Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง, นางสาว สุรีรัตน์ ใยเทศ เลขที่ 47 รหัส…
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง
ทารกคลอดก่อนกำหนด
สาเหตุ / ปัจจัยส่งเสริม
มารดามีภาวะแทรกซ้อน
ความดันโลหิตสูง
มีเลือดออก
ไตรมาสที่ 2 หรือ 3
ตั้งครรภ์แฝด มารดาติดยาเสพติด
มารดาอายุน้อยกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
ลักษณะของทารกเกิดก่อนกำหนด
น้ำหนักน้อย รูปร่างรวมทั้งแขนขามีขนาดเล็ก
ผิวหนังบางสีแดงและเหี่ยวย่น
หายใจไม่สม่ำเสมอ มีการกลั้นหายใจเป็นระยะ
(Periodic breathing) เขียว
หัวนมมีขนาดเล็ก หรือมองไม่เห็นหัวนม
ท้องป่อง เพราะกล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง
ปัญหาที่พบได้ในทารก
คลอดก่อนกำหนด
1.ปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิ
ผลกระทบ
การเพิ่มการเผาผลาญและภาวะกรด
น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
ภาวะล้าไส้เน่า (NEC)
ภาวะหยุดหายใจ(Apnea)
การดูแล
จัดให้อยู่ในที่อุณภูมิเหมาะสม 32 - 34 องศาเซลเซียส
ใช้ warmer, incubator หรือผ้าห่มห่อตัว
วัดอุณภูมิเด็ก Body temperature เด็ก
36.8-37.2 องศาเซลเซียส
หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้แอร์ พัดลม ระวัง “Cold stress”
การพยาบาลทารกที่ได้รับการรักษาในตู้อบ
1.ไม่เปิดตู้อบโดยไม่จำเป็นให้การพยาบาล
โดยสอดมือเข้าทาวหน้าต่างตู้อบ
2.ป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกายทารก 4 ทาง
3.ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุก 4ชม.และ
ปรับให้เหมาะสมกับสภาพของทารก
4.เช็ดทำความสะอาดตู้ทุกวัน
การควบคุมอุณหภูมิทารกที่อยู่ใน Incubator
ให้อุณหภูมิกายทารกอยู่ในเกณฑ์ปรกติคือ 37 o C (+/-0.2 C)
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่36 C
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.2C ทุก 15 – 30 นาที (max 38 C)
ควรใส่ปรอทสำหรับวัดอุณหภูมิตู้อบ
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้36.8 C -37.2 C 2ครั้งติดกันให้ปรับ
อุณหภูมิตู้อบตาม (NTE) แล้วติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก
15 -30 นาทีอีก 2 ครั้งและต่อไปทุก 4 ชม.
2.ปัญหาทางระบบทาง
เดินหายใจและพิษออกซิเจน
Respiratory Distress Syndrome(RDS)
ภาวะหายใจลำบากเนื่องจากการขาดสารลดแรงตึงผิวของถุงลม
อาการและอาการแสดง
มีอาการหายใจล าบาก (Dyspnea) หายใจเร็วกว่า 60 ครั้ง/ นาที
อาการเขียว (Cyanosis)
ภาพถ่ายรังสีปอดมีลักษณะ ground glass appearance
อาจมีอันตรายจากการหายใจล้มเหลวได้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกเกิด
การป้องกัน
มารดาที่เสี่ยงจะคลอดก่อนกำหนดแต่ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตก โดยเฉพาะครรภ์ 24-34 สัปดาห์ ควรได้antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24 ชม. ก่อนคลอด เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างสารลดแรงตึงผิว และปอดมีความสมบูรณ์มากขึ้น
การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด ซึ่งจะทำให้เลือดเป็นกรด ขัดขวางการทำงานของการสร้างสารลดแรงตึงผิว
