Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Infection diseases - Coggle Diagram
Infection diseases
ป้องกันได้ด้วยวัคซีน
โรคคอตีบ Didhtheria
-
สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียCorynebacterium diphthriae
จากการหายใจรดกัน หรือพูดคุยกันในระยะใกล้ชิด
เชื้อโรคคอตีบหรือซีดิปเมือเข้าไปแล้วทำให้เกิดการอักเสบของทางเดินหายใจที่คอและต่อมทอนซิล ทำให้เกิดเป็นแผ่นสีขาวปนเทาขึ้น ถ้าเป็นมากจะทำให้ทางเดินหายใจแคบลง
ติดต่อโดย Direct airborne Indirect
อาการและอาการแสดง ระยะฟักตัวประมาณ2-5วัน ,ไข้ต่ำๆ อาการคล้ายหวัดในระยะแรก, ไอเสี้ยงก้อง เจ็บคอ เบื่ออาหาร,*แผ่นสีขาวปนเทาติดแน่นอยู่บริเวณทอลซิล (สามารถแยกโรคคอตีบกับโรคทอนซิลได้)
อาการของโรคตามตำแน่ง Nasal diphtheria เป็นบริเวณจมูก อาจทำให้เกิดการอุดตันทางเดินหายใจเนื่องจาก จะมีน้ำมูก คัดจมูก
Pharyngotosillar diphtheria แผ่นเยื่อสีขาวปนเทา(patch) ลุกลามได้รวดเร็ว ทำให้มีการเจ็บคอ ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร
Laryngotrachail diphatheria ไอเสียงก้อง เสียงแหบ ร่วมกับทางเดินหายใจส่วนบนอุดกั้น
Cutaneous diphtheria เป็นการติดเชื้อบริเวณผิวหนังลักษณะแผลที่มีขอบเขดชัดเจน และมีเยื่อสีเทาสกปรกคลุมอยู่
*ภาวะแทรกซ้อน ซีดิบปล่อยtoxin อาจทำให้ปลายประสาทอักเสบ (Nyocarditis) และกล้สมเนื้อหัวใจอักสบ (Myocargitis) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของการเสียชีวิต
การรักษา - ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Penicilin และ Macrolide pากลุ่มนี้สามารถหยุดการแพร่เชื้อได้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังเริ่มให้ยา
- ถ้ารายที่เป็นมากแพทย์จะให้ Dighatheria antitoxin (DAT)
การป้องกัน -ผู้ที่มีอาการของโรคจะมีเชื้ออยู่ในจมูก ลำคอ เป็นระยะเวลา 2-3สัปดาห์ หลังเริ่มมีอาการ
-เด็กจจะต้องพักเต็มที่งดกิจกรรมต่างๆที่ต้องออกแรง ประมาณ2อาทิตย์เป็นอย่างน้อย เพื่อป้องกันฌรคแทกซ้อนที่เกิดกับหัวใจ
โรคไอกรน Pertusis
-
สาเหตุ เกิดจากแบคทีเรียบอรด์ทลา เพอตัสซีส ซึ่งมีอยู่ในปากและลำคอ
การติดต่อทำให้เชื้อกระจายไปยังผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้ง่ายมากหรืออาจจะติดต่อกันโดยการใช้ภาชนะ เช่น ถ้วยน้ำ ช้อย ผู้เช็ดหน้าร่วมกับผู้ป่วย
*ระยะที่ติดต่อกันได้คือระยะ3สัปดาห์
อาการและการแสดง
-
-
พอถึงสัปดาห์ที่3 อาการไอจะเป็นไปแบบไอกรน คือ ไอซ้อนถี่ๆ ติดๆกันจนอาเจียน เด็กจะหน้าแดง หรือในเด็กเล็กหน้าจะเขียว เพราะหายใจไม่ทัน
-
การรักษา
