Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง, นางสาวธิดาพร นุษศิริ รุ่น36/1 เลขที่49 …
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง
การจำแนกประเภทของทารกแรกเกิด
การจำแนกตามน้ำหนัก
Low birth weight infant (LBW infant) คือ ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่า 2,500 กรัม
Very low birth weight คือ น้ำหนักต่ำกว่า 1,500 กรัม
Extremely low birth weight (ELBW) คือน าหนักต่ ากว่า 1,000 กรัม
Normal birth weight infant (NBW infant) คือ ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิด 2,500 กรัม ถึงประมาณ3,800 – 4,000 กรัม ประมาณร้อยละ 60 ของทารกที่เสียชีวิตในระยะ 28 วันแรก (Neonatalperiod)
การจำแนกตามอายุครรภ์
ทารกเกิดก่อนกำหนด (Preterm infant) คือ ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์
ทารกแรกเกิดครบกำหนด (Term or mature infant) คือทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์ มากกว่า 37สัปดาห์ ถึง 41 สัปดาห์
ทารกแรกเกิดหลังกำหนด (Posterm infant) ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์มากกว่า 41 สัปดาห์
ปัญหาที่พบได้ในทารกคลอดก่อนกำหนด
1.ปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิ
ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ
การวัดอุณหภูมิทารก
ทางทวารหนัก
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 2.5 ซม.
ทารกครบกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 3.0 ซม.
ทางรักแร้
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 5 นาที
ทารกครบกำหนด วัดนาน 8 นาที
การดูแล
1.จัดให้อยู่ในที่อุณภูมิเหมาะสม (NTE) 32 - 34 องศาเซลเซียส 2.วัดอุณภูมิเด็ก Body temperature เด็ก 36.8-37.2 องศาเซลเซียส 3.ใช้ warmer, incubator หรือผ้าห่มห่อตัว 4.หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้แอร์ พัดลม ระวัง “Cold stress”
การพยาบาลทารกที่ได้รับการรักษาในตู้อบ
1.ไม่เปิดตู้อบโดยไม่จำเป็น ให้การพยาบาลโดยสอดมือเข้าทางหน้าต่างตู้อบ 2.ป้องกันการสูญเสียความร้อนทางร่างกายทารก4ทาง 3.ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุก4 ชั่วโมงและปรับให้เหมาะสมสภาพของทารก 4.เช็ดความสะอาดตู้อบทุกวัน
การควบคุมอุณหภูมิทารกที่อยู่ใน Incubator
เป้าหมายให้อุณหภูมิกายทารกอยู่ในเกณฑ์ปรกติคือ 37 o C (+/-0.2o C)
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิด้วยมือ หรือ ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ (Air Servocontrol mode) เริ่มที่36 องศาเซลเซียส ปรับเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.2 C ทุก 15 – 30 นาที (max 38C)
(กรณีไม่ได้ใช้ตู้อบผนัง2 ชั้น) สวมหมวกไหม พรม หรือหมวกที่หนา 2 ชั้น พันร่างกายด้วย plasticwrap -ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้36.8o C -37.2o C เป็นเวลา2ครั้งติดกันให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutralthermal environment (NTE) แล้วติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาทีอีก 2 ครั้งและต่อไปทุก 4 ชม. -ควรใส่ปรอทสำหรับวัดอุณหภูมิตู้อบ
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ Skin Servocontrol mode
