Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 การป้องกันและการควบคุมการติดเชื้อ - Coggle Diagram
บทที่ 1 การป้องกันและการควบคุมการติดเชื้อ
1.1วงจรการติดเชื้อ
“การติดเชื้อ (Infection)” เป็นปฏิกิริยาของร่างกาย
(Host interaction) ที่เกิดขึ้นเมื่อมีเชื้อโรค (Microorganisms)
เข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะแบ่งตัวในร่างกายอย่างมาก
จนทําให้หน้าที่ของร่างกายผิดปกติ และร่างกายมี
ปฏิกิริยาต่อเชื้อโรคโดยการสร้างภูมิคุ้มกัน
1.1.3ทางออกของเชื้อ (Portal of exit)
เชื้อจุลชีพออกจากร่างกายของคน
ซึ่งเป็นโรคได้หลายทาง
ระบบสืบพันธุ์
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ระบบทางเดินหายใจ
1.1.4หนทางการแพร่กระจายเชื้อ
(Mode of transmission)
เชื้อแพร่กระจายจากผู้ติดเชื้อ
หรือผู้ป่วยไปสู่ผู้อื่นได้หลายทาง
การหายใจ
การแพร่กระจายโดยมีตัวนํา
การสัมผัส
1.1.5ทางเข้าของเชื้อ (Portalof entry)
เชื้อโรคออกจากแหล่งเชื้อโรคแล้วจะทําให้เกิดโรคได้ โดยการหาทางเข้าไปในร่างกายมนุษย์ใหม่ (Host)
โดยมากทางเข้ามักเป็นทางเดียวกับที่ออกมา
ทางเดินอาหาร
วัยวะสืบพันธุ์
ทางเดินหายใจ
ผิวหนังที่ฉีดขาด
1.1.2แหล่งกักเก็บเชื้อโรค (Reservoir)
แหล่งของเชื้อโรคเป็นที่ให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและมีการขยายตัว
เชื้อโรคแต่ละชนิดจะเจริญเติบโตได้ดีในแหล่งเชื้อโรคเฉพาะ
แหล่งเชื้อโรคอาจเป็นคน สัตว์พืช ดิน และแมลงต่าง ๆ
1.1.6ความไวในการรับเชื้อของบุคคล (Susceptible host)
หลังที่เชื้อจุลชีพเข้าไปในร่างกายและจะทําให้บุคคลติดเชื้อง่าย
หรือยากขึ้นอยู่กับลักษณะของเชื้อจุลชีพ
1.1.1 เชื้อก่อโรค (Infectious agent)
3)เชื้อรา
4)ไวรัส
2)โปรโตซัว
5)พยาธิ
1)แบคทีเรีย
แบคทีเรียแกรมบวก (Gram positive)
แบคทีเรียแกรมลบ (Gram negative)
1.2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
1.2.5 โรคภูมิแพ้หรือโรคเรื้อรัง
คนที่มีอาการแพ้ต่าง ๆ หรือมีโรคเรื้อรัง มีความต้านทานต่ำากว่คนปกติ จึงทําให้ความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่รุกรานเข้ามาน้อยลง
1.2.6 เพศ
เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการรับการติดเชื้อเหมือนกัน พบว่าโรคบางชนิดพบมากในแต่ละเพศไม่เท่ากัน
1.2.4 ความร้อนหรือเย็น
คนที่ได้รับความร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไปมีความไวต่อการติดเชื้อมากกว่า เนื่องจากร่างกายต้องปรับตัวต่อความร้อนหรือความเย็นมา
1.2.7 กรรมพันธุ์
เช่น บางคนขาดสาร Immunoglobulin ซึ่งเป็นตัวการสําคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เป็นต้น
1.2.3 ความอ่อนเพลีย
พบว่าคนที่อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอจะติดเชื้อง่ายกว่า มีความต้านทานต่อเชื้อโรคน้อยกว่า
1.2.8 อายุ
ในเด็กมีความไวต่อการติดเชื้อง่ายกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ได้ดีเท่าผู้ใหญ่ นอกจากนี้คนสูงอายุมีภูมิต้านทานน้อยกว่า อาจเนื่องจากร่างกายได้รับอาหารไม่พอเพียงและคนสูงอายุมักมีโรคเรื้อรังร่วมอยู่ด้วย
1.2.2 ภาวะโภชนาการ
บุคคลที่ได้รับอาหารครบถ้วนความไวต่อการติดเชื้อจะน้อยกว่าคนที่ขาดอาหาร
1.2.9 การรักษาทางการแพทย์บางชนิด
ทําให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
คนที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสี มีการทําลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้น
การสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดี ทําให้ง่ายต่อการติดเชื้อ
คนที่ได้รับยาที่กดการสร้างภูมิคุ้มกัน
1.2.1 ความเครียด (Stress)
ถ้าบุคคลมีความเครียดเกิดขึ้น จะมีความไวต่อการติดเชื้อได้ง่ายกว่า