ในเด็กเล็ก อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนี้ต้องรีบนำไปพบแพทย์ในเด็กโตส่วนใหญ่โรคไม่รุนแรวงมากจากจากทรมาน
-
โรคบาดทะยัก Tetanus
โรคติดเชื้อของระบบประสาทและกล้ามที่มีอัตราตายสูง ทำให้มีอาการขากรรไกรแข็งและกล้ามเนื้อชักกระตุกทั่วร่างกาย โดยที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวดี
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียคลอสตริเตียม เตตานาย ซึ่งจะพบทั่วไปในดิน ฝุ่นละอองตามถนน เชื้อบาดทะยักจะพบได้ในลำไส้ของม้า แพะ แกะ วัว และสัตว์อื่น
การติดต่อ
เมื่อคนถ่ายอุจาระก็จะปล่อยเชื้อออกมาทำให้เชื้อโรคกระจายอยู่ทั่วไป โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่ถลอก ทางบาดแผลโดยเฉพาะแผลที่ลึก
อาการและอาการแสดง
-
ทารกแรกเกิด: อาการเริ่มเมื่อทารกอายุประมาณ4-10วัน เด็กดูดนมลำบากและไม่ค่อยดูดนม เด็กจะร้องกวนตลอดเวลา ต่อมาเด็กจะใีขากรรไกรแข็ง มือ แขน เกร็ง หลังแข็งและแอ่น ถ้าเปฌนมากเด็กจะมีอาการชักกระตุกและหน้าเขียว และจะเป็นมากขึ้นถ้ามีเสียงดังหรือเมื่อถูกต้องตัวเด็ก
-
เด็กโต: ขากรรไกรและคอแข็ง หลังจากนี้ 1-2วัน ก็จะเริ่มมีอาการเกร็งในส่วนอื่นๆของร่างกาย เด็กจะยืนและเดินหลังแข็ง แขนเหยียดเกร็ง ใบหน้าจะมีลักษณะเฉพาะกล้ามเนื้อส่วนคอและหดเกร็งมองดูคล้ายยิ้มแสยะและอ้าปากไม่ขึ้น ถ้ามีเสียงดังหรือถูกต้องตัวจะกระตุกมากขึ้น หลังแอ่นและหน้าเขียว
-
การพยาบาล
การปฎิบัติก่อนจะนำไปพบแพทย์ ถ้าสังเกตุว่าเด็กดูดนมไม่ได้ขาการรไกรแข็งก็อย่าพยายามฝืน เพราะอาจทำให้สำลักนมเข้าทางเดินหายใจ ทำให้เป็นปอดบวมได้ ควรหลีกเลี่ยงการจับต้องตัวโดยไม่จำเป็น และอย่าให้มีเสียงดังรบกวนเพราะจำทำให้ชักเกร็งมากขึ้น
-
ไม่ผูกรั้งผู้ป่วยขณะที่มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อ หาผ้าห่มที่ความนุ่มและหนาพอสมควรวางกั้นระหว่างผู้ป่วยและขอบเตียงเพื่อป้องกันการกระแทก
-
-
-
โรคปอลิโอ Poliomyelitis
การติดต่อ
เชื้อโรคอยู่ในลำไส้และออกมาพร้อมอุจจาระ ติดต่อกันโดยเชื้อเข้าทางปากหรือจากการสัมผัสใกล้ชิดกับู่ป่วย อาจพบเชื้อในอุจจาระได้นนาน 6-8สัปดาห์
ในรัยัสัปดาห์แรก อาจพบเชื้อปอลิโออยู่ในลำคอของผู่ป่ววย ดังนั้นการไอหรือจามจึงเป็นทางติดต่อได้ทางหนึ่ง เชื้อโรคเข้าสู่ระบบประสาทโดยผ่านทางเดินน้ำเหลือง
อาการและอาการแสดง
ระยะฟักตัว7-12วัน เริ่มมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย มีอาการปวดศีรษะ และอาจมีอาการคล้ายเป็นหวัด ต่อมาเริ่มมีอาการปวดหลัง ปวดหลังคอและแขนขา จะมีอาการคอแข็งและหลังแข็งตามมา
ในรายที่มีอาการรุนแรงจะพบว่ามีอัมพาตของแขนขาแบบกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ ถ้ากล้ามเนื้อกะบังลมซึ่งมีความสำคัญในการหายใจเป็นอัมพาต