การรักษา
การให้ออกซิเจน ตามความต้องการของทารก
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน โดยการปรับลดความเข้มข้นและอัตราไหลของออกซิเจน
(RDS)apnea of prematurity
หยุดหายใจนานกว่า 20 วินาที มี cyanosis
central apnea
ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม
obstruction apnea
ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
จัดท่านอนที่เหมาะสม ศีรษะสูง เงยคอเล็กน้อย
สังเกตอาการขาดออกซิเจน หายใจเร็ว เขียว ปีกจมูกบาน
ให้การพยาบาลทารกขณะใช้เครื่องช่วยหายใจ
ระวัง การส้าลัก
ระยะเวลาการตรวจหาROP
ตรวจครั งแรกเมื่อทารกอายุ 4 – 6 สัปดาห์หรืออายุหลังเกิด 32 สัปดาห์
ถ้าไม่พบการด้าเนินของโรค ตรวจซ ้าทุก 4 สัปดาห์
หลังจากทารกกลับบ้านแล้วถ้าไม่มีการด้าเนินของโรค นัดมาตรวจซ้ำ
หลังจากทารกกลับบ้านแล้วถ้าไม่มีการด้าเนินของโรค นัดมาตรวจซ้ำ
การวินิจฉัย
Zone I ระยะวงกลมซึ่งมีรัศมีเป็นสองเท่าของระยะทางระหว่างขั้ว
ประสาทตา(optic disc) และศูนย์กลาง จอประสาทตา (macula)
Zone II จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone Iจนถึง nasal ora serrata
Zone III จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone IIจนถึง temporal ora serrata
3.ปัญหาการติดเชื้อ
NEC (Necrotizing Enterocolitis)
Sepsis
ปัญหาระบบทางเดินอาหาร
การย่อยและการดูดซึมไม่ดี
เป็นผลมาจากภาวะพร่องออกซิเจน
การได้รับอาหารไม่เหมาะสม เร็วเกินไป
การพยาบาล
แยกจากเด็กติดเชื้อ / แยกผู้ดูแล
ห้ามวัดปรอททางทวารหนัก
NPO
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
เฝ้าระวังสังเกตภาวะติดเชื้อเฝ้าระวังภาวะล้าไส้ทะลุ
ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก aseptic technique
4.ปัญหาระบบหัวใจ , เลือด
รักษา PDA โดยใช้ยา Indomethacin
ขนาดที่ให้ 0.1-0.2 มก./กก.ทุก 8 ชม. X 3 ครั้ง
ข้อห้ามใช้
BUN > 30 mg/dl , Cr > 1.8 mg/dl
Plt. < 60,000 /mm3
urine < 0.5 cc/Kg/hr นานกว่า 8 hr
มีภาวะ NEC
รักษา PDA โดยใช้ยา ibuprofen
สามารถปิดได้ร้อยละ 70
ให้ทุก 12-24 ชั่วโมงจำนวน 3-4 ครั้ง
เพื่อช่วยยับยั้งการสร้างprostaglandin ซึ่งจะทให้ PDA ปิด
ได้ผลดีในทารกน้ำหนักตัว 500-1500 กรัม อายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ และอายุไม่เกิน 10 วัน
5.ปัญหาเลือดออกในช่องสมอง
IVH (Intra-ventricular Hemorrhage)
Hydrocephalus
ปัญหาทางโภชนาการและการดูดกลืน
Hypoglycemia
NEC(Necrotizing Enterocolitis)
GER(Gastroesophageal Reflux)
การพยาบาล
ให้อาหารอย่างเหมาะสมกับสภาพของทารก
gavage feeding (OG tube) ในเด็กเหนื่อยง่ายดูดกลืนไม่ดี
IVF ให้ได้ตามแผนการรักษา
ระวังภาวะ NEC: observe อาการท้องอืด content ที่เหลือ
ประเมินการเจริญเติบโตชั่งน ้าหนักทุกวัน (เพิ่มวันละ 15-30กรัม)
ปัญหาพัฒนาการล่าช้า
Eye to eye contact
Skin to skin contact
การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนด
1.การมีอุณหภูมิร่างกายต่้ามากๆ "Cold stress"
จะท้าให้ เกิดภาวะแทรกซ้อน
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้
อยู่ในระดับปกติ(36.8 - 37.2 ซ.)