1.2.10 อาชีพ
บางอาชีพมีโอกาสที่จะสัมผัสกับเชื้อได้ง่าย
หรือลดประสิทธิภาพของกลไกการป้องกันตนเอง
คนเลี้ยงนกพิราบมีโอกาสติดเชื้อไวรัส H1N1
1.3 การติดเชื้อในโรงพยาบาล
1.3.1 องค์ประกอบของการติดเชื้อในโรงพยาบาล
2)คน
ผู้ที่ติดเชื้อในโรงพยาบาลส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วย
แต่อาจจะเป็นบุคลากรในโรงพยาบาลได้
โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลจะพบได้มาก
ในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ
3)สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมผู้ป่วยในโรงพยาบาลครอบคลุมถึง อาคาร สถานที่ เครื่องมือ เครื่องใช้ บุคลากรในโรงพยาบาล และญาติที่มาเยี่ยม
1)เชื้อโรค
ส่วนใหญ่เป็นเชื้อประจําถิ่น หรือเชื้อที่พบบนร่างกายผู้ป่วยเอง
(Normal flora หรือ Colonization)
เชื้อแบคทีเรียกรัมลบทรงแท่ง (Gram negative bacilli)
1.3.2 การแพร่กระจายเชื้อ
2)การแพร่กระจายเชื้อโดยฝอยละออง(Droplet spread)
เกิดจากการสัมผัสกับฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน มักเกิดขึ้นในระยะไม่เกิน 3 ฟุต
3)การแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ (Airborne transmission)
เป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เชื้อจุลชีพจะอยู่ในรูปของ Droplet nuclei
1)การแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัส (Contact transmission)
การแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัสโดยอ้อม (Indirect–contact transmission) เป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัสกับสิ่งของหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อก่อโรค
การแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัสโดยตรง (Direct–contact transmission)เป็นการแพร่กระจายเชื้อที่มีการสัมผัสกันโดยตรงระหว่างคนต่อคน เกิดจากการที่มือไปสัมผัสแหล่งโรคแล้วสัมผัสผู้ป่วย
4)การแพร่กระจายเชื้อโดยการผ่านสื่อนํา(Vehicle transmission)
เป็นการแพร่กระจายเชื้อซึ่งเกิดจากการที่มีเชื้อจุลชีพปนเปื้อนอยู่ในเลือด ผลิตภัณฑ์ของเลือด อาหาร น้ำ ยา สารน้ำที่ให้ทางหลอดเลือดดําแก่ผู้ป่วย
5)การแพร่กระจายเชื้อโดยสัตว์พาหนะ (Vector-Borne transmission)
การแพร่กระจายเชื้อโดยแมลง หรือสัตว์นําโรค คนได้รับเชื้อจากการถูกแมลงหรือสัตว์กัด และเชื้อที่มีอยู่ในตัวแมลงถูกถ่ายทอดสู่คน
การติดเชื้ออันเป็นผลจากการที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อจุลชีพขณะอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งเชื้อจุลชีพ อาจเป็นเชื้อที่มีอยู่ในตัวผู้ป่วยเอง (Endogenous organism) หรือเป็นเชื้อจากภายนอกร่างกายผู้ป่วย (Exogenous organism)
1.4 การทําลายเชื้อ และการทําให้ปราศจากเชื้อ
1.4.1การทําลายเชื้อ(Disinfection)
การกําจัดเชื้อจุลชีพบางชนิดที่แปดเปื้อนผิวหนัง อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ทางการแพทย์ หรือพื้นผิวต่างๆ โดยใช้สารเคมี หรือใช้วิธีการทางกายภาพ
2)การต้ม
3)การใช้สารเคมี
1)การล้าง
4)การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ
(4)การทําแผล
(5)การทําความสะอาดฝีเย็บก่อนคลอดหรือก่อนการตรวจภายใน
(3)การเตรียมผิวหนัง
(6)การสวนล้างช่องคลอด
(2)การล้างมือก่อนทําหัตถการ (Surgical handwashing)
(7) การทาช่องคลอดก่อนผ่าตัดใช้Iodophor 10%
(1)การล้างมือธรรมดา (Normal hand washing)
ระดับการทําลายเชื้อ
การทําลายเชื้อระดับกลาง
(Intermediate-level disinfection)