-
การรักษา
ไม่มีเฉพาะ ให้การดูแลรักษาแบบประคับประคอง ในการทีมีอัมพาตหลายส่วนของร่างกายระยะแรกอาจจะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล
-
-
ในการที่มีอัมพาตของแขนขา การนวดที่ถูกวิธีจะช่วยให้กล้ามเนื้อกลับไปทำงานได้มาก ส่วนใหญ่มีกจะดีขึ้นภายในระยะเวลา3-6เดือน หลังจากระยะ18เดือนไปแล้วความหวังว่าจะหายเป็ปกติได้เหลือน้อยมาก การนวดควรเริ่มทำโยเร็วที่สุดตามคำแนะนำของแพทย์
เชื้อปอลิโอจะทำให้มีอาการอักเสบของไขสันหลังและประสาทหรือสมองทำให้เสียชีวิตเป็นอัมพาตหรือพิการตลอดชีวิต
การพยาบาล
-
จัดบรรเทาความเจ็บปวดด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบตามกล้ามเนื้อ จะช่วยลดความเจ็บปวดได้ ไม่ควรทำการบีบนวดแต่ลูบเบาๆได้
-
ผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นปอลิโอจะขุบถ่ายออกมาทางอุจจาระได้เป็นระยะเวลา1-2เดือน จึงควรเฝ้าระวังการแพร่เชื้อจากสิ่งขับถ่ายจากระบบทางเดินอาหาร(enteric precaution) ''แยกคนไข้/ทิ้งอุจาระถูกที่ไม่ทิ่งรวมกับเศษขยะอื่นๆ ''
วัณโรค Tuberculosos
เป็นโรคติดต่อเรื้อรังในผู้ใหญ่จะเป็นที่ปอด ในเด็กอาจเป็นที่อวัยอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้สมสมอง
-
การติดต่อ
ไอจามทำให้เชื้อฟุ่งการจายไปในอากาศ เชื้อวัณโรคในเสมหะอยู่ได้นานถึง 6 เดือน ถ้าไม่ถูกแดดและเกาะอยู่บนพื้น เชื้ออาฟุ้งกระจายในอากาศได้อีก
ดังนั้น เด็กที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงหายใจเข้าไปจึงได้รับเชื้อเข้าไป จึงได้รับเชื้อเข้าไปด้วยและจะเกิดวัณโรคที่ปอดก่อน
*วัญโรคเยื่อหุ้มสมอง ในเด็กโตจะเริ่มีไข้ 1-2สัปดาห์ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน อาจมีตาเหล่ ต่อมาอาจชัก และเสียชีวิตได้
ส่วนในเด็กทารกมักเกิดอาการรวดเร็วมาก อาจเป็นไข้ 2-3 วันแล้วอาเจียน ชัก ไม่รู้สึกตัว
วัณโรคของต่อนำเหลือง จะมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ ขมับ รักแร้ ดตจนคลำได้ ก้อนจะโตขึ้นจนมีแผลแตกออกมา มีหนองไหลเรื้อรัง อาจลุกลามทำให้เป็นติดต่อกันหลายๆ
*วันโรคปอด มีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด บางคนมีอาการไอเรื้อรังเป็นเดือน เด็กโตอาจเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ
-
-
การรักษา
-
-
**บิดามารดาควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะบิดามารดาบางส่วนเมื่อเห็นว่าเด็กอาการดีขึ้นก็จะหยุดยาเอง ทำให้โรคที่กำลังสงบเกิดลุกลามขึ้นมาได้อีก ทำให้การรักษายากขึ้น
-
โรคหัด Measles
