผลที่จอตาเนื่องจากไม่สามารถปิดตาให้สนิทได้
มารดาและบิดาวิตกกังวลเกี่ยวกับการเป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้าของทารก
ทารกเสี่ยงต่อการสูดสำลักเนื่องจากกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาต
การบาดเจ็บของเส้นประสาท Brachial
สาเหตุ
เกิดจากข่ายประสาท Brachial ถูกดึงหรือกด จะพบในทารกที่คลอดโดยมีส่วนนำเป็นก้น หรือคลอดยากบริเวณแขนหรือไหล่จากการที่ดึงไหล่ออกไปจากศีรษะในระหว่างการคลอด จำแนกอันตราย เป็น 2 ส่วน คือ อันตรายต่อส่วนบน (C5-C6) และอันตรายต่อส่วนล่าง (C7-C8และ T1)
อาการและอาหารแสดง
เส้นประสาทจากกระดูกสันหลังตอนคอท่อนที่ 5 และ 6 ได้รับอันตรายจะ
มีอัมพาตของแขน
ทารกไม่สามารถวางแขนเหยียดออกจากไหล่หรือหมุนแขนออกด้านนอกและหงายแขนส่วนล่างได้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่เคลื่อนไหวมือและนิ้วยังดี ทารกจึงสามารถขยับข้อมือ และมือได้ตามปกติ
กล้ามเนื้อแขนข้างที่เป็นจะอ่อนแรง วางแนบลำตัว ศอกเหยียด แขนช่วงล่างหมุนเข้าด้านใน มือคว่ำ
การตรวจร่างกาย
ในรายที่เป็น Erb Duchen Paralysis ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro reflex)พบว่า แขนข้างที่เป็นยกขึ้นไม่ได้หรือยกได้น้อย
การเคลื่อนไหวและการงอของแขนลดลง การตอบสนองต่อ
การกำมือ (grasp reflex) ปกติ
ส่วนในรายที่เป็น Klumpke’ s paralysis ทดสอบโมโรรีเฟลกซ์ (moro
reflex) พบว่า ไหล่และแขนส่วนบนเหยียดกางออกเป็นปกต
แต่ข้อมือ นิ้วมือตกไม่มีแรง ทดสอบการตอบสนองต่อการกำมือจะไม่ตอบสนองต่อการกำมือ
แนวทางการรักษา
ทำกายภาพบำบัด
ถ้าไม่หายอาจต้องทำศัลยกรรมซ่อมประสาท
ให้แขนไม่เคลื่อนไหว ในท่ากางหมุนแขนออก ข้อศอกตั้งฉากกับลำตัว
การพยาบาล
ดูแลให้แขนที่ได้รับอันตรายได้ออกกำลัง หลังจากการรักษาพยาบาลในช่วงแรกดีขึ้นและส่งกายภาพบำบัด ซึ่งพยาบาลจะมีส่วนร่วมในการฟื้นฟู
ดูแลความสุขสบายและการผ่อนคลายให้ทารกที่ต้องตรึงแขน
ดูแลให้ส่วนที่ได้รับอันตรายไม่เคลื่อนไหว โดยจัดแขนให้อยู่ในท่าตามแผนการรักษา ในท่าที่ผ่อนคลายที่สุด และให้มืออยู่ในท่าหงาย
ดูแลตอบสนองความต้องการทั้งด้านร่างกายและจิตใจจากการที่ทารกถูกจำกัดการเคลื่อนไหว พยาบาลจึงควรเพิ่มความรัก แตะต้องสัมผัสมากกว่าทารกปกต
ช่วยให้มารดาและบิดามั่นใจในการดูแลทารก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ทารกมีโอกาสเกิดอัมพาตที่แขนถาวร เนื่องจากเส้นประสาทที่มาเลี้ยงแขนได้รับบาดเจ็บ