การทําลายเชื้อวิธีนี้สามารถทําให้เชื้อ Mycobacterium tuberculosis เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อราอ่อนกําลังลงจนไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ แต่ไม่สามารถทําลายสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียได้
การทําลายเชื้อระดับต่ำ
(Low-level disinfection)
สามารถทําลายเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อราบางชนิด
แต่ไม่สามารถทําลายเชื้อที่มีความคงทน
การทําลายเชื้อระดับสูง
(High-level disinfection)
สามารถทําลายจุลชีพก่อโรคได้ทุกชนิด รวมทั้งสปอร์ของเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นน้ํำยาทําลายเชื้อระดับนี้จึงสามารถทําให้อุปกรณ์ปราศจากเชื้อได้ แต่ต้องแช่อุปกรณ์ในน้ำยาเป็นระยะเวลานานตามข้อกําหนด
1.4.2 การทําให้ปราศจากเชื้อ (Sterilization)
1) วิธีการทางกายภาพ(Physical method)
(1) การใช้ความร้อน (Thermal or Heat sterilization)
การใช้ความร้อนแห้ง (Dry heat
การต้ม (Boiling
การเผา (Incineration)
การใช้ความร้อนชื้น (Moist heat)
(2) การใช้รังสี (Ionizing radiation)
การใช้รังสีคลื่นสั้นในการทําให้อุปกรณ์ปราศจากเชื้อเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ทั้งรังสีเอกซ์ (X-ray) และรังสีแกมมา (Gamma rays) การทําให้ปราศจากเชื้อด้วยวิธีนี้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องให้รังสีสัมผัสโดยตรงกับเชื้อจุลชีพ
2) วิธีการทางเคมี(Chemical method)
(1) การใช้แก๊ส
Ethylene oxide gas (EO)
วิธีทําให้ปราศจากเชื้อที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงและเหมาะสําหรับวัสดุที่ไม่สามารถทนความร้อนและความชื้นได้
Formaldehyde ที่ความเข้มข้น 37%
หรือที่เรียกว่า ฟอร์มาลิน (Formalin)
มีฤทธิ์ทําลายเชื้อจุลชีพได้อย่างกว้างขวาง
(2) การใช้ High-level disinfectant
Hydrogen peroxide
Peracetic acid
Glutaraldehyd
1.5 การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
1.5.1Standard precautions
การนําแนวปฏิบัติของ Universal precautions และ Body substance isolation ซึ่งเป็นการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากเลือด สารน้ำของร่างกาย สารคัดหลั่งทุกชนิด และสารขับถ่าย ยกเว้นเหงื่อ
การปฏิบัติตามหลัก Standard precautions
4)ทําความสะอาดสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนเลือดหรือสารคัดหลั่งอย่างถูกวิธี
5)บรรจุผ้าเปื้อนในถุงพลาสติกผูกปากถุงให้แน่นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อและการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง
3)หยิบจับอุปกรณ์ที่มีคมที่ใช้กับผู้ป่วยด้วยความระมัดระวัง ทิ้งอุปกรณ์มีคมที่ใช้แล้วในภาชนะที่เหมาะสม ไม่สวมปลอกเข็มกลับคืน
6)ทําความสะอาดและทําลายเชื้อ หรือทําให้ปราศจากเชื้ออุปกรณ์การแพทย์ทุกชิ้นที่ใช้กับผู้ป่วยแล้ว
2)สวมเครื่องป้องกันเมื่อคาดว่าจะสัมผัส
เลือดหรือสารคัดหลั่งผู้ป่วย
(2)เสื้อคลุม
(3)ผ้าปิดปากและจมูก
(1)ถุงมือ มี 2 ประเภท
ถุงมือปราศจากเชื้อ
การผ่าตัด
การเจาะ
ถุงมือสะอาด
การหยิบ จับ ล้าง วัสดุ หรือสถานที่สกปรก
หรือมีเชื้อโรค (ให้ใช้ถุงมืออย่างหนา)
7)หลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผลขณะปฏิบัติงาน โดยเฉพาะถูกเข็มที่ใช้กับผู้ป่วยตํา
1)ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือสบู่ยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง
(2) การล้างมือภายหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือ
สิ่งปนเปื้อนเชื้อโรค (Hygienic hand washing)
การล้างมือเพื่อขจัดเชื้อจุลชีพที่อยู่ชั่วคราวบนมือก่อนปฏิบัติการรักษาพยาบาลที่ใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ
(3) การล้างมือก่อนทําหัตถการ