โรคไข้ออกผื่นพบมากในเด็กช่วงอายุ2-6ปี เด็กอายุน้อยกว่า6เดือนมักไม่เป็นหัดเพราะได้รับการถ่ายทอดภูมิคุ้มกันจากแม่
-
การติดต่อ
ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอจามของมารดาโดยตรง เชื้อไวรัสจะกระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วย เชื้อจะกระจายอู่ในอากาศเมื่อหายใจเอาละอองที่ปนเชื้อไวรัสเข้าไป ก็ทำให้เป็นโรคได้
ระยะที่มีเชื้ออยู่ในลำคอและติดต่อมากที่สุดคือ**ช่วงระยะ 3-5 วันก่อนผื่นขึ้นจนถึง4วันหลังผื่นขึ้น
อาการและอาการแสดง
1.ระยะฟักตัว พบหลังติดเชื้อประมาณ10-12วัน ระยะยนี้ไม่มีอาการแสดง
แต่พบว่าในผู้ป่วยบางรายจะมีไข้วันที่10 หลังสัมผัสโรค
2.ระยะไข้ มีอาการไข้ต่ำ 3-5 วันก่อนผื่นขึ้น อ่อนเพลีย ไอ น้ำมูก เยื่อบุตาอักเสบ น้ำตาไหลมาก ทอนซิลโตและแดง จะพบจุดสีเทาอมขาวและรอบๆจุดเป็นสีแดงเป็นเม็ดเล็กๆพบในกระพุ่งแก้มเรียก Koplik's spots ซึ่งเป็นลักษณะของโรค มักเกิดขึ้น2-3วันก่อนผื่นที่ผิวหนังจะขึ้น
3.ระยะออกผื่น ในระยะนี้มีอาการรุนแรงที่สุด ผู้ป่วยจะมีไข้สูง โดยผื่นจะเริ่มขึ้นข้างคอ ไรผม และส่วนหลังของแก้ม ต่อมามีผื่นกลายเป็นpapuleสีแดง และลามไปตามหน้าผาก ใบหน้า ลำตัว แขนขา ตามลำดับ ผื่นจะคงอยู่ 4-6วัน
4.ระยะฟื้น เป็นระยะที่ผื่นยุบลง โดยหลังจากที่ผื่นยุบลงจะพบผิวหนังบริเวณนั้นเป็นรอยดำ (hyperigmentation) แล้วค่อยๆลอกออก ซึ่งระยะนี้ผู้ป่วยจะรู้สึกคันบริเวณบริเวณผิวหนังมากขึ้น
โรคแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยเป็นหัดได้แก่ ช่องหูอักเสบ ปอดอักเสบ สมองอักเสบ อุจจาระร่วง และภาวะทุพโภชนาการ ในเด็กมีภาวะทุโภชานาการอยู่แล้ว เมื่อเป็นหัดจะมีอาการรุนแรงงมากขึ้น และถ้ามีปอดอักเสบร่วมด้ววยอาจทำให้เสียชีวิตได้ และในรายที่มีวิตามินเอต่ำ ยิ่งมีอาการรุนแรงมากขึ้น อาจตาบอดได้
การรักษา
ควรพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง ไม่มียารักษาเฉพาะการรักษาส่วนใหญ่รักษาตามอาการ ส่วนใหญ่ไม่สำเป็นต้องใช้ยา นอกจากรายที่มีโรคแทรกว้อน
การพยาบาล
แยกผู้ป่วยเด็ก(Isolation) เมื่อมั่นใจหรือสงสัยว่าเด็กเป็นโรคหัดต้องจัดให้เด็กนอนแยกห้องจากเด็กคนอื่นๆทันที จนถึงระยะ4-5วันหลังจากผื่นขึ้น
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง (clear air way) กรณีที่เด็กมีเสมหะควรสอนให้เด็กไออย่างมีประสิทธิภาพเพื่อขับเสมหะออก
อาหาร (Diet) ให้อาหารอ่อนที่มีคุณค่าของอาหาร เช่น ให้นมและอาหารโปรตีนอื่นๆ **ให้วิตามินเพิ่มโดยเฉพาะวิตามินเอเพื่อทำให้การทำงานของสายตาอยู่ระดับปกติ
-
โรคคางทูม Mump
-
-
การติดต่อ