-ติด Skin probe บริเวณหน้าท้อง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence -ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่36.5C -ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.1 C ทุก 15 – 30 นาที (max 38๐ C) -ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้36.8o C -37.2o C เป็นเวลา2ครั งติดกัน ให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutralthermal environment (NTE) แล้วติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาทีอีก 2 ครั้งและต่อไปทุก4 ชม
2.ปัญหาทางระบบทางเดินหายใจและพิษออกซิเจน
Respiratory Distress Syndrome
(RDS)
คือภาวะหายใจลำบากเนื่องจากการขาดสารลดแรงตึงผิว (surfactant) ของถุงลม
อาการและอาการแสดง
มีอาการหายใจลำบาก (Dyspnea) หายใจเร็วกว่า 60 ครั้ง/นาที มีปีกจมูกบาน หายใจมีการดึงรั้งของกล้ามเนื้อทรวงอก (retraction) ,หายใจมีเสียง Grunting
อาการเขียว (Cyanosis)
ภาพถ่ายรังสีปอด มีลักษณะ ground glass appearance
การตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่ามีภาวะเลือดเป็นกรด
อาจมีอันตรายจากการหายใจล้มเหลวได้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกเกิด
การป้องกัน
มารดาที่มีความเสี่ยงจะคลอดก่อนกำหนดแต่ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตก โดยเฉพาะอายุครรภ์ 24-34 สัปดาห์ ควรได้antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนคลอด เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างสารลดแรงตึงผิว
2.การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด ซึ่งจะทำให้เลือดเป็นกรด ขัดขวางการทำงานของการสร้างสารลดแรงตึงผิว
การรักษา
1.การให้ออกซิเจน ตามความต้องการของทารก เช่น การให้โดยใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือCPAP
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน โดยการปรับลดความเข้มข้นและอัตราไหลของออกซิเจน ภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน เช่น ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง (BPD) ภาวะจอประสาทตาพิการจากการเกิดก่อนกำหนด (ROP)
ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น ลดความรุนแรงของภาวะหายใจลำบาก
4.รักษาแบบประคับประคองตามอาการ
apnea of prematurity
central apnea
ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลมและไม่มีอากาศไหล่ผ่านรูจมูกโดยมีสาเหตุมาจากศูนย์การกายใจที่บริเวณก้านสมองได้ไม่ดี
obstruction apnea
ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม แต่ไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก เกิดจากการงอ หรือเหยียดของลำคอเกิน ทำให้ช่องภายในลำคอ ไม่เปิดกว้าง เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
การดูแล
จัดท่านอนที่เหมาะสม ศีรษะสูง เงยคอเล็กน้อย
สังเกตอาการขาดออกซิเจน หายใจเร็ว เขียว ปีกจมูกบาน อกบุ๋ม (chest wall retraction) , ABG
suction เมื่อจำเป็น
ระวัง การสำลัก
ให้การพยาบาลทารกขณะใช้เครื่องช่วยหายใจ
Retinopathy of PrematurityRetinopathy(ROP)
เป็นความผิดปกติ ในทารกในทารกคลอดกอนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อยโดยมีลักษณะสำคัญคือ การงอกผิดปกติของเส้นเลือด (neovascularization) บริเวณรอยต่อระหว่างจอประสาทตาที่มีเลือดไปเลี้ยงและจอประสาทตาที่ขาดเลือด
ความรุนแรงมี5 ระดับ
Stage1 Demarcation line between vascularized and avascular retina
• Stage 2 Ridge between vascularized and avascular retina
• Stage 3 Ridge with extraretinal fibrovascular proliferation
• Stage 4 Subtotal retinal detachment: (a) extrafoveal detachment (b) fovealdetachment
• Stage 5 Total retinal detachment
