Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ, 2, 12, w, 2, 1, 2, 3, 7 8, 12, 22, 13 -…
การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
การติดเชื้อ (Infection)
เป็นปฏิกิริยาของร่างกาย (Host interaction) ทีเกิดขึนเมือมีเชื้อโรค
(Microorganisms) เข้าสู่ร่างกาย
เชือแบ่งตัวในร่างกายอย่างมาก ------> หน้าทีของร่างกายผิดปกติ
ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อเชื่อโรคโดยการสร้างภูมิคุ้มกัน (Immune response)
Inapparent infection ไม่มีอาการและอาการแสดงของโรค
Infectious disease มีอาการของโรคปรากฏให้เห็น
เชื้อทีเป็นสาเหตุ (Infectious agent)
แบคทีเรีย
Salmonella--> โรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน
Clostridium tetani บาดทะยัก
โปรโตซัว
• Entamoeba histolytica
-> โรคบิด
เชื้อรา
--> กลาก เกลือน
--> Candida albicans
ไวรัส
ตับอักเสบ คางทูม ไข หวัดใหญ่
พยาธิ
พยาธิเส้นด้าย (พบมากในเด็ก) พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิตัวตืด
แหล่งกักเก็บเชื้อโรค (Reservoir)
แหล่งของเชื้อโรคเป็นที่ให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและมี
การขยายตัว เชื้อโรคแต่ละชนิด
• คนหรือสัตว์ทีมีเชื้อก่อโรคอยู่ในตัวและไม่ทําให้เกิดโรคในตัว แต่ สามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนอื่นได้เรียกว่า Carrier
ทางออกของเชื้อ (Portal of exit)
ระบบทางเดินหายใจ โดยเชื้อออกมาพร้อมน้ำมูก ลมหายใจ เชื้อออกทางระบบสืบพันธุ์ ระบบ
ทางเดินปัสสาวะ เชื้อที่อยู่บนแผลที่ผิวหนัง
หนทางการแพร่กระจายเชื้อ (Mode of transmission)
• มีได้หลายทาง
• เชื้อจุลชีพแต่ละชนิดมีวิธีการแพร่กระจายทีแตกต่างกัน
ทางเข้าของเชื้อ (Portal of entry)
ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร อวัยวะสืบพันธุ์ และผิวหนังที่ฉีดขาด
การสัมผัส การหายใจ การแพร่กระจายเชื้อโดยมีตัวนํา
เชื้อหาทางเข้าไปในร่างกายมนุษย์ใหม่ (host) โดยมากทางเข้ามักเป็นทางเดียวกับทีออกมา
ความไวของบุคคลในการรับเชื้อ (Susceptible host)
• บุคคลจะติดเชื้อง่ายหรือยากขึ้นอยู่กับลักษณะของเชื้อจุลชีพ ธรรมชาติ
ของเนือเยื้อทีรับเชื้อ สุขภาพทั่วไปของแต่ละบุคคล ภูมิคุ้มกันโรค
ปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อการติดเชื้อ
ความเครียด ---> มีความไวต่อการติดเชื้อได้ง่าย
ภาวะด้านโภชนาการ
การได้รับอาหารทีครบถ้วน ---> ไวต่อการติดเชือได้น้อย
โปรตีน : ช่วยสร้างเนื้อเยื่อ และช่วยให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโต
กรรมพันธ์ุ เช่น ขาดสาร immunoglobulin ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ
อายุ
การรักษาทางการแพทย์บางชนิด
การฉายแสง
รับยาทีกดการสร้างภูมิคุ้มกัน
อาชีพ
คนเลียงนกพิราบ : H5N1
การติดเชื้อในโรงพยาบาล (Nosocomial infection)
การติดเชื้อของผู้ป่วยขณะเข้ารับการรักษาในรพ.
ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อนั้นมาก่อน
แต่อาจแสดงอาการให้เห็นในขณะรับการรักษาอยู่ใน รพ.
