Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติเวชและนิติจิตเวช - Coggle Diagram
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติเวชและนิติจิตเวช
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติเวช และนิติจิตเวช
กฎหมายเกี่ยวกับความผิดทางอาญาของบุคคลวิกลจริต
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65
“ผู้ใดกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”
การพิจารณาความผิดทางอาญา
1)ไม่สามารถรู้ผิดชอบหมายถึงขณะประกอบคดีผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่รู้ว่าการกระทำของตนถูกหรือผิดดีหรือชั่ว ควรหรือไม่ควร
2) ไม่สามารถบังคับตนเองได้ หมายถึง ขณะประกอบคดี ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่สามารถห้ามจิตใจ มิให้ร่างกายทำการนั้นได้อันเกิดจากโรคจิต จิตบกพร่อง หรือจิตฟั่นเฟือน
ความสามารถในการต่อสู้คดี หรือวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายมาตรา 14
ในระหว่างทำการสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหา หรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริต และไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้พนักงานสอบสวนหรือศาลแล้วแต่กรณีสั่งให้พนักงานแพทย์ตรวจผู้นั้น เสร็จแล้วให้เรียกพนักงานแพทย์ผู้นั้นมาให้ถ้อยคำหรือให้การว่าตรวจได้ผลประการใด
ในกรณีที่พนักงานสอบสวน หรือศาลเห็นว่าผู้ต้องหา หรือจำเลยผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีให้งด การสอบสวนไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาไว้จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริตหรือสามารถต่อสู้คดีได้ และให้มีอำนาจส่งตัว ผู้นั้นไปยังโรงพยาบาล โรคจิตหรือมอบให้แก่ผู้อนุบาลผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้อื่นเต็มใจรับไปดูแลรักษาตามแต่ จะเห็นสมควร
กรณีที่ศาลงดการไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณาดัง บัญญัติไว้ในวรรคก่อนศาลจะสั่ง จำหน่ายคดีเสียชั่วคราวก็ได้”
หลักการพิจารณาความสามารถในการต่อสู้คดี
รู้ว่าตนเองต้องคดีอะไร
รู้ถึงความหนักเบาของโทษที่จะได้รับ
สามารถเล่ารายละเอียดของคดีได้
สามารถเข้าใจขั้นตอนการดำเนินคดี
สามารถให้ปากคำต่อกระบวนการยุติธรรมได้
สามารถร่วมมือกับทนายในการปกป้องสิทธิตนเองได้
วิธีการเพื่อความปลอดภัย
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 48
“ถ้าศาลเห็นว่าการปล่อยตัวผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือนซึ่งไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับการลดโทษตามมาตรา 65จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่ประชาชนศาลจะสั่งให้ส่งตัวไปควบคุมไว้ในสถานพยาบาลก็ได้และคำสั่ง นี้ศาลจะเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้”
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 49
ในกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษ หรือพิพากษามีความผิด แต่รอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษบุคคลใด ถ้าศาลเห็นว่าเป็นผู้ติดยาเสพติดให้โทษศาลจะกำหนดในคำพิพากษาว่าบุคคลนั้นจะต้องไม่เสพย์สุรายาเสพติดให้โทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง สองอย่างภายในระยะเวลาไม่เกินสองปีนับแต่วันพ้นโทษหรือวันปล่อยตัว เพราะรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษก็ได้
วิธีเพิ่มโทษ ลดโทษ และการรอการลงโทษ
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
โทษ เมื่อศาลได้คำนึงถึงประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของ ผู้นั้นหรือสภาพความผิดหรือเหตุอื่นอันควรปราณีแล้วเห็นเป็นการสมควร