ศูนย์ควบคุมความร้อนในสมองส่วน Hypothalamus
ยังท้าหน้าที่ไม่สมบูรณ์
ต่อมเหงื่อไม่เจริญจึงระบายความร้อนออกทางผิวหนังไม่ได้
พื้นที่ผิวของร่างกายมากเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว
การพยาบาล
จัดให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่ทำให้ทารกมีการใช้ออกซิเจนและสารอาหารน้อยที่สุดโดยที่อุณหภูมิของร่างกายไม่เปลี่ยนแปลง
ป้องกันการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายทั้งโดยการนำ การพาความร้อน การแผ่รังสีและการระเหย
ประเมินอุณหภูมิร่างกายตามอาการของทารก พร้อมทงั้สังเกตอาการทางคลินิกของการมีอุณหภูมิร่างกายต่ำหรือสูงกว่าปกติ
2.การดูแลด้านการหายใจให้ได้
รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ทารกเกิดก่อนกำหนดมีความไม่สมบูรณ์ของการหายใจจาก
ฮีโมโกลบินของทารกเป็น Hb-F ซึ่งรับออกซิเจนได้ดี
แต่ปล่อยให้เซลล์ได้น้อย
รีเฟล็กซ์เกี่ยวกับการไอมีน้อย และหายใจทางปากยังไม่ได้
การพยาบาล
ประเมินการหายใจอัตราการใช้แรง retraction สีผิว ปีก จมูก
และการกลั้น หายใจ บ่อยครั้งตามอาการของทารก
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง ดูดเสมหะ (ถ้ามี)
จัดท่านอนให้คอตรงไม่ก้มหรือเงยเกินไป
ขณะมีการกลั้นหายใจ ควรกระตุ้นโดยการเขี่ยหรือเขย่าที่
ใบหน้าหรือลำตัว ถ้ากลั้นหายใจบ่อยๆ
ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษา
ดูให้ความอบอุ่นแก่ทารก ป้องกันการเกิดcold stress
การให้สารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
ความต้องการสารอาหารประจำวัน สูงกว่าทารกเกิดครบก้าหนด
มีการสะสมอาหารขณะอยู่ในครรภ์มารดาน้อย
เกิดภาวะที่ท้าให้มีการใช้พลังงานในร่างกายมากกว่าปกติ
เช่น ภาวะหายใจล้าบาก
ความสมบูรณ์ของระบบทางเดินอาหารมีน้อย
การพยาบาล
ใน 1 –2 วันแรกหลังเกิดดูแลให้งดน้ำและนมจะให้สารน้ำและสารอาหารรทางหลอดเลือดดำในช่วงนี้
ดูแลการให้อาหารทางปากแพทย์จะพิจารณาเริ่มให้อาหารทางปากแก่ทารกเมื่อภาวะการหายใจค่อนข้างคงที่ ฟังได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้
การให้นมแก่ทารก พยาบาลควรส่งเสริมให้ทารกได้รับนมมารดาให้มากที่สุดเพราะมีภูมิคุ้มกันโรคและสามารถป้องกันโรค Necrotizing enterocolits ได้
ประเมินความสามารถในการรับนมได้ของทารกเช่นอาการท้องอืด สำรอกนม
ดูแลการได้รับสารน้ำและสารอาหารทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษา
ชั่งน้ำหนักทุกวัน ในสัปดาห์แรกทารกจะมี physiological weight loss ประมาณ 10-20% ของน้ำหนักแรกเกิด
ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงภาวะที่จะทำให้ทารกมีการใช้พลังงานในร่างกายมากกว่าปกติ
การป้องกันการติดเชื้อ
ทารกเกิดก่อนกำหนดมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
การสร้าง IgM ยังไม่สมบูรณ์และได้รับ IgG จากมารดามาน้อย ไม่ได้รับ Ig A จากน้ำนมมารดา
เม็ดเลือดขาวมีน้อยและทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์
ผิวหนังและเยื่อบุปกป้องการติดเชื้อได้น้อย
การพยาบาล
ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนและหลังให้การพยาบาลทุกครั้ง
เครื่องมือและสิ่งของที่ใช้กับทารกต้องสะอาดหรือผ่านการทำลายเชื้อโรค
อุปกรณ์ที่ใช้กับทารกต้องใช้เฉพาะคน
ดูแลความสะอาดทั่วไปของร่างกายและสิ่งแวดล้อม
การป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
ไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จ้ากัด รวมทั้งการสร้างกลูโคส (glucogenesis) เองที่ตับก็ทำได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับน้ำและนมทางปาก หรือสารน้ำสารอาหารทางหลอดเลือดดำ