(Surgical hand washing)
การล้างมือเพื่อขจัดหรือทําลายเชื้อหรือทําลายจุลชีพซึ่งอยู่ชั่วคราวบนมือ และลดจํานวนจุลชีพประจําถิ่นบนมือเพื่อเตรียมหัตถการ
(1) การล้างมือธรรมดา (Normal hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อขจัดสิ่งเปรอะเปื้อน ฝุ่นละอองเหงื่อไคลบนมือ
วิธีการ 7 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 4 มือสองข้างจับล็อคกัน ให้ฝ่ามืออีกข้างถูหลังนิ้วมือและนิ้วมือถูนิ้วมือ
ขั้นตอนที่ 5 ฟอกหัวแม่มือโดยรอบ ด้วยฝ่ามือ
ขั้นตอนที่ 3 ฝ่ามือถูฝ่ามือและกางนิ้วมือ เพื่อถูง่ามนิ้วมือ
ขั้นตอนที่ 6 ใช้ปลายนิ้วมือถูฝ่ามือทําสลับกันทั้ง 2 ข้าง
ขั้นตอนที่ 2 ฝ่ามือถูหลังมือและกางนิ้วมือ เพื่อถูง่ามนิ้วมือ
ขั้นตอนที่ 7 ถูรอบข้อมือทั้ง 2 ข้าง
ขั้นตอนที่ 1 เปิดน้ำให้ราดมือทั้งสองข้าง ฟอกด้วยสบู่ให้ทั่วมือ โดยหันฝ่ามือถูฝ่ามือ
(4) การใช้ Alcohol hand rub
แทนการล้างมือในกรณีเร่งด่วน หรือในบริเวณที่ไม่มีอ่างล้างมือ แต่ไม่ควรใช้ในกรณีที่มือเปื้อนสิ่งสกปรก หรือสารคัดหลั่งจากร่างกายที่มองเห็นด้วยตาเปล่า
1.5.2 Transmission-base precautions
การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อที่ทําให้เกิดโรคตามทางที่เชื้อออกจากตัวผู้ป่วย และทางที่จะเข้าสู่บุคคล ซึ่งการแพร่กระจายเชื้อของผู้ป่วยจะต้องทราบทางออกและทางเข้าของเชื้อโรคแต่ละชนิด
2) การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากฝอยละออง
น้ำมูกน้ำลาย(Droplet precautions)
(3)หากไม่มีห้องแยกและไม่สามารถจัดให้ผู้ป่วยอยู่รวมกันได้ ควรจัดระยะห่างระหว่างเตียง ไม่น้อยกว่า 3 ฟุต
(4)ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องใส่ ผ้าปิดปาก-จมูก เมื่อให้การดูแลผู้ป่วยในระยะ 3 ฟุต
(2)ผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกัน จัดให้อยู่ห้องเดียวกันได้
(5)จํากัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หากจําเป็นควรให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิดชนิดใช้แล้วทิ้ง (Disposable mask)
(1)แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยก และปิดประตูทุกครั้งหลังเข้า
หรือออกจากห้องผู้ป่วย
3) การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัส
(Contact precautions)
(3)สวมเสื้อคลุมหากคาดว่าอาจสัมผัสเลือดสารคัดหลั่งหนองอุจจาระของผู้ป่วย
(4)จํากัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หากจําเป็นต้องเคลื่อนย้าย ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการแปดเปื้อนเชื้อในสิ่งแวดล้อม
(2)ถอดถุงมือและล้างมือด้วยสบู่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนออกจากห้องผู้ป่วย
(5)หากสามารถทําได้ควรแยกอุปกรณ์ชนิด Non-critical items สําหรับผู้ป่วยโดยเฉพาะ หากไม่สามารถแยกอุปกรณ์ได้ต้องทําความสะอาดและทําลายเชื้อก่อนนําไปใช้กับผู้ป่วยรายอื่น
(1)สวมถุงมือเมื่อให้การดูแลผู้ป่วย และเปลี่ยนถุงมือคู่ใหม่เมื่อสัมผัสสิ่งคัดหลั่งหรือส่วนของร่างกายที่น่าจะมีเชื้อโรคจํานวนมากขณะให้การพยาบาลผู้ป่วยรายเดิม
1)การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ(Airborne precautions)
(3)อากาศภายในห้องแยกควรถูกดูดออกภายนอกโดยตรงหรือผ่านเครื่องกรองที่มีประสิทธิภาพ ห้องแยกควรมีการหมุนเวียนอากาศอย่างน้อย 6 รอบต่อชั่วโมง
(4)ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องใส่ผ้าปิดปาก-จมูก
ชนิด N95
(2)ผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกัน จัดให้อยู่ห้องเดียวกันได้
(5)จํากัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ในกรณีความจําเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกห้องให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิดใช้แล้วทิ้ง (Disposable mask)