สมควร ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกำหนดโทษไว้หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวเพื่อให้โอกาส ผู้นั้นกลับตัวภายในระยะเวลาทีศาลกำหนดแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันทีศาลพิพากษา โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมประพฤติของผู้นั้นหรือไม่ก็ได้
เงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้กระทำผิดนั้นศาลจะกำหนดข้อเดียวหรือหลายข้อดังต่อไปนี้
1) ให้ไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานที่ศาลระบุไว้เป็นครั้งคราว เพื่อเจ้าพนักงานจะได้สอบสวน
2) แนะนำ ช่วยเหลือ หรือตักเตือนตามที่เห็นสมควรในเรื่องความประพฤติและการประกอบอาชีพ
3) ให้ฝึกหัดหรือทางานอาชีพอันเป็นกิจลักษณะ
4) ให้ละเว้นการคบหาสมาคม หรือการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดเช่นเดียวกันนั้นอีก
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 57
“เมื่อความปรากฏแก่ศาลหรือความตามคำแถลงของพนักงานอัยการหรือเจ้าหนักงานว่าผู้กระทำความผิดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ศาลกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณีแต่ถ้าในเวลาที่ศาลได้กำหนดตามมาตรา 56 ศาลอาญาตักเตือนผู้กระทำความผิดหรือกำหนดการลงโทษที่ยังไม่ได้กำหนดหรือลงโทษ ซึ่งรอไว้นั้นก็ได้”
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58
“ถ้าภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา 56 ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้กระทำความผิด ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษและศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้นให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง แล้วแต่กรณีแต่ถ้าในเวลาที่ศาลได้กำหนดตามมาตรา 56ผู้นั้นมิได้กระทำความผิดดังกล่าวมาในวรรคแรกให้ผู้นั้นพ้นจากการที่ถูกกำหนดโทษหรือถูกลงโทษในคดีนั้นแล้วแต่กรณี
ความรับผิดชอบในทางอาญา
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 66
ความมึนเมาเพราะเสพย์สุรา หรือสิ่งเมาอย่างอื่นจะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวตามมาตรา 65 ไม่ได้ เว้นแต่ความมึนเมานั้นจะได้เกิดโดยผู้เสพย์ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้มึนเมาหรือได้เสพย์โดยถูกขืนใจให้เสพย์และได้กระทำความผิดในขณะไม่สามารถรับผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ผู้กระทำความผิดจึงจะได้รับยกเว้นโทษสำหรับความผิดนั้นแต่ถ้าผู้นั้นยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้างหรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 246
ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อน
จนกว่าเหตุอันสมควรทุเลาจะหมดไปในกรณีต่อไปนี
1) เมื่อจำเลยวิกลจริต
2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก
3) ถ้าจำเลยมีครรภ์แต่เจ็ดเดือนขึ้นไป
4)ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงเดือนในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้น ให้ศาลสั่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจัดให้บุคคลดังกล่าวแล้วอยู่ในสถานที่อันควร”
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 248
ถ้าบุคคลซึ่งต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิตเกิดวิกลจริตก่อนประหารชีวิตให้รอการประหารชีวิตไว้ก่อนจนกว่าผู้นั้นจะหายขณะทุเลาการประหารชีวิตอยู่นั้น ศาลมีอำนาจยกมาตรา 46 วรรค (2)แห่งกฎหมายลักษณะอาญามาบังคับ
ถ้าบุคคลวิกลจริตนั้นหายภายหลังปีหนึ่ง นับแต่วันพิพากษาถึงที่สุดให้ลดโทษประหารชีวิตลงเหลือจำคุกตลอดชีวิต”ในระบบการพิจารณาคดีของไทยการตัดสินว่าวิกลจริตหรือไม่เป็นเรื่องของศาล โดยอาศัยจิตแพทย์ส่วนกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองคนวิกลจริตในประเทศไทยยังไม่มีถ้าคนวิกลจริตถูกข่มขืนกระทำชาเรา ถ้าเป็นวิกลจริตจริงก็ถือว่าไม่รู้ตัวเป็นการยินยอมเอาผิดไม่ได้
