Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลผู้ป่วยแบบข้ามวัฒนธรรม - Coggle Diagram
การดูแลผู้ป่วยแบบข้ามวัฒนธรรม
1.ความหมายของวัฒนธรรม (Culture)
1.1 องค์ประกอบของวัฒนธรรม
2.องค์การหรือสมาคม (Organization หรือ Association)
หมายถึง วัฒนธรรมในส่วนของการ จัดระเบียบเป็นองค์การหรือสมาคม มีโครงสร้างซึ่งสามารถมองเห็นได้ มีระเบียบแบบแผนหรือกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ รวมทั้งระเบียบวิธีประพฤติปฏิบัติขององค์การหรือสมาคมนั้นๆ
3. องค์พิธีหรือพิธีการ (Usage หรือ Ceremony)
หมายถึง วัฒนธรรมในส่วนของพิธีหรือพิธีการ ต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นนับตั้งแต่การเริ่มต้นของชีวิต คือ การเกิดจนกระทั่งตาย
1.องค์วัตถุ (Material)
ทั้งที่เป็นเครื่องมือและสัญลักษณ์ (Instrumental And Symbolic Objects) หมายถึง วัฒนธรรมในด้านวัตถุที่มีรูปร่างสามารถจับต้องได้
4. องค์มติหรือมโนทัศน์ (Concepts)
หมายถึง วัฒนธรรมในด้านความคิด ความเชื่อ และ อุดมการณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับมาจากคำสอนทางศาสนา
1.2 ความสำคัญของวัฒนธรรม
4.ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม เพราะวัฒนธรรมคือกรอบหรือแบบแผนของ การ ดำรงชีวิต
ทำให้มีพฤติกรรมเป็นแบบเดียวกัน
ทำให้มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันและให้ความร่วมมือกันได้
6.ทำให้เข้ากับคนพวกอื่นในสังคมเดียวกันได้
2.การศึกษาวัฒนธรรมจะทำให้เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ ค่านิยมของสังคม เจตคติความคิดเห็น และความเชื่อถือของบุคคลได้อย่างถูกต้อง
ทำให้มนุษย์มีสภาวะที่แตกต่างจากสัตว์
1.วัฒนธรรมเป็นเครื่องกำหนดความเจริญหรือความเสื่อมของสังคม และเป็นเครื่องกำหนดชีวิต ความเป็นอยู่ของคนในสังคม
สังคมวิทยาได้จำแนกวัฒนธรรมออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.วัฒนธรรมทางวัตถุ (material culture)
หมายถึง สิ่งของหรือวัตถุอันเกิดจากความคิดและการ ประดิษฐ์ขึ้นมาของมนุษย์ เช่น ถ้วย ชาม จาน ช้อน ส้อม
2.วัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ (non-material culture)
หมายถึง วัฒนธรรมที่แสดงออกได้โดยทัศนะ ประเพณี ขนบธรรมเนียม การปฏิบัติสืบต่อกันมาและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มของตน ว่าดีงามเหมาะสม
ลักษณะพื้นฐานที่สำคัญของ
วัฒนธรรมไว้ 6 ประการ
3. วัฒนธรรมมีพื้นฐานมาจากการใช้สัญลักษณ์ (Symbol)
ซึ่งกล่าวว่าพฤติกรรมของมนุษย์มีต้นกำเนิด มาจากการใช้สัญลักษณ์
4.วัฒนธรรมเป็นองค์รวมของความรู้และภูมิปัญญา
ทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานของ มนุษย์ มีการวางกฎเกณฑ์แบบแผนในการดำเนินชีวิต มีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
2.วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้ (Culture is learned)
ซึ่งมนุษย์จะเรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อยใน สังคมจนกลายเป็น “มรดกสังคม”
5. วัฒนธรรมคือกระบวนการที่มนุษย์
นิยามความหมายให้กับชีวิตและสิ่งต่างๆ
1. วัฒนธรรมเป็นความคิดร่วม (Shared ideas)
และค่านิยมทางสังคมเป็นตัวกำหนดมาตรฐานพฤติกรรม
6. วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ไม่หยุดนิ่ง
มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ความหมาย
วัฒนธรรมคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เป็นเครื่องมือที่มนุษย์คิดค้นเพื่อช่วยให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไป ได้ในสังคมของตน ภาษาอังกฤษ คําว่า “culture” มีรากศัพท์มาจากมาจากภาษาละติน "cultura animi"