ไม่ได้อยู่ในระยะฟักตัวของเชือโรคนันๆ ขณะเริ่มเข้ารับการรักษา
แต่อาการแสดงในช่วงระยะฟักตัวของโรค เมื่อออกจาก รพ. แล้ว
ไม่ทราบระยะฟักตัวของเชือแต่ปรากฏอาการหลังจากเข้ารับการ
รักษาตัวในรพ. 48 ชัวโมง
การติดเชื้อในโรงพยาบาลจากการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลครั้ง
ก่อน ---> พิจารณาระยะฟักตัวของเชื้อนันเป็นหลัก
องค์ประกอบของการติดเชื้อในโรงพยาบาล
เชื้อโรค (Agent)
เชื้อประจำถิ่น/เชือที่พบบนร่างกายผู้ป่วยเอง (normal flora หรือ
colonization)
เชื้อแบคทีเรียกรัมลบทรงแท่ง (gram negative bacilli) เช่น
Pseudomonas, Enterobacter และ Acinetobacter
เป็นเชื้อทีอยู่ในโรงพยาบาลดื้อยา
คน/ผู้ป่วย (Host)
ความแข็งแรง / ภูมิต้านทานโรค
-ภูมิต้านทานโรคตํ่า
-ภาวะทุพโภชนาการ
-ผ่าตัด
สิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งแวดล้อมทีมีชีวิต (animate)
สิ่งแวดล้อมทีไม่มีชีวิต (in animate)
การแพร่กระจายเชื้อ (Mode of Transmission)
การแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัส
(Contact Transmission)
เชื้อก่อโรค
บุคคลทีไวต่อการติดเชื้อ
Direct – contact transmission
Indirect – contact transmission
การแพร่กระจายเชื้อโดยฝอยละออง
(Droplet spread)
จากการสัมผัสกับฝอยละอองนํามูก นําลายของผู้ทีมีเชื้ออยู่ไอ จาม พูดกิจ
กรรมการพยาบาล : ดูดเสมหะ ตรวจหลอดลม
ฝอยละอองมีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอนมักเกิ
ดขึนในระยะใกล้ๆ ไม่เกิน 3 ฟุต
การแพร่กระจายเชื้อโดยการผ่านสื่อนำ
(Vehicle transmission)
เชื้อจุลชีพปนเปือนอยู่ในเลือด ผลิตภัณฑ์ของเลือด อาหาร นํา
ยา สารนําทีให้แก่ผู้ป่วย้
ทำให้เกิดการติดการติดเชื้อในผู้ป่วยหลายรายการ
ติดเชือ Salmonella ในอาหาร
การแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ
(Airborne transmission)
เชื้อจุลชีพจะอยู่ในรูปของ droplet nuclei (มีขนาดเล็กกว่า
droplet ซึ่งเกิดจากการไอจาม) หรือฝุ่นล่องลอยอยู่ในอากาศ
การสูดหายใจเอาเชือทีลอยอยู่ในอากาศเข้าสู่ระบบทางเดิน
หายใจ
การแพร่กระจายเชื้อโดยสัตว์พาหะ
(Vector-borne transmission)
คนได้รับเชื้อจากการถูกแมลงหรือสัตว์กัด และเชื้อทีมีอยู่ในตัว
แมลงถูกถ่ายทอดสู่คน
การทำลายเชื้อ และการทำให้ปราศจากเชือ
(Disinfection and Sterilization)
การทำลายเชื้อ (Disinfection)
การกำจัดเชือจุลชีพบางชนิดทีแปดเปือน อุปกรณ์เครืองมือ เครืองใช้
ทางการแพทย์ หรือพืนผิวต่างๆ
Disinfectants (นํายาทำลายเชื้อ) : สารเคมีทีใช้ทำลายเชื้อบน
เครืองมือหรือบนพื้นผิว
Antiseptics : สารเคมีทีใช้ทำลายเชื้อทีผิวหนังและส่วนต่างๆ ของ
ร่างกาย
การทำความสะอาด (Cleaning)
โดยการใช้นําและสารขัดล้าง (detergent)
บริเวณทีจัดไว้สำหรับล้างอุปกรณ์โดยเฉพาะ
ผู้ปฏิบัติจะต้องสวมเครื่องป้องกัน ได้แก่ ถุงมืออย่างหนา แว่นตา ผ้าปิดปากและจมูก ผ้ากันเปื้อนอย่างหนา แว่นตา ผ้าปิดปากและจมูก ผ้ากันเปื้อน
ระดับการทำลายเชื้อ (Disinfection)
การทำลายเชื้อระดับสูง (High-level disinfection)
ทำลายจุลชีพก่อโรคได้ทุกชนิด รวมทังสปอร์ของเชื้อแบคทีเรีย
เมื่อแช่อุปกรณ์ในนํายานานตามข้อกำหนด
การทำลายเชื้อระดับกลาง
(Intermediate-level disinfection)
สามารถทำให้เชื้อMycobacterium tuberculosis เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา อ่อนกำลังลงจนไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์ แต่ไม่สามารถทำลายสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียได้
การทำลายเชื้อระดับตำ(Low-level disinfection)
สามารถทำลายเชือแบคทีเรียสามารถทำลายเชื้อทีมีความคงทน เช่น Tuberculosis bacilli หรือ เชื้อไวรัส และเชื้อราบางชนิด แต่ไม่สามารถทำลายเชื้อทีมีความคงทน เช่น Tuberculosis bacilli หรือ
เหมาะกับอุปกรณ์ประเภท Noncritical items
การทำให้ปราศจากเชื้อ (Sterilization)
กระบวนการในการทำลายหรือขจัดเชื้อจุลชีพทุกชนิดรวมทัน
สปอร์ของเชื้อแบคทีเรียจากเครื่องมือทางการแพทย์
การใช้ความร้อน (Thermal or Heat sterilization)
การเผา (Incineration) ใช้ในการทำลายอุปกรณ์ทีจะไม่นำกลับมาใช้อีกต่อไป