การวินัจฉัย
ตำแหน่ง (Zone) มี 3 zone
• Zone II จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone Iจนถึง nasal ora serrata
• Zone III จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone IIจนถึง temporal ora serrata
Zone I ระยะวงกลมซึ่งมีรัศมีเป็นสองเท่าของระยะทางระหว่างขั้วประสาทตา(optic disc) และศูนย์กลางจอประสาทตา (macula)โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ขั้วประสาทตา
ระยะการตราจหาROP
ตรวจครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4 – 6 สัปดาห์ หรือเมื่อทารกอายุครรภ์รวมอายุหลังเกิด 32 สัปดาห์
ถ้าไม่พบการด้าเนินของโรค ตรวจซ้ำทุก 4 สัปดาห์
ถ้าพบว่ามีการดำเนินของโรคอยู่ตรวจซ้ำทุกอาทิตย์หรือตามแผนการติดตามประเมินของแพทย์
หลังจากทารกกลับบ้านแล้วถ้าไม่มีการดำเนินของโรค นัดมาตรวจซ้ำ
ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ ้าทุก ๆ 1 – 2 สัปดาห์
3.ปัญหาการติดเชื้อ
Necrotizing Enterocolitis
การพยาบาล
NPO
ห้ามวัดปรอททางทวารหนัก
แยกจากเด็กติดเชื้อ / แยกผู้ดูแล
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก aseptic technique
เฝ้าระวังสังเกตภาวะติดเชื อ เฝ้าระวังภาวะล้าไส้ทะลุ
4.ปัญหาระบบหัวใจ , เลือด
PDA (Patent Ductus
Ateriosus)
รักษา PDA โดยใช้ยา Indomethacin
ขนาดที่ให้ 0.1-0.2 มก./กก.ทุก 8 ชม. X 3 ครั้ง
ข้อห้าม
BUN > 30 mg/dl , Cr > 1.8 mg/dl
Plt. < 60,000 /mm3
urine < 0.5 cc/Kg/hr นานกว่า 8 hr
มีภาวะ NEC
รักษา PDA โดยใช้ยา ibuprofen
โดย
เพื่อช่วยยับยังการสร้างprostaglandin ซึ่งจะทำให้ PDA ปิด
ให้ทุก 12-24 ชั่วโมง จำนวน 3-4 ครั้ง
สามารถปิดได้ร้อยละ 70
ได้ผลดีในทารกน้ำหนักตัว 500-1500 กรัม อายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ และอายุไม่เกิน 10 วัน
ภาวะแทรกซ้อน NEC ไตวาย ไม่ให้ยาในทารกที่มี มากกว่า serum creatinine 1.6มิลลิกรัม/เดซิลิตรและ BUNมากกว่า20 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
5.ปัญหาเลือดออกในช่องสมอง
IVH (Intraventricular
Hemorrhage)
Hydrocephalus
6.ปัญหาทางโภชนาการและการดูดกลืน
ได้แก่
Hypoglycemia
NEC (NecrotizingEnterocolitis)
GER(GastroesophagealReflux)
การพยาบาล
1.ให้อาหารอย่างเหมาะสมกับสภาพของทารก
gavage feeding (OG tube) ในเด็กเหนื่อยง่าย ดูดกลืนไม่ดี
3.IVF ให้ได้ตามแผนการรักษา
4.ระวังภาวะ NEC: observe อาการท้องอืด content ที่เหลือ
5.ประเมินการเจริญเติบโตชั่งน้ำหนักทุกวัน (เพิ่มวันละ 15-30กรัม)
ปัญหาพัฒนาการล้าช้า
ส่งเสริมสายสัมพันธ์แม่ลูก
Eye to eye contact
Skin to skin contact
การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนด
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ(36.8 - 37.2 C)
2.การดูแลด้านการหายใจให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
3.การให้สารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
4.การป้องกันการติดเชื้อ
5.การป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
6.การป้องกันการเกิดเลือดออกและโลหิตจาง
7.การคงไว้ซึ่งความสมดุลของน้ำกรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์
8.การป้องกันการเกิดการแตกทำลายของผิวหนัง
การป้องกันการเกิด Retinopathy of Prematurity (ROP)
การดูแลการได้รับวิตามินและเกลือแร
การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของทารกแรกเกิด (Developmental care)
12 ส่งเสริมสัมพันธภาพบิดามารดา-ทารก (bonding, attachment).