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้ความหมายว่า วัฒนธรรม หมายถึง ความเจริญงอกงาม ที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสังคม และมนุษย์กับธรรมชาติ จำแนกออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านวัตถุ มีการสืบทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง จากสังคมหนึ่งไปยังอีกสังคม หนึ่ง จนกลายเป็นแบบแผนซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุข สันติสุขและอิสรภาพ
ปัจจุบันในภาษาไทยมีผู้ให้ความหมายของคำว่า “วัฒนธรรม” ไว้ ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2555 ได้ให้ความหมายของวัฒนธรรมว่า สิ่งที่แสดงถึงความ เจริญงอกงามของสังคมทั้งทางด้านจิตใจและวัตถุ เช่น ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ศีลธรรม วัฒนธรรมในการ แต่งกาย มารยาทที่ขัดเกลาเรียบร้อย รู้จักควบคุมอารมณ์ เป็นต้น
.2 คุณค่า ความเชื่อ ค่านิยมทางสังคมที่มีผลต่อหลักการในการดำเนินชีวิต
1.2.1 ประเภทของความเชื่อ
ความเชื่อขั้นพื้นฐานของบุคคล มี 2 ลักษณะ คือ เกิดจากประสบการณ์ตรง และเกิดจากการ แลกเปลี่ยนพบปะสังสรรค์
ความเชื่อแบบประเพณี ในภาคเหนือเชื่อในเรื่องเกี่ยวกับผีและอำนาจเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับป่า ภูเขาและลำน้ำ ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาพระธาตุและผีวีรบุรุษ
ความเชื่อในสิ่งปรากฏอยู่จริง เช่น เชื่อว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก น้ำทะเลมีรสเค็ม
ความเชื่อแบบเป็นทางการ เช่น ความเชื่อที่มีต่อหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาเรื่องการมีสติ ความ ไม่ประมาท การบำเพ็ญเพียร
ปัจจัยที่มีอิทธิพลในการกำหนดแบบแผนความคิดและความเชื่อ แบ่งได้ 3 ประเภท คือ
ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ การขัดเกลาทางสังคม การควบคุมทางสังคม การปฏิสัมพันธ์ ทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม
ปัจจัยทางด้านบุคคล ได้แก่ ศาสนา อายุ เพศ การศึกษา อาชีพ ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรคและวิธีการดูแลสุขภาพ
3.ความเชื่อแบบการแพทย์แผนตะวันตกและวิธีการดูแลสุขภาพ
เช่น การเจ็บป่วยเกิดจากเชื้อโรค ความเจ็บป่วยเกิดจากพันธุกรรม ความเจ็บป่วยเกิดจากพฤติกรรม
4. ความเชื่อและการดูแลสุขภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านสถานการณ์ชีวิต
4.1. ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการเกิดแบบพื้นบ้าน
4.1.2 ระยะคลอดบุตร - ความเชื่อเกี่ยวกับการคลอดบุตร ได้แก่ เรื่องความเป็นสิริมงคล ท่าทางในการคลอด -การดูแลสุขภาพในระยะคลอดบุตร ได้แก่ การจัดสถานที่และท่าทางในการคลอด การ ตรวจครรภ์ก่อนคลอด การคลอด การจัดการเกี่ยวกับรก การร่อนกระด้ง
4.1.3 ระยะหลังคลอด - ความเชื่อเกี่ยวกับภาวะหลังคลอด ได้แก่ ความเชื่อเรื่องผี ความเชื่อเรื่องกรรม ความเชื่อ เรื่องสมดุลธาตุ 4 ความเชื่อเรื่องมลทินของร่างกาย ความเชื่อเรื่องการบำรุงร่างกาย - การดูแลสุขภาพในระยะหลังคลอด ได้แก่ การอยู่ไฟ การนาบหม้อหรือการทับหม้อเกลือ การประคบสมุนไพร การนวดหลังคลอด การเข้ากระโจมหรือการอบสมุนไพร การอาบสมุนไพร การงดบริโภค อาหารแสลง การบำรุงร่างกาย
4.1.1 ระยะตั้งครรภ์ - ความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ คนโบราณเชื่อว่าการตั้งครรภ์เป็นผลจากความสัมพันธ์ของ มนุษย์กับดวงดาวในระบบจักรวาล - การดูแลสุขภาพในระยะตั้งครรภ์ จะเกี่ยวกับสุขภาพจิต สุขภาพกาย การดูแลทารกใน ครรภ์ การฝากครรภ์