แก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดสาเหตุส่งเสริมให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ติดตามผล dextrostix หรือ blood sugar และประเมินอาการทางคลินิก
6.การป้องกันการเกิดเลือดออกและโลหิตจาง
เมื่อทารกมีภาวะความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือเมื่อ
ทารกมีภาวะการเป็นกรด หรืออุณหภูมิกายต่ำ
ผนังเส้นเลือดพัฒนาไม่สมบูรณ์และขาด connective tissuse จึงเปราะบางง่าย
Prothrombin และ Hematogenous-factor ต่ำขาดวิตามินเค เลือดจึงแข็งตัวได้ยาก
เหล็กที่ได้รับจากมารดาใน 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์มีจำนวนน้อย
Hb-F ของทารกมีชีวิตสั้น
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับการฉีด Vit K1 เข้ากล้ามเนื้อตามแผนการรักษา
หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ ควรจะฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
ดูแลการได้รับ Vit. E และ FeSO4 ทางปากตามแผนการรักษา
ขณะดูดเสมหะหรือขณะใส่สายยางเข้าไปในทางเดินอาหาร ควรจะใส่อย่างระมัดระวัง
ติดตามและรายงานผล CBC ดูแลการได้รับเลือดในรายที่มี platelet หรือ Hematocrit ต่ำ
สังเกตและรายงานอาการที่แสดงว่ามีเลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ
ดูแลให้ทารกได้รับธาตุเหล็กตามแผนการรักษา
7.การคงไว้ซึ่งความสมดุลของน้ำกรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์
ไตยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ Glomerular filtration rate ต่ำท้าให้ความสามารถในการควบคุมสมดุลของน้ำ
กรด-ด่าง อิเลคโทรลัยต์และการขับสารต่างๆ ออกจากร่างกายมีขีดจ้ากัด
การพยาบาล
ดูแลการได้รับสารน้ำและอิเลคโทรลัยต์ให้เพียงพอตามแผนการรักษา
จดบันทึก Intake และ output อย่างละเอียดและถูกต้อง
ติดตามผล blood gas BUN electrolyte urine specific gravity
สังเกตอาการและอาการแสดงของการมีภาวะไม่สมดุลย์ของน้ำ กรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์
8.การป้องกันการเกิดการแตกท้าลายของผิวหนัง
ผิวหนังของทารกเกิดก่อนกำหนดยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ มีชั้น stratum corneum น้อยชั้นกว่าทารกครบกำหนดผิวหนงชั้น epidermis และ dermis อยู่กันอย่างหลวม ๆ และมี keratin เคลือบผิวหนังน้อยท้าให้มีผิวหนังบางเพิ่มการซึมซ่านผ่าน
การพยาบาล
หลีกเลี่ยงการใช้พลาสเตอร์กับทารกเกินความจ้าเป็น
การแกะพลาสเตอร์หรือเทปออกจากผิวหนัง จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ระมัดระวังการรั่วของสารน้ำออกจากหลอดเลือดในรายที่ได้รับสารน้ำ
การติด probe หรือ electrode ต่างๆ ไม่ควรติดแน่นเกินไปและเปลี่ยน
ต่ำแหน่งการติดรวมทั้งเปลี่ยนท่านอนบ่อย ๆ
ระมัดระวังการใช้สารละลาย สารเคมี กับผิวหนังทารก
9.การป้องกันการเกิด Retinopathy of Prematurity (ROP)
เกิดจากพัฒนาการของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงretina ยังไม่สมบูรณ์ โดยมีปัจจัยส่งเสริมคือการได้รับออกซิเจนมากเกินไป จึงมีการเกิดหลอดเลือด
ใหม่ ที่ผิดปกติส่งผลให้เกิดการหลุดลอกของจอตา ได้ในระยะต่อมาทำให้ทารกมีสายตาเลือนราง หรือตาบอด
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกรับออกซิเจนเท่าที่จ้าเป็น
ในทารกที่ได้รับออกซิเจน ควรใช้ pulse oximeter ติดตามO2 saturation ตลอดเวลา ดูแลให้ทารกมีระดับ O2 saturation อยู่ระหว่าง 88 – 95 %
ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
ดูแลให้ทารกมีภาวะ ROP รุนแรงและอยู่ในเกณฑ์บ่งชี ให้ได้รับการรักษาโดย ใช้แสงเลเซอร์
10.การดูแลการได้รับวิตามินและเกลือแร่