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Hyperbilirubinemia)
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice)
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice)
สาเหตุ
เกิดจากบิลลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดสูงกว่าปกติ
ถ้าระดับบิลิรูบินสูงมากอาจจะท้าให้เกิดภาวะ Kernicterrus
อันตรายจากการมีบิลิรูบินสูง
ทำให้เกิด kernicterus เข้าสู่เซลล์สมอง และทำให้สมองได้รับบาดเจ็บและมีการตาย
ของเซลล์ประสาท ทำให้ทารกมีความพิการของสมองเกิดขึ้นอย่างถาวร
การรักษา
การส่องไฟ (phototherapy)
การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
ภาวะแทรกซ้อนของการรักษาด้วยการส่องไฟ
1.Increases metabolic rate น้ำหนักตัวทารกลดลง
2.Increased water loss / dehydration ภาวะเสียน้ำ
3.Diarrhea ถ่ายเหลว
4.Retinal damage ตาบอด
5.Bronze baby หรือ tanning สีผิวทารกคล้ำขึ้น
6.Disturb of mother-infant interaction มารดาได้อุ้มและสัมผัสทารกน้อยลง
7.Thermodynamic unstable อุณหภูมิสูงหรือต่ำอย่างรวดเร็ว
8.non-specific erythrematous rash ผื่นขึ้นตามตัวชั่วคราว
การพยาบาล
1.ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches) เพื่อป้องกันการกระคายเคืองของแสงต่อตา เช็ดทำความสะอาดตา และตรวจตาของทารกทุกวัน เพราะอาจมีการระคายเคืองจากผ้าปิดตา ทำให้ตาอักเสบ ควรเปิดตาทุก 4 ชม.และเปลี่ยนผ้าปิดตาทุก 8-12 ชม.ระหว่างให้นมควรเปิดผ้าปิดตาเพื่อให้ทารกได้สบตากับมารดา เป็นการกระตุ้นความรักผูกพันกันระหว่างมารดากับทารก
2.ถอดเสื้อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่ำและเปลี่ยนท่านอนทุก 2-4
ชม.เพื่อให้ผิวทุกส่วนได้สัมผัสแสง
3.ดูแลให้ทารกได้นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟ ในระยะห่างจากหลอดไฟ ประมาณ35-50 เซนติเมตร
4.บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 2-4 ชม. ถ้าพบว่าอุณหภูมิกายของทารกต่ำมาก ปลายมือปลายเท้าเย็น ใช้เครื่องทำความอุ่น(Radiant warmer) หรืออยู่ในตู้อบ เพื่อช่วยให้อุ่นขึ้น ส่วนทารกที่มีอุณหภูมิสูงอาจมีสาเหตุเนื่องมาจากการขาดน้ำต้องตรวจดูความตึงตัวของผิวหนัง กระหม่อม และการชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน หรือถ้ามีภาวะติดเชื้อ ประเมินอาการผิดปกติเช่น ดูดนมไม่ดี ซึมลง เคลื่อนไหวน้อย มีอาเจียนหลังดูดนม รายงานแพทย์ทราบ
5.สังเกตลักษณะอุจจาระ ระหว่างการส่องไฟทารกอาจถ่ายอุจจาระบ่อยขึ ้นอาจจะมีอาการถ่ายเหลวสีเขียวปนเหลืองจากบิลิรูบินและน้ำดี ให้บันทึกลักษณะและจำนวนอุจจาระอย่างละเอียดเพื่อประเมินภาวะสูญเสียน้ำ และดูแลอย่างเหมาะสม
6.ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชม. เพื่อติดตามความก้าวหน้าของโรคอย่างต่อเนื่องและได้ผลชัดเจน จนกว่าบิลิรูบินจะลดลงเป็นปกติ
7.สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับการส่องไฟรักษา ได้แก่ ภาวะขาดน้ำ ถ่ายเหลว ดูดนมไม่ดี มีผื่นที่ผิวหนัง หรือภาวะแทรกซ้อนที่ตา
การพยาบาลExchange transfusion
1.อธิบายให้บิดามารดาทราบ
เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