4.2 ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับการเกิดแบบแพทย์ตะวันตก
4.2.1 ความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เป็นภาวะที่ตัวอ่อนหรือทารกได้ก่อกำเนิดขึ้นภายใน มดลูก
4.2.2 การดูแลสุขภาพแบบการแพทย์ตะวันตกมีหลักการดูแลคล้ายคลึงการแบบพื้นบ้าน คือ มีในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอด และหลังคลอด โดยมีวัตถุประสงค์ให้มารดาและทารกสมบูรณ์แข็งแรง รวมทั้ง ผ่านทุกระยะของกระบวนการให้กำเนิดได้อย่างปลอดภัย
2. ความเชื่อแบบพื้นบ้านและวิธีการดูแลสุขภาพ
เช่น ความเจ็บป่วยที่เกิดจากการขาดสมดุลธาตุ ความ เจ็บป่วยที่เกิดจาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผู้ให้การดูแลรักษาสุขภาพใน การแพทย์แบบพื้นบ้าน ได้แก่ หมอสมุนไพร หมอเป่า หมอกระดูกหรือหมอน้ำมัน หมอนวด และหมอตำแย
5.ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความชรา
5.1 ความเชื่อเกี่ยวกับความชราและการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้าน
5.1.1 ความเชื่อเกี่ยวกับความชรา ปัจจัยชี้บ่งถึงความชรา เช่น ภาวะหมดประจำเดือนในเพศ หญิง การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย และความแปรปรวนของธาตุลม
5.1.2 การดูแลสุขภาพวัยชราแบบพื้นบ้าน ได้แก่ การใช้สมุนไพร เช่น สมุนไพรตำรับ (ยาดอง ยาบำรุง) การดูแลอาหาร การดูแลด้านสุขภาพทางเพศ การดูแลสุขภาพโดยพึ่งพิงศาสนา
5.2 ความเชื่อเกี่ยวกับความชราและการดูแลสุขภาพแบบการแพทย์แผนตะวันตก
5.2.1 ความเชื่อเกี่ยวกับความชรา กำหนดอายุตั้งแต่ 60 หรือ 65ปีขึ้นไป เป็นเกณฑ์เข้าสู่วัย ชรา
5.2.2 การดูแลสุขภาพวัยชราแบบการแพทย์แผนตะวันตก ได้แก่ การดูแลด้านโภชนาการ การ ดูแลด้านฮอร์โมน การดูแลด้านการออกกำลังกาย การดูแลด้านการพักผ่อนนอนหลับ การดูแลด้านอุบัติเหตุ การ ดูแลด้านจิตใจ
1. ความเชื่อแบบอำนาจเหนือธรรมชาติและวิธีการดูแลสุขภาพ
เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของการ เกิดโรค โดยมีความเชื่อที่ว่า ความเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของผีผู้ให้การดูแลรักษาสุขภาพในการแพทย์แบบอำนาจเหนือ ธรรมชาติ ประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ กลุ่มหมอดู กลุ่มหมอสะเดาะเคราะห์ กลุ่มหมอธรรม และกลุ่มหมอตำรา
6.ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความตาย
6.1 ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความตายแบบพื้นบ้าน
6.1.1 ความเชื่อเกี่ยวกับความตายแบบพื้นบ้าน มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณ กฎแห่งกรรม การ เวียนว่ายตายเกิดและชาติภพ
6.1.2 การดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความตายแบบพื้นบ้าน จะมุ่งเน้นการตอบสนองทางด้านจิต วิญญาณของผู้ตายและเครือญาติ กล่าวคือ ให้สร้างสมความดีและผลบุญเพื่อการตายอย่างสงบ เกิดความสุข ความเจริญในภพหน้า
6.2ความเชื่อและการดูแลสุขภาพเกี่ยวกับความตายแบบแพทย์แผนตะวันตก
6.2.1 จะพิจารณาจากการหยุดทำงานของหัวใจและการทำงานของแกนสมอง
6.2.2 การดูแลสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการตายแบบแพทย์แผนตะวันตก มุ่งเน้นให้ระบบและ อวัยวะต่าง ๆ สามารถทำงานต่อไปได้และยืดชีวิตผู้ป่วยให้ยาวนานมากที่สุด ภายใต้เครื่องมือและอุปกรณ์ ทางการแพทย์ที่ทันสมัย
ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ได้แก่ การรับรู้ และการเรียนรู้
1.2.2 ค่านิยมทางสังคม
ค่านิยมทางสังคมจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัยทางสังคมหลายอย่างเข้า มามีอิทธิพลต่อการเรียนรู้
3. สถาบันศาสนา