ระยะฟักตัว18วัน เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ ไปสู่ต่อมน้ำลายในอวัยวะอื่นๆ ในเด็กมักติดต่อกันในสถาบัน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล โรคคางทูมเป็นโรคติดต่อชนิดรวดเร็ว สามารถติดต่อได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
การติดต่อทางตรง โดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน เชื้อโรคจะปนออกมาพร้อมน้ำลาย เสมหะของผู้ป่วยอ การติดต่อทางอ้อมโดยการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วยเช่น ผ้าเช็ดหน้า ช้อน แก้วน้ำ
ต่อมน้ำลายบวมและสามารถติดต่อได้อีกประมาณ 9 วัน - จะมีต่อมน้ำลายหน้าหู(Parotid gland) ข้างเดียวหรือสองข้างโตและเจ็บ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร ไม่สบาย ไข้ต่ำๆ ปวดหู เจ็บบริเวณขากรรไกร บางรายโตขึ้นไปจนถึงระดับตา คาง คอ
การพยาบาล
-
ควรกินอาหารประเภทน้ำ ถ้ารู้สึกเบื่ออาหารและเคี้ยวลำบาก ควรกินอาหารที่อ่อนและย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก
-
-
ทำลายเชื้อโรคที่อาจติดมากับภาชนะที่ใช้ ชเ่น จาน ช้อน แก้วน้ำ ด้วยการฆ่าเชื้อ หนือต้มฆ่าเชื้อแล้วจึงนำไปทำความสะอาด
โรคหัดเยอรมัน Rubella
-
-
-
อาการและอาการแสดง
- เด็กโต จะเริ่มด้วยต่อมน้ำเหลืองที่หลังหู ท้ายทอย และด้สนหลังของลำคอโตและเจ็บเล็กน้อย ไข้ต่ำๆ มีอาการคล้ายเป็นหวัด มีอาการเจ็บคอร่วมด้วย 1-5วัน ประมาณวันที่3 ผื่นจะขึ้นเป็นสีชมพูจางๆ การจายห่าง เป็นแบบ Macular rash เริ่มขึ้นที่หน้าแล้วลามไปทั่วตัวอย่างรวดเร็วภายใน24ชั่วโมง ผื่นที่เห็นชัดบริเวณแขนขา และจะหายไปในเวลา1-2วัน
-
- ทารก การติดเชื้อของทารกในครรภ์จากมารดาที่ติดเชื้อหัดเยอรมัน เมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดแล้วเข้าสู่ทารกโดยผ่านทากรก ทำให้ทารกในคครภ์ติดเชื้อและเกิดความพิการ ความพิการอาจมีแตกต่างกันแล้วแต่ระยะที่มารดาติดเชื้อ ถ้ามารดาติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์สัปดาห์ที่1-4 ทารกจะมีความพิการร้อยละ30-5- ถ้าติดเชื้อสัปดาห์ที่ 5-8 พบความพิการร้อนละ25 ถ้าติดเชื้อสัปดาห์ที่9-12 พบความพิการร้อยละ8
-
-
การักษา
-
การแยกเด็กที่เป็นทำได้ยาก เพราะโรคตอดต่อได้ตั้งแต่ก่อนผื่นขึ้นในสตรีมีครรภ์ต้องแยกจากผู้ป่วยทันทีที่สงสัย แยกจนเลยระยะ 7 วันหลังผื่นขึ้น
โรคสุกใส Cickenpox
-
สาเหตุ
aricella Zoster Virus การติดเชื้อครั้งแรกจะเป็นโรคสุกใสหลังจากนั้นเชื้อจะหลบซ่อนอยู่ที่ dorsal root ganglion และแสดงอาการออกมาเป็นงูสวัส
การติดต่อ
ติดต่อกันง่ายจากการสัมผัสเชื้อที่อยู่ในตุ่มน้ำโยตรง ติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ(Airborne transmission)