ดูแลให้ร่างกายทารกอบอุ่น
ในขณะเปลี่ยนถ่ายเลือดต้องบันทึกปริมาณเลือดเข้า ออก ตรวจวัดสัญญาณชีพ
5.สังเกตภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย แคลเซียมในเลือดต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวเย็น ติดเชื้อ
6.ภายหลังการเปลี่ยนถ่ายเลือดตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที ทุก 30 นาที จนกระทั่งคงที
ปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ
อาการแสดง
ซึม ไม่ดูดนม มีสะดุ้งผวา อาการสั่น ซีดหรือเขียว หยุดหายใจ ตัวอ่อนปวกเปียกอุณหภูมิกายต่้า ชักกระตุก
หมายถึง
ระดับ น้ำตาลในพลาสมาต่ำกว่า 40 mg% ( พฤหัส พงษ์มี, 2562
สาเหตุ
ไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จ้ากัด รวมทั งการสร้างกลูโคส (glucogenesis) เองที่ตับก็ท้าได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด เช่น การขาดออกซิเจนอุณหภูมิกายต่ำทำให้มีการใช้น้ำตาลมาก
การรักษา
1.ทารกครบกำหนดที่มีอาการ่วมกับระดับน้ำตาลน้อยกว่า 40 มก./ดล.ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
2.ทารกไม่มีอาการ
แรกเกิด-อายุ 4 ชั่วโมง
ให้นมภายใน 1 ชั่วโมงแรก ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30 นาทีหลังให้นมมื้อแรกถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25 มก/ดล. ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง -ถ้าน้อยกว่า 25 มก/ดล. ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด -25-40 มก/ดล. ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
อายุ 4-24 ชั่วโมง
ให้นมทุก 2-3 ชั่วโมง ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/ดล. ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
-ถ้าน้อยกว่า 35 มก/ดล. ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด -35-45 มก/ดล. ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
10% D/W 2มก/กก.และ/หรือ glucose infusion rate (GIR) 5-8 มก/กก/นาที โดยให้ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ในช่วง 40-50 มก./ดล.
การดูแล
กรณีทารกเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จะต้องตรวจหาระดับน้ำตาล ภายใน 1-2 ชม.หลังคลอด และติดตามทุก 1-2 ชม.ใน 6-8 ชม.แรกหรือจนระดับน้ำตาลจะปกติ รีบให้5,10 %D/W ทางปาก หรือ NG tube ใน 1-2 มื้อแรก แล้วให้นม
กรณีที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำ ตรวจติดตามทุก 30 นาที ในรายไม่แสดงอาการ
ให้กินนมหรือสารละลายกลูโคส ถ้ากินไม่ได้ ให้ละลายกลูโคสทางหลอดเลือดดำ
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
ควบคุมอุณหภูมิห้อง และให้ความอบอุ่นแก่ทารก
MAS
ภาวะตื่นตัวของทารกเมื่่อแรกเกิดเรียกว่า vigorous ได้จากการประเมินทารกโดย ทีมบุคลากรทาง