วิธีการทำให้อุปกรณ์ปราศจากเชื้อ แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
วิธีการทางเคมี (Chemical method)การใช้แก๊ส ได้แก่ Ethylene oxide gas, Formaldehyde gas และHydrogen peroxide plasma
(1) การใช้ความร้อน (Thermal or Heat sterilization)–การใช้ความร้อนแห้ง (Dry heat)
การต้ม (Boiling)ต้มในนําเดือด 100 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที
การใช้ความร้อนชื้น (Moist heat)การนึงไอนําภายใต้ความดัน (autoclave) เป็นวิธีการทีม
ประสิทธิภาพทีสุด
Formaldehyde [เข้มข้น 37% หรือทีเรียกว่า ฟอร์มาลิน
(Formalin)]
การใช้รังสี (Ionizing radiation)
X-ray, gamma rays, Ultraviolet light (UVทำลายเชือแบคทีเรียได้หลายชนิด แต่การแทรก
ซึมเข้าสู่อุปกรณ์ไม่ดีช่วยลดจำนวนเชื้อก่อโรคทีมีอยู่ในอากาศในห้องผ่าตัด และ
ห้องปฏิบัติการทางจุลชีววิทยา)
การใช้ Chemical sterilant
แก๊ส Ethylene oxide (EO) : นิยมมากในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะสำหรับวัสดุทีทนความร้อนไม่ได้
การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การปฏิบัติเพือป้องกันมิให้เชือจุลชีพจากผู้ป่วยทีมีการติดเชื้อหรือผู้ป่ วยทีมีเชืออยู่แต่ไม่ปรากฏอาการ (carrier) แพร่ไปสู่ผู้ป่ วยอืน บุคลากร หรือญาติผู้ป่วย
Standard precautions
การนำแนวปฏิบัติของ Universal precautions และ Bodysubstance isolation มาใช้ดูแลผู้ป่วยทุกรายทีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ไม่ว่าผู้ป่ วยจะมีการติดเชือหรือไม่ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคใด
การปฏิบัติตามหลัก Standard precautions
ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือสบู่ยาฆ่าเชือทุกครั้ง
เมือสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลังก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วยทุก
ครั้งและเมื่อถอดถุงมือ
การล้างมือธรรมดา
(Normal hand washing)
การล้างมือภายหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือสิงปนเปือนเชือโรค
(Hygienic hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อขจัดเชื้อจุลชีพที่อยู่ชั่วคราวบนมือก่อนปฏิบัติการรักษาพยาบาลที่ใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ (โดยเฉพาะหัตถการที่ต้องมีการเปิดใช้ Sterile set) โดยการล้างมือด้วยน้ำสะอาดให้มือปราศจากเชื้อ (โดยเฉพาะหัตถการที่ต้องมีการเปิดใช้ Sterile set) โดยการล้างมือด้วยน้ำสะอาดให้มือ
ฟอกมือด้วย Antiseptic ทีมือจนถึงข้อศอก เป็นเวลา 2-6 นาที
การใช้ Alcohol hand rubs
ทดแทนการล้างมือในกรณีเร่งด่วน
กรณีทีมือไม่ได้เปือนสิงสกปรก เลือดหรือสารคัดหลั่ง
การปฏิบัติตามหลัก Standard precautions
ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมทีเปื้อนเลือดหรือสารคัดหลังอย่างถูกวิธีบรรจุผ้าเปื้อนในถุงพลาสติกผูกปากถุงให้แน่นทำความสะอาดและทำลายเชื้อ หรือทำให้ปราศจากเชื้อหลีกเลียงการเกิดบาดแผลขณะปฏิบัติงาน
ถุงมือปราศจากเชื้อ (sterile glove)
ถุงมือทีอบไอนําฆ่าเชื้อแล้ว (reusable)
ใช้ครังเดียวทิง(disposable)
เสือคลุม (Gown)
ป้องกันเชื้อโรคแพร่สู่ผู้ป่วย เช่น การทำผ่าตัด ทำคลอด
หอบริบาลทารกเกิดก่อนกำหนด
ผ้าปิดปาก – จมูก (Mask)
การแพร่กระจายเชื้อโดยฝอยละออง (droplet spread)
การแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ (airborne transmission)
Transmission - Base precautions
การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อทีทำให้เกิดโรคตามทางที
เชื้อออกจากตัวผู้ป่วย และทางทีจะเข้าสู่บุคคล
ต้องทราบทางออกและทางเข้าของเชือโรคแต่ละชนิด
ใช้หลัก standard precautions ร่วมด้วยเสมอ
การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ
แยกผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อไว้ในห้องแยกพิเศษ (Isolation) และปิดประตูทุกครั้ง
หลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
ผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกัน จัดให้อยู่ห้องเดียวกันได้
อากาศภายในห้องแยกควรถูกดูดออกภายนอกโดยตรงหรือผ่านเครื่องกรองที่มี