-
ระยะติดต่อเริ่มตั้งแต่ 1-2วันก่อนผื่นขึ้นจนกระทั่งผื่นแห้งตกสะเก็ดหมด ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ5 วัน เมื่อเป็นครั้งหนึ่งจะมีภูมิต้านทานตลอดชีวิต
อาการและอาการแสดง
-
-
-
ผื่นเริ่มจากเป็นจุดแดงราบ (macule) ต่อมานูนขึ้นเป็นตุ่มนูน (papule) และเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใส (vesicle) ขนาด2-3 มม โดยผื่นจะเปลี่ยนจากจุดแดงราบเป็นตุ่มน้ำใสในเวลา 6-8 ชั่วโมง ต่อมาตุ่มน้ำใสจะขุ่นขึ้นจนเป็นตุ่มหนอง (pustule) หลังจากนั้นจะตกสะเก็ด โดยจะมีตุ่มใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆทำให้พบผื่นหลายระยะ
การรักษา
เด็กปกติที่อาการไม่รุนแรง ให้การรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ (ห้ามใช้ aspirin) ในรายที่คันมากให้ยาแก้คัน (antihidtamine)
-
แนะนำให้รักษาความสะอาด อาบน้ำ ในเด็กควรตัดเล็บให้สั้น ในรายที่เสี่ยงกับอาการรุนแรง อาจพิจารณาให้ยาต้านไว้รัส โดยให้ Acyclovir และ valacyclovir เป็นยาต้านไวรัสที่ให้ผลดีถเาในระยพแรกๆ ควรให้ภายใน24ชั่วโมงหลังผื่นขึ้น
ระยะเวลาตั้งแต่ผื่นขึ้นจนผื่นชุดสุดท้ายตกสะเก็ดนาน 1-2สัปดาห์ ผื่นที่ตกสะเก็ดจะหลุดหายไปโดยไม่มีแผลเป็นนอกจากจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน
ภาวะแทรกซ้อน
อาจติดเชื้อแบคทีเรียนแทรกซ้อนที่ผื่น ซึ่งอาจลุกลามไปที่ผิวหนัง ข้อ กระดุก กระแสเลือด คือ Staphylococus aureus และStaphylococus pyogrnes
สมองอักเสบ (encephalitis) พบในเด็กอายุน้อยกว่า5ปี หรือผู้ใหญ่อายุมากกว่า20ปี มักเกิดหลังจากผื่น 2-6วัน
ปอดอักเสบ พบในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ มักเกิดภายใน5วันหลังผื่นขึ้น อสกสรอาจดขึ้น 1-3 วัน หรือลุกลามจนมีภาวะหายใจล้มเหลว
Hemorrhaic Chickenpoxเป็นการติดเชื้อแบบแพร่กระจาย มีเกล็ดเลือดต่ำทำให้มีเลือดออกในตุ่มน้ำ(hemorrhagic buiiae) และมีเลือดออกตามผิวหนัง ปากและจมูก มีโอกาสเสียชีวิตสูง มักพบในผู้ป่วยภูมิต้านทานต่ำ เช่นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ได้รับยาเคมีบำบัด รังสีรักษาหรือคอร์โคสเตียรอยด์ ตลอดจนผู้ป่วยโรคเอดส์
การพยาบาล
มีไข้ ให้ใช้ยาลดไข้พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาลดไข้แอสไพรินเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการไรย์ (Reye's syndrome)
-
-
ควรระมัดระวังไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น ระยะแพร่เชื้อคือตั้งแต่ระยะ24ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้นจนกระทั่งตกสะเก็ก
-
-
-
-