บุคคลและหน่วยงานของศาสนาต่างๆ ก็มีส่วนช่วยในการปลูกฝังค่านิยมและศีลธรรม อันถูกต้องได้เป็นอย่างดี
4. สังคมวัยรุ่นและกลุ่มเพื่อน
การคบหาสมาคมกับเพื่อนในรุ่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนสนิท
2. โรงเรียน
คือสถาบันทางสังคมที่มีส่วนในการสร้างค่านิยมอันถูกต้องให้แก่เด็กเป็นอย่างมากในการสั่ง สอนเด็กให้เกิด ความคิด ความเชื่อ อันจะนำไปสู่แบบแผนการมีพฤติกรรมที่ดี
5. สื่อมวลชน
ในปัจจุบันบุคคลได้รับความรู้และความคิดจากสื่อมวลชนเป็นอันมากในบางกรณีบุคคล ก็ยอมรับเอาความรู้ และความคิดเหล่านั้นไปยึดถือเป็นค่านิยมบางประการของตน
1. ครอบครัว
เป็นสถาบันสังคมอันดับแรกที่มีอิทธิพลต่อการสร้างค่านิยมให้แก่บุคคล
6. องค์การของรัฐบาล
รัฐย่อมมีส่วนในการปลูกฝังค่านิยมและศีลธรรมให้แก่สังคมตามปกติรัฐจะ ควบคุมโรงเรียนและสนับสนุนสถาบันศาสนาให้ทำหน้าที่ในด้านนี้
สรุป
ค่านิยมทางสังคมเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมทางสังคมและวิถีชีวิตของบุคคลในสังคม ทั้งนี้ เพราะว่าค่านิยมของสังคมนั้น เป็นสิ่งที่บุคคลในสังคมนั้นๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องกระทำต้องปฏิบัติเป็นสิ่งที่บุคคล ยกย่องบูชา ค่านิยมทางสังคมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความถูกต้อง หรือความผิด ดีหรือไม่ดี จริงหรือเท็จเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นเครื่องนำพฤติกรรมในชีวิตของคนในสังคมด้วย
ค่านิยมทางสังคมถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่กำหนดพฤติกรรมของสมาชิกสังคมนั้นๆ โดยตรง ทุกสังคมจึง มีระบบค่านิยมของตนเอง ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะที่คนในสังคมนั้นๆ ยึดถือว่ามีคุณค่าร่วมกัน เกิดจากการ อบรมบ่มนิสัยหรือการปลูกฝังค่านิยมตั้งแต่ในวัยเด็ก จนเกิดความเคยชินและหล่อหลอมจนกลายเป็นบุคลิกภาพ
ความหมาย
ความเชื่อ
หมายถึง การยอมรับคำอธิบายเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์หนึ่ง ๆ ที่บุคคลได้จากการรับรู้ และเรียนรู้ร่วมกันในสังคม และถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนตกผลึกเป็นแบบแผนทางวัฒนธรรมของสังคมนั้น โดย อาจมีเหตุผลหรือไม่มี หรือหลักฐานมาสนับสนุนก็ได้ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามวิวัฒนาการและพัฒนาการของสังคม
3.วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพและการแสวงหาการรักษาของประชาชนในภูมิภาคต่างๆของโลก
ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมกับการดูแลสุขภาพ สามารถจัดแบ่งได้ตามประโยชน์และโทษดังนี้
2. ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่ได้ให้ประโยชน์
เช่น ห้ามหญิงมีครรภ์กินกล้วยแฝด
3. ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไม่แน่ว่าให้คุณหรือโทษ
เช่น สังคมแอฟริกันบางสังคมให้เด็กกินดินหรือ โคลน
1. ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ส่งเสริมสุขภาพ
เช่น การให้ทารกกินนมแม่นานถึง 2 ปี หรือการห้าม หญิงหลังคลอดบริโภคน้ำดิบ
4. ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ให้โทษ
แนวทางการดูแลสุขภาพที่เกิดขึ้นเป็นวัฒนธรรมของการดูแลสุขภาพของประชาชนนั้นประกอบด้วย ระบบย่อย 3 ระบบคือ
ระบบการดูแลสุขภาพภาควิชาชีพ (Professional health sector)
ระบบการดูแลสุขภาพภาคพื้นบ้าน (Folk sector of care)
ระบบการดูแลสุขภาพภาคประชาชน (Popular health sector)
1.3.1 แนวคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมกับการดูแลสุขภาพ
วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพ หมายถึง ความคิด ความเชื่อเกี่ยวกับสุขภาพที่เชื่อมโยงตั้งแต่การดูแล สุขภาพตัวเอง การดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้าน ไปจนถึงการดูแลสุขภาพที่อาศัยความรู้วิทยาการหรือเทคโนโลยีทาง การแพทย์สมัยใหม่ ครอบคลุมการดูแบสุขภาพทั้ง 4 มิติ
ป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยหรือพิการ
ดูแลรักษาสุขภาพเมื่ออยู่ในภาวะเจ็บป่วยเป็นโรค
ส่งเสริมสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
ฟื้นฟูสุขภาพให้เข้าสู่ภาวะปกติ
วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพไม่ได้จำกัดอยู่เพียงวัฒนธรรมดั้งเดิม (Traditional Culture) เช่น ความเชื่อ ประเพณี หรือพิธีกรรม
1.3.2 ประเภทของวัฒนธรรมกับการดูแลสุขภาพ
1. วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพในสภาวะปกติ
หมายถึง แบบแผนทางวัฒนธรรมของสังคมที่มีกำหนดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของคนในสังคม
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพ
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการป้องกันโรค
2. วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพในสภาวะเจ็บป่วย
หมายถึง การรับรู้ของบุคคลที่มีต่อความผิดปกติของ ร่างกาย
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการรักษาโรค
วัฒนธรรมเกี่ยวกับการฟื้นฟูสมรรถภาพ
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งแนวคิดด้านสุขภาพได้ให้ความสำคัญกับปัจจัย ทางด้านสังคมวัฒนธรรม เนื่องจากพบว่าปัญหาสุขภาพบางประเภทเกิดกับบุคคลบางอาชีพ บางวัฒนธรรมหรือ บางกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
1.3.3 ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมกับการดูแลสุขภาพ
ความปรารถนาที่จะมีสมรรถนะทางวัฒนธรรม (cultural desire)
ความสามารถในการเผชิญและจัดการกับวัฒนธรรม (cultural encounter)
การมีองค์ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม (cultural knowledge)
การมีทักษะเกี่ยวกับวัฒนธรรม (cultural skill)
การตระหนักรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม (cultural awareness)
4.บทสรุป
พยาบาลเป็นบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยและญาติ และมีโอกาสได้ให้การดูแลผู้ป่วยและ ญาติที่มีเชื้อชาติ คุณค่า ความเชื่อ ค่านิยม หรือภูมิหลังทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันดังนั้น การที่พยาบาลจะให้ การดูแลอย่างถูกต้อง เหมาะสม เคารพในความเป็นบุคคลของผู้ป่วย พยาบาลจึงควรมีความไวทางวัฒนธรรม (Cultural sensitivity) คือมีความตื่นตัวที่จะเรียนรู้ มีความใฝ่รู้ มีความเข้าใจถึงบริบทของสังคมที่แตกต่างกัน เช่น วิถีการดำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี ยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรมของบุคคลพยาบาลควร ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างเป็นระบบคือการศึกษาข้ามวัฒนธรรม (Cross-cultural study)
ซึ่งได้รวมการเรียนรู้ ดังกล่าวในรายวิชาการพยาบาลข้ามวัฒนธรรม (Transcultural nursing) เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมให้นักศึกษามี เข้าใจถึงความแตกต่างของผู้ป่วยและญาติ สามารถรวมรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ มุมมอง แนวคิด การตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยและญาติได้รับการดูแลแบบองค์รวม คือให้การดูแลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม อารมณ์ และ
จิตวิญญาณ นักศึกษาจะได้เรียนรู้ในรายละเอียดของเนื้อหาเหล่านี้ในบทต่อไป