ถ้าเป็นวิกลจริตจริงก็ถือว่าไม่รู้ตัว เป็นการยินยอมเอาผิดไม่ได้ถ้าเป็นคนปัญญาอ่อนขึ้นอยู่กับการพิจารณา และพยานอาจจะเป็นการยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ได้ในการพิจารณาคดีความแพ่งต่างกับการพิจารณาคดีอาญาบุคคลที่วิกลจริตนั้นเมื่อพิสูจน์ได้ว่าวิกลจริตจริง
ยกเว้นแต่บางเรื่องที่ศาลกำหนดไว้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ
ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา29
“บุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้าภริยาสามีก็ดี ผู้บุพการีกล่าวคือ บิดา มารดาปู่ย่า ตายาย ทวดก็ดี ผู้สืบสันดานกล่าวคือ ลูกหลาน เหลน ลื่อก็ดีผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดีร้องขอต่อศาลแล้วศาลจะสั่งให้บุคคลผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้คำสั่งอันนี้ให้โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา”
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา30
“บุคคลผู้ซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น ท่านว่าต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล”
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา31
การใด ๆ อันบุคคลผู้ซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ทำลงไปการนั้นท่านว่าเป็นโมฆียะ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา32
“การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตได้ทำลงแต่หากบุคคลนั้นศาลยังมิได้สั่ง ให้เป็นคนไร้ความสามารถไซร้ท่านว่าการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าได้ทำลงในเวลาซึ่งบุคคลนั้นวิกลจริตอยู่และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้ทำเป็นคนวิกลจริต”
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา429
“บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ต้องรับผิดในผลที่ตนละเมิดบิดา มารดา หรือผู้อนุบาลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดชอบร่วมกับเขาด้วยเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น”
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา430
ครูบาอาจารย์นายจ้างหรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดีชั่ว ครั้ง ชั่ว คราวก็ดีจะต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิดซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆมิได้ระมัดระวังตามสมควร
ความหมายเกี่ยวกับผู้ดูแล
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 373
“ผู้ใดควบคุมดูแลบุคคลวิกลจริต ปล่อยปละละเลยให้บุคคลวิกลจริตนั้น
อาจเที่ยวตามลำพังต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท”
ความหมายและความสำคัญของนิติเวชและนิติจิตเวช
จิตเวช หมายถึง ความเจ็บป่วยทางจิต
ความผิดปกติของอารมณ์และบุคลิกภาพ
นิติเวช หมายถึง การนำหลักทางการแพทย์ประยุกต์ใช้
เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทและพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีความ
นิติจิตเวช หมายถึงการนำหลักจิตเวชประยุกต์เพื่อประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรมและความสงบของสังคม
กระบวนการเกี่ยวกับนิติจิตเวช
บุคคลที่สงสัยว่าวิกลจริต หรือมีปัญหาสุขภาพจิตขณะประกอบคดี
ถูกจับดำเนินคดี
ปล่อยตัวถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้กระทำความคิด
มีหลักฐานว่ากระทำความผิด
งดสอบสวนหรือพิจารณาคดี
ตรวจวินิจฉัยตาม มาตรา 14
รักษาตามขั้นตอน
อาการทางจิตทุเลา
อาการทางจิตไม่ทุเลา
แจ้งผลการรักษาเป็นระยะ
1 more item...