การแพทย์ที่ดูแลทารกแรกเกิดเมื่อ 10 ถึง 15 วินาทีหลังเกิด โดยทารกต้องมีอาการดังต่อไปนี คือ 1.มีแรงหายใจด้วยตนเองได้ดี 2.มีกำลังกล้ามเนื้อดี 3.อัตราการเต้นของหัวใจ มากกว่า100ครั้ง/นาทีหาก ทารกแรกเกิดมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อที่ กล่าวมาทารกจะได้รับการประเมินว่าไม่ตื่นตัวเรียกว่า non vigorous ทารกที่ไม่ตื่นตัวเมื่อแรกเกิดเสี่ยงต่อการ สูดสำลักขี้เทา และมักต้องการการกู้ชีพโดยเฉพาะการ ช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก(positive pressure ventilation; PPV)เพื่อให้มีการหายใจที่เพียงพอต่อการนำออกซิเจน และเลือดไปยังอวัยวะที่สำคัญคือหัวใจ สมอง และต่อม หมวกไต
ลักษณะน้ำคร่ำในขณะทารกอยู่ในครรภ์
1.ลักษณะทางพยาธิสรีรวิทยาปกติที่เกิดจาก การเคลื่อนตัวของลำไส้ที่พัฒนาสมบูรณ์แล้วของทารก ในครรภ์
เช่น ทารกในครรภ์ที่มีอายุครรภ์เกินกำหนด ทำให้เกิดการถ่ายขี้เทาออกมาปนในน้ำคร่ำ
2.ลักษณะความผิดปกติทางพยาธิสภาพของ รกและทารกในครรภ์ที่ตอบสนองต่อความเครียดที่เกิด จากความผิดปกตินั้นเช่นภาวะรก ทำงานผิดปกติ(placental insufficiency) ภาวะน้ำคร่ำน้อย(oligohydramnios) ภาวะติดเชื้อในครรภ์(intra-amniotic infection) โรคในมารดาที่เกิดจากการตั้งครรภ์ เช่น เบาหวานขณะ ตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์(pregnancy inducedhypertension,pre-eclampsia,eclampsia) มารดา ที่สูบบุหรี่เรื้อรังหรือใช้สารเสพติดชนิดโคเคน ทารกใน ครรภ์เติบโตไม่สมวัย (intrauterine growth retardation; IUGR) และทารกที่คลอดท่าผิดปกติเช่นคลอดท่าก้น(breech presentation)
ทารกที่มีอายุครรภ์ครบกำหนด หรือเกินกำหนดจะตอบสนองต่อภาวะเครียดเหล่านี้ ด้วยการถ่ายขี้เทาออกมาปนในน้ำคร่ำได้บ่อยกว่าทารกที่มีอายุครรภ์น้อยกว่ากำหนด ภาวะขี้เทาปนในน้ำคร่ำจึงอาจเป็นได้ทั้งข้อบ่งชี และสาเหตุของความผิดปกติของทารกในครรภ์(fetal distress) และภาวะขาดออกซิเจนของทารกในครรภ์และเมื่อแรกเกิด (perinatal asphyxia)
ความรุนแรง
1.อาการรุนแรงน้อย ทารกมีอาการหายใจเร็วระยะสั้นๆ เพียง24-72ชั่วโมง ทำให้แรงดันลดลง และมีค่าความเป็นกรด-ด่างปกติ อาการมักหายไปใน 24-72ชั่วโมง
อาการรุนแรงปานกลาง อาการหายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้น มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง และมีความรุนแรงสูงสุดเมื่ออายุ 24ชั่วโมง
อาการรุนแรงมาก ทารกจะมีระบบหายใจล้มเหลวทันที หรือภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังเกิด
การพยาบาล
1.ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน ได้แก่
หายใจเร็ว อกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจมากขึ้น เขียว
2.วัดความดันโลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่ำจาก PPHN
รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
4.สังเกตุอาการติดเชื้อ
5.ดูแลตามอาการ
การดูแลที่จำเป็นสำหรับทารก
การควบคุมและการป้องกันการติดเชื้อ
การควบคุมอุณหภูมิอย่างเหมาะสม
การช่วยการดูแลทางเดินหายใจและการรักษาระบบทางเดินหายใจอย่างเหมาะสม
ดูแลภาวะน้ำหนักตัวแรกเกิดลด
ประเมินการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ประเมินการแหวะนมและการอาเจียน
เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะตัวเหลือง
การดูแลทางโภชนาการ
การติดตามภาวะความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว
นางสาวธิดาพร นุษศิริ รุ่น36/1
เลขที่49 รหัสนักศึกษา612001050