Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ - Coggle Diagram
การป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
1.1 วงจรการติดเชื้อ
1.1.2 แหล่งกักเก็บเชื้อโรค (Reservoir)
แหล่งเชื้อโรค
พืช
ดิน
สัตว์
แมลงต่างๆ
คน
เชื้อที่ทำให้เกิดบาททะยักเจริญได้ดีในดิน คนหรือสัตว์ ที่มีเชื้อก่อโรคอยู่ในตัวและตนเองไม่เกิดโรค แต่สามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนอื่นได้เรียกว่า Carrier
เชื้อโรคแต่ละชนิดจะเจริญเติบโตได้ดีในแหล่งเชื้อโรคเฉพาะ
แหล่งของเชื้อโรคเป็นที่ให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและมีการขยายตัว
1.1.3 ทางออกของเชื้อ (Portal of exit)
เชื้อจุลินทรีย์ออกจากร่างกายของคนซึ่งเป็นโรคได้หลายทาง ได้แก่
ระบบทางเดินปัสสาวะ
เชื้อที่อยู่บนแผลที่ผิวหนัง
เชื้อออกทางระบบสืบพันธุ์
เชื้อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์โดยผ่านทางสายสะดือ
ระบบทางเดินหายใจ โดยเชื้อออกมาน้ำมูก ลมหายใจ
โรคบางชนิดที่เชื้อโรคออกจากร่างกายผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อจากการที่แมลงกัดและดูดเลือดไปกัดผู้อื่น
1.1.1 เชื้อก่อโรค (Infectious agent)
เชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อขึ้นอยู่กับความสามารถของเชื้อในการเพิ่มจำนวนและเจริญเติบโต เชื้อก่อโรคแบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด คือ
เชื้อรา
Camdida albicans
Canduda glabrata
ไวรัส
อีสุกอีใส
เริม
เชื้อหัด
ไข้หวัดใหญ่
corona virus
โปรโตซัว
Entamoeba histolytice ทำให้เกิดโรคบิด เป็นต้น
พยาธิ
พยาธิใบไม้ในตับ
พยาธิตัวตืด
พยาธิเส้นด้าย(พบมากในเด็ก)
แบคทีเรียได้แก่ แบคทีเรียแกรมบวก(Gram possitive) และแกรมลบ (Gram negative)
Staphylococcus epidermidis
Staphylococcus
1.1.4 หนทางการแพร่กระจายเชื้อ (Mode of transmission)
เชื้อแพร่กระจายเชื้อจากผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยไปสู่ผู้อื่นได้หลายทาง
เชื้อจุลินทรีย์แต่ละชนิดมีวิธีการแพร่กระจายที่แตกต่างกันซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น
การสัมผัส
การหายใจ
การแพร่กระจายโดยมีตัวนำ
วงจรการติดเชื้อ
ทางออกของเชื้อ
หนทางการแพร่กระจายเชื้อ
แหล่งกักเก็บ
ทางเข้าเชื้อ
เชื้อก่อโรค
ผู้ป่วย
1.1.5 ทางเข้าของเชื้อ (Portal of entry)
โดยการหาทางเข้าไปในร่างกายมนุษย์ใหม่ (Host)
โดยมากทางเข้ามากมีทางเดียวกับที่ออกมา ที่พบบ่อยๆ
ทางเดินหายใจ
ทางเดินอาหาร
อวัยวะสืบพันธุ์
ผิวหนังที่ฉีกขาด
เมื่อเชื้อโรคออกจากแหล่งเชื้อโรคแล้วจะทำให้เกิดโรคได้
การติดเชื้อ (Infection) เป็นปฏิกิริยาของร่างกาย (Host interaction) ที่เกิดขึ้นเมื่อมีเชื้อโรค (Microorganisms) เข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะแบ่งตัวในร่างกายอย่างมากจนทำให้หน้าที่ของร่างกายผิดปกติ และร่างกายมีปฏิกิริยาต่อเชื้อโรคโดยการสร้างภูมิคุ้มกัน (Immune respones) การสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยไม่มีอาการและอาการแสดงของโรคจากเรียกว่า Inapparent infection แต่ถ้ามีอาการของโรคปรากฏให้เห็นจะเรียกว่า Infection disease
1.1.6 ความไวในการรับเชื้อของบุคคล (Susceptible host)
ภายหลังที่เชื้อจุลินทรีย์เข้าไปในร่างกายและจะทำให้บุคคลติดเชื้อง่ายหรือยากขึ้นอยู่กับลักษณะของเชื้อจุลชีพ ธรรมชาติของเนื้อเยื่อที่รับเชื้อ สุขภาพทั่วไปของแต่ละบุคคล ภูมิคุ้มกัน
การติดเชื้อจะเกิดขึ้นได้ต้องมีวงจรของการติดเชื้อครบวงจร ดังนั้นในการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อสามารถทำได้โดยการตัดวงจรการติดเชื้อ ซึ่งการตัดวงจรการติดเชื้อที่สำคัญคือ การทำลายหรือลดแหล่งของเชื้อโรค
1.4 การทำลายเชื้อ และการทำให้ปราศจากเชื้อ
1.4.1 การทำลายเชื้อ (Disinfection)
การกำจัดเชื้อจุลชีพบางชนิดที่แปดเปื้อนผิวหนัง อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ทางการแพทย์ สีพื้นผิวต่างๆโดยใช้สารเคมี คือใช้วิธีทางกายภาพ สำหรับสารเคมีที่ใช้ทำลายเชื้อก่อโรคที่อยู่บนเครื่องมือหรือบนผิวต่างๆเรียกว่า น้