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยทางนิติจิตเวช
1) พิจารณาวัตถุประสงค์ว่าส่วนตัวผู้ป่วยมาเพื่อต้องการทราบอะไร
2) การตรวจทางจิตเวชต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ
โดยได้ข้อมูลจากทีมนิติจิตเวช
3) การรวบรวมข้อมูลแบ่งเป็น 2 ส่วน
3.1) ส่วนที่เกี่ยวกับคดี
3.2) ส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางจิต การวิเคราะห์วินิจฉัยโดยการรวบรวมข้อมูลทั้ง หมดจากทีมนิติจิตเวชและเข้าประชุมสรุปร่วมกัน
ขั้นตอนในการตรวจวินิจฉัยทางนิติจิตเวช
1) พิจารณาวัตถุประสงค์
คือ ต้องกระจ่างในความมุ่งหมาย ให้พิจารณาจากใบส่งตัวเพื่อที่จะทราบว่าใคร (ตำรวจ ศาล เรือนจำ คุมประพฤติ) นำส่งขณะนี้คดีอยู่ชั้นไหน ส่งมาจากแหล่งใด ผู้ป่วยต้องคดีอะไรต้องการทราบอะไรบ้าง เมื่อใด
2) การตรวจทางจิตเวช
ต้องรีบทำอย่างละเอียด โดยการตรวจสภาพจิต ตรวจร่างกาย
ตรวจทางระบบประสาท ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทดสอบทางจิตวิทยา
การเฝ้าดูพฤติกรรม โดยทีมจิตเวช ได้แก่ จิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์
นักอาชีวบำบัด และบุคคลที่เกี่ยวข้อง
3) การรวบรวมข้อมูล
แบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการก่อคดี
โดยซักถามหรือขอข้อมูลจากผู้ใกล้ชิดพฤติกรรมขณะประกอบคดีจากพยานบุคคล ตำรวจหรือจากพยานเอกสารอื่น ๆ จากทางราชการ
สำเนาคำฟ้องจากอัยการ
พฤติกรรมผู้ป่วยขณะอยู่ในโรงพัก
ส่วนที่เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความเจ็บป่วยทางจิตเวช
ตลอดจนการตรวจรักษาจากญาติ หรือจากเอกสารทางการแพทย์อื่น ๆ
4) วิเคราะห์ วินิจฉัย
โดยการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดซึ่งการพิจารณาข้อสรุปเพื่อการวินิจฉัยดำเนินการโดยทีมงานจิตเวชในการประชุมร่วมกันของทุกฝ่ายในที่ประชุมนิติจิตเวชเพื่อความรอบด้านและยุติธรรม
5) สรุปผลการวินิจฉัย
แบ่งออกเป็น
การวินิจฉัยทางคลินิก (clinical diagnosis)
เพื่อการรักษาการพยากรณ์โรค
การวินิจฉัยทางกฎหมาย (legal diagnosis) ส่งที่ต้องพิจารณา คือ
ขณะตรวจ วิกลจริต และสามารถต่อสู้คดีได้หรือไม่
ขณะประกอบคดี สามารถรู้ผิดชอบ หรือบังคับตนเองได้หรือไม่
ความเห็นหรือข้อเสนอแนะ เช่น ภาวะอันตราย
บทบาทของพยาบาล
บทบาทของพยาบาลกับงานนิติจิตเวช
สามารถสรุปได้ดังนี
1) ใช้การสังเกต และการบันทึกอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด
และเป็นระยะๆ
2) เก็บข้อมูลของผู้ป่วยเป็นความลับ เว้นแต่เป็นเรื่องทางกฎหมาย
3) ในกรณีที่บริษัทประกันร้องขอข้อมูลของผู้ป่วยพยาบาลต้องแจ้งให้แพทย์เจ้าของไข้ทราบแพทย์อาจจะให้พยาบาลช่วยดำเนินการในการรวบรวมข้อมูลจากนั้นให้ผนึกซอง ตีตราลับและส่งถึงฝ่ายแพทย์ของบริษัทประกันให้เร็วที่สุด
4) ในกรณีผู้ป่วยจิตเวชพยาบาลควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับอาการของผู้ป่วยทีอาจก่อนให้เกิดอันตราย ในอนาคต
สรุป