เนื่องจากทารกเหล่านี จะมีการสะสมแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินอีน้อย รวมทั้งความสามารถในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในน้ำมีน้อย จึงมีโอกาสขาดวิตามิน และเกลือแร่ได้
การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของทารกแรกเกิด (Developmental care)
ช่วงเวลาที่อยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งมีความเหมาะสมต่อพัฒนาการด้านต่างๆ มีน้อย
ความเจ็บป่วยของทารกท้าให้ได้รับการรักษาที่ส่งผลต่อพัฒนาการ
สิ่งแวดล้อมในหอผู้ป่วยไม่เหมาะสม เช่น แสง เสียง ที่มากเกินไป
การพยาบาล
การจัดท่า
หลีกเลี่ยงการเหยียดแขนขา (extension) พยายามให้ทารกอยู่ในท่าแขน ขางอเข้าหากลางล้าตัว
ห่อตัวทารกให้แขนงอ มือสองข้างอยู่ใกล้ๆ ปาก (hand to mouth) หลีกเลี่ยงการห่อตัวแบบเก็บแขน
ใช้ผ้าอ้อมหรือผ้าห่มผืนเล็กม้วนๆ วางรอบๆ กายของทารกเสมือนเป็นรังนก
การจับต้องทารก
จับต้องทารกเท่าที่จ้าเป็น
ให้การพยาบาลด้วยสัมผัสที่นุ่มนวล
พยายามจัดกิจกรรมการพยาบาลต่างๆ ให้อยู่ในเวลาเดียวกัน
จัดสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยให้มีการกระตุ้นทางแสงและเสียงน้อยที่สุด
ก่อน ขณะ และหลังให้การพยาบาลควรประเมิน สัญญาณ (cues) ของทารกว่าทารกอยู่ในภาวะเครียด สงบและผ่อนคลาย หรืออยากมีปฏิสัมพันธ์
ถ้าทารกแสดงสื่อสัญญาณว่าอยากมีปฏิสัมพันธ์ พูดคุยด้วยเสียงเบา นุ่มนวล
ส่งเสริมสัมพันธภาพบิดามารดา-ทารก (bonding, attachment)
ส่งเสริม, กระตุ้นให้มารดามาเยี่ยมทารกให้เร็วที่สุด
เมื่อบิดามารดาเข้าเยี่ยมทารก ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย การรักษาพยาบาลที่ทารกได้รับในขอบเขตความรับผิดชอบของพยาบาลที่จะท้าได้
เปิดโอกาสให้บิดามารดาซักถาม ระบายความรู้สึก
ส่งเสริมการเลี ยงทารกด้วยนมมารดา เพราะนมมารดาทารกเกิดก่อนก้าหนดเหมาะสมกับทารกเกิดก่อนก้าหนดมากกว่านมมารดาปกติเพราะมีโปรตีนและเกลือแร่สูงกว่า
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Hyperbilirubinemia)
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice)
เกิดจากทารกแรกเกิดมีการสร้างบิลิรูบินมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเม็ดเลือดแดงอายุสั นกว่า และ ความไม่สมบูรณ์ในการท างานของตับ
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice)
เป็นภาวะที่ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมาก
ผิดปกติ และเหลืองเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด
สาเหตุ
มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จากภาวะต่างๆที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดง
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะต่างๆ เช่น ภาวะลำไส้อุดตัน
มีการกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลง จากท่อน้ำดีอุดตัน การขาดเอนไซด์บางชนิดแต่กำเนิด
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้น ร่วมกับการกำจัดได้น้อยลง ได้แก่ การติดเชื้อ
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
อันตรายจากการมีบิลิรูบินสูง
ทำให้เกิด kernicterus เข้าสู่เซลล์สมอง และทำให้สมองได้รับบาดเจ็บและมีการตายของเซลล์ประสาททำให้ทารกมีความพิการของสมองเกิดขึนอย่างถาวร
การวินิจฉัย
ประวัติมีบุคคลในครอบครัวมีโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายหรือไม่ มารดามีโรคประจำตัวการได้รับยา
การติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
การตรวจร่างกาย ซีด เหลือง ตับ ม้ามโตหรือไม่ มีจุดเลือดออก บริเวณใดหรือไม่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การรักษา
การส่องไฟ (phototherapy)
ภาวะแทรกซ้อนของการรักษาด้วยการส่องไฟ
Increases metabolic rate พบว่าทารกอาจมีน้ำหนักตัวลดลง
Increased water loss / dehydration ทารกมีภาวะเสียน้ำมากจากการระเหยของน้ำ
Diarrhea ทารกอาจถ่ายเหลวจากการที่แสงที่ใช้ในการรักษา
Retinal damage อาจมีการบาดเจ็บเนื่องจากถูกแสงส่องนานทำให้ตาบอดได้
Bronze baby หรือ tanning ทารกอาจจะมีสีผิวคล้ำขึ้นจากการที่ต้องถูกแสงอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานาน
Disturb of mother-infant interaction เนื่องจากต้องให้ทารกรักษาด้วยการส่องไฟอาจทำให้มารดามีโอกาสได้อุ้มและ สัมผัสทารกน้อยลง
Thermodynamic unstable ทารกอาจมีอุณหภูมิร่างกายสูงหรือต่่ำกว่าปกติ
non-specific erythrematous rash อาจมีผื่นขึ้นตามตัวเป็นการชั่วคราว
การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
การพยาบาล
ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches) เพื่อป้องกันการกระคายเคืองของแสงต่อตา เช็ดทำความสะอาดตา และตรวจตาของทารกทุกวัน
ถอดเสื อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่ำและเปลี่ยนท่านอนทุก 2-4 ชม.เพื่อให้ผิวทุกส่วนได้สัมผัสแสง
ดูแลให้ทารกได้นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟห่างประมาณ35-50 cm.
บันทึกแการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 2-4 ชม. ถ้าพบว่าอุณหภูมิกายของทารกต่่ำมาก ปลายมือปลายเท้าเย็น ใช้เครื่องทำความอุ่นหรืออยู่ในตู้อบ เพื่อช่วยให้อุ่นขึ้น
สังเกตลักษณะอุจจาระ ระหว่างการส่องไฟทารกอาจถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้น ให้บันทึกลักษณะและจำนวนอย่างละเอียดเพื่อประเมินภาวะสูญเสียน้ำและดูแลอย่างเหมาะสม
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชม.
สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับการส่องไฟรักษา ได้แก่ ภาวะขาดน้ำ ถ่ายเหลว
ปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ
ไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จ้ากัด รวมทั งการสร้างกลูโคส (glucogenesis) เองที่ตับก็ท้าได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
การรักษา
ทารกครบกำหนดที่มีอาการ่วมกับระดับน้ำตาล
น้อยกว่า 40 มก./ดล.ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
แรกเกิด-อายุ 4 ชม.ให้นมภายใน 1 ชม.แรก ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30 นาทีหลังให้นมมื้อแรกถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25 มก/ดล. ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
อายุ 4-24 ชม. ให้นมทุก 2-3 ชม. ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/ดล. ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
MAS
ความรุนแรงแบ่งได้เป็น3 ระดับ
อาการรุนแรงน้อยทารกมีอาการหายใจเร็วระยะสั้นๆ เพียง24-72ชม. ทำให้แรงดันลดลง และมีค่าความเป็นกรด-ด่างปกติ อาการมักหายไปใน 24-72ชม.
อาการรุนแรงปานกลาง อาการหายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้น มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง และมีความรุนแรงสูงสุดเมื่ออายุ 24ชั่วโมง
อาการรุนแรงมาก ทารกจะมีระบบหายใจล้มเหลวทันทีหรือภายใน 2-3 ชม.หลังเกิด
การพยาบาล
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน ได้แก่ หายใจเร็ว
อกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ใช้กล้ามเนื อช่วยในการหายใจมากขึ้น เขียว
วัดความดันโลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่ าจาก PPHN
รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
สังเกตอาการติดเชื้อ
นางสาว สุรีรัตน์ ใยเทศ เลขที่ 47 รหัส 612001128