ประสิทธิภาพ ห้องแยกควรมีการหมุนเวียนอากาศอย่างน้อย 6 รอบต่อชั่วโมง
ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องใส่ผ้าปิดปาก-จมูก ชนิด N95
จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ในกรณีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกห้อง
ให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิดใช้แล้วทิ้ง (Disposable mask)
การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากฝอยละอองน้ำมูกน้ำ ลาย (Droplet
precautions)
แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยก และปิดประตูทุกครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
ผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกัน จัดให้อยู่ห้องเดียวกันได้
หากไม่มีห้องแยกและไม่สามารถจัดให้ผู้ป่วยอยู่รวมกันได้ ควรจัดระยะห่างระหว่าง
เตียง ไม่น้อยกว่า 3 ฟุต
ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องใส่ ผ้าปิดปาก-จมูก เมื่อให้การดูแล
ผู้ป่วยในระยะ 3 ฟุต
จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หากจำเป็นควรให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิดชนิดใช้
แล้วทิ้ง (Disposable mask)
การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัส (Contact precautions)
สวมถุงมือเมื่อให้การดูแลผู้ป่วย และเปลี่ยนถุงมือคู่ใหม่เมื่อสัมผัสสิ่งคัดหลั่งหรือ
ส่วนของร่างกายที่น่าจะมีเชื้อโรคจำนวนมากขณะให้การพยาบาลผู้ป่วยรายเดิม
ถอดถุงมือและล้างมือด้วยสบู่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนออกจากห้องผู้ป่วย
สวมเสื้อคลุม หากคาดว่าอาจสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หนอง อุจจาระของผู้ป่วย
จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หากจำเป็นต้องเคลื่อนย้าย ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิด
การแปดเปื้อนเชื้อในสิ่งแวดล้อม
หากสามารถทำ ได้ควรแยกอุปกรณ์ชนิด Non-critical items สำหรับผู้ป่วย
โดยเฉพาะ หากไม่สามารถแยกอุปกรณ์ได้ต้องทำความสะอาดและทำลายเชื้อก่อนนำไปใช้กับผู้ป่วยรายอื่น
กำจัดเชือโรค แหล่งของเชื้อโรค
แยกผู้ป่วยติดเชื้อออกจากผู้ป่วยทั่วไป
กำจัดสัตว์ทีเป็นแหล่งหรือพาหะของเชื้อ
ทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรค อาคารสถานที เครื่องมือเครื่องใช้
แยกจากผู้ป่วยทั่วไปโดยเฉพาะจากผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้นกัน
สิ่งแวดล้อม อาคาร สถานที่
การทำลายขยะ
การแยกขยะในโรงพยาบาล
การทำลายเชื้อและการทำให้ปราศจากเชื้อ (disinfection and
sterilization)
การใช้ยาต้านจุลชีพอย่างถูกต้องและมีนโยบาย (antibiotic policy)
การใช้ยาต้านจุลชีพ ----> ป้องกันหรือชะลอการเกิดการดือยา
การเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล surveilance
จุดมุ่งหมายสำคัญ คือลดความเสี่ยงต่อการติดเชือในโรงพยาบาล
ของผู้ป่วยทีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
การติดเชื้อของบุคลากร
กระบวนการพยาบาล
ในการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
การประเมินความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของผู้ป่วย (Assessment) โดยการซักประวัติ
และตรวจร่างกายเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วย การรักษาที่ได้รับ ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ เป็นต้น
การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
1) เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
2) มีโอกาสเกิดการระบาดของโรคในชุมชน
การวางแผนและให้การพยาบาล (Planning and Implementation)
กิจกรรมการพยาบาลเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
1) ล้างมือก่อนและหลังการให้การพยาบาลผู้ป่วย
2) ใช้หลัก Airborne precautions
3) ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วยและญาติ
4) รายงานอุบัติการณ์การเฝ้าระวังการเกิดโรคต่อคณะกรรมการการติดเชื้อของโรงพยาบาล
การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ไม่มีการแพร่กระจายเชื้อสู่ญาติและบุคลากรในหอผู้ป่วย