พยาบาลมีบทบาทที่ในการบาบัดรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิตใจติดตามผลการรักษาผู้ป่วย นิติจิตเวช ประสานงานกับทีมนิติจิตเวชและพิทักษ์สิทธิ ของผู้ป่วยโดยแหล่งนาส่งผู้ป่วยนิติจิตเวช อาจเป็นญาติตำรวจ หน่วยงานราชการ ทนายหรือศาล
บทบาทของพยาบาลกับการชันสูตรพลิกศพ
หลักการเขียนรายงานการชันสูตรพลิกศพ
กรณีที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ไปชันสูตรแทนแพทย์
มีหลักการในการเขียนรายงาน ดังนี
1) เขียนรายงาน ณ ที่เกิดเหตุโดยมีการจดบันทึกเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทั่ว ไป ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับศพความเห็นเกี่ยวกับศพ การดำเนินการเกี่ยวกับศพ
2) รายงานการผ่าศพชันสูตร ซึ่งเป็นตรวจสอบสภาพภายนอก / ภายในของศพนั้นๆ
3) การตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อดูพยาธิสภาพ
4) การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูสารในร่างกาย
5) การลงความเห็นในเรื่องเหตุ และพฤติการณ์ที่ตาย
การบันทึกอาการและอาการแสดง
การบันทึกอาการและอาการสามารถถือเป็นพยาบาลเอกสารได้เช่นกันพยาบาลควรมีหลักในการบันทึกอาการและอาการแสดง ดังนี้
1) บันทึกอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง กระชับ ชัดเจน
ใช้การขีดฆ่าและเขียนชื่อกำกับแทนการลบ
2) ต้องมีการสังเกตและบันทึกอาการ อาการแสดงเป็นระยะๆ
3) ในการบันทึกต้องระมัดระวังการใช้ภาษา อย่าใช้อารมณ์ในการเขียน
4) ควรเขียนให้สื่อความหมายในแง่การรักษาและกรณีที่เป็นพยานเอกสาร
5) พึงระลึกไว้เสมอว่าบันทึกอาการและอาการแสดงของผู้ป่วยเป็นเอกสารลับ และผู้ป่วยสามารถขอดูได้จึงไม่ควรเปิดเผยเอกสารนี้กับผู้อื่น ยกเว้นแพทย์หรือในกรณีที่ต้องมีการเปิดเผยตามข้อกำหนดของศาล
หลักการเก็บรักษาวัตถุพยาน
หากพยาบาลจะต้องเข้าไปมีบทบาทในการจัดการกับสิ่งของหรือทรัพย์สินที่มีติดตัวผู้ป่วยหรือศพมา หลักปฏิบัติ ในการเก็บรักษาสิ่งของหรือทรัพย์สินซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นวัตถุพยาบาล คือ
1) รวบรวมวัตถุพยานหรือสิ่งที่สงสัยว่าเป็นวัตถุพยาน
2) แยกหีบห่อ การบรรจุซอง เขียนรายละเอียด ป้องกันการปลอมแปลงเจือปน หรือเสื่อมสภาพ
3) ส่งมอบวัตถุพยานด้วยความระมัดระวัง รัดกุม มีบันทึกการส่งมอบและผู้รับผิดชอบ
กฎหมายได้กำหนดให้ต้องทำการชันสูตรพลิกศพในกรณีที่สงสัยว่ามีการตายโดยผิดธรรมชาติหรือตายในระหว่างความควบคุมของเจ้าหน้าที่(มาตรา 148) การตายโดยผิดธรรมชาติประกอบด้วย
1) การฆ่าตัวตาย (committed suicide)
2) ถูกผู้อื่นทำให้ตาย (homicide)
3) ถูกสัตว์ทำร้ายตาย
4) ตายโดยอุบัติเหตุ (accident)
5) ตายโดยยังมิปรากฏเหตุ (sudden & unexpected death)
หลักการเขียนรายงานการชันสูตรบาดแผล
ผู้ป่วยหรือแม้แต่ศพ อาจมีบาดแผลเกิดขึ้นซึ่งการชันสูตรและบันทึกเกี่ยวกับบาดแผลนั้นสามารถใช้เป็นพยานเอกสารได้ ดังนั้น สิ่งที่พยาบาลต้องบันทึกคือ
1) ข้อเท็จจริง (จำนวน ชนิด ตำแหน่ง ขนาด สิ่งแปลกปลอมที่พบในแผลผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ วิธีการรักษาพยาบาลและความผิดปกติที่เป็นผลจากการบาดเจ็บ)
2) ความเห็นเกี่ยวกับแผล