(1)แยกผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อไว้ในห้องแยกพิเศษ (Isolation) และปิดประตูทุกครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
4) การทําลายเชื้อและการทําให้ปราศจากเชื้อต้องกระทําอย่างถูกต้อง เพื่อให้เครื่องมือ เครื่องใช้ อาคาร สถานที่ ปราศจากเชื้อโรคที่จะทําอันตรายต่อผู้ป่วยและบุคลากร
5) การใช้ยาต้านจุลชีพอย่างถูกต้องและมีนโยบายที่แน่นอน การใช้ยาต้านจุลชีพมากเกินไปหรือใช้อย่างพร่ําเพรื่อจะทําให้มีเชื้อดื้อยามาก
3) สิ่งแวดล้อม อาคาร สถานที่ ควรให้สะอาดและแห้ง ไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคหรือที่อยู่ของสัตว์พาหะ น้ำดื่ม น้ำใช้ สะอาดได้มาตรฐาน
(1) การทําลายขยะ
(2) การแยกขยะในโรงพยาบาล
ขยะทั่วไป แยกเป็นขยะแห้งและขยะเปียก ใส่ถุงสีดํา
ขยะเป็นพิษ เช่น แท่งแก๊ส โซดาลามของงานวิสัญญี ถ่านไฟฉาย อุปกรณ์ที่ใช้ในการให้เคมีบําบัด เป็นต้น
ขยะติดเชื้อ ใส่ถุงสีแดง
ขยะที่นํากลับไปใช้ใหม่ (Recycle) ใส่ถุงสีขาว เช่น กระดาษ ขวดน้ำเกลือ เป็นต้น
6) การเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล เพื่อให้ทราบลักษณะการเกิดและการกระจายของการติดเชื้อในโรงพยาบาล ทราบสถานการณ์หรือแนวโน้มของการติดเชื้อในโรงพยาบาล
2) ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันโรคน้อย ควรจะแยกจากแหล่งของเชื้อโรค และพยายามรักษาสาเหตุที่ทําให้ภูมิคุ้มกันโรคเสียไป
7) การติดเชื้อของบุคลากรในขณะปฏิบัติงานในโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์อาจจะได้รับเชื้อในขณะปฏิบัติงานได้ 3 ทาง คือถูกเข็มตําหรือของมีคมบาดมือมีบาดแผลหรือผิวหนังแตกเป็นรอยและเลือดหรือสารคัดหลั่งกระเด็นเข้าตา ปาก จมูก
1) กําจัดเชื้อโรค แหล่งของเชื้อโรคอาจจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรืออาคารสถานที่ ต้องกําจัดให้มากที่สุดเท่าที่ทําได้
1.6 กระบวนการพยาบาลในการป้องกันและ
ควบคุมการติดเชื้อ
ยึดหลักปฏิบัติ Aseptic technique หรือ เทคนิคปลอดเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องมือเครื่องใช้และสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้ปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ ที่อาจเข้าสู่ร่างกาย และช่วยลดปัญหาการติดเชื้อในโรงพยาบาลตามมาได้ และถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
1.6.1การประเมินความเสี่ยงต่อ
การติดเชื้อของผู้ป่วย (Assessment)
โดยการซักประวัติและตรวจร่างกายเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วย
การรักษาที่ได้รับ ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ เป็นต้น
1.6.2การวินิจฉัยทางการพยาบาล
(Nursing diagnosis)
เมื่อรวบรวมข้อมูลจากการประเมินมาแล้วนําข้อมูลที่ได้มากําหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ตัวอย่าง ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ในการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
1)เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
2)มีโอกาสเกิดการระบาดของโรคในชุมชน
1.6.3 การวางแผนและให้การพยาบาล
(Planning and Implementation)
2) ใช้หลัก Airborne precautions
3) ให้คําแนะนําการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วยและญาติ
1) ล้างมือก่อนและหลังการให้การพยาบาลผู้ป่วย
4) รายงานอุบัติการณ์การเฝ้าระวัง
การเกิดโรคต่อคณะกรรมการการติดเชื้อของโรงพยาบาล
1.6.4 การประเมินผลการพยาบาล(Evaluation)
1) ไม่มีการแพร่กระจายเชื้อสู่ญาติและบุคลากรในหอผู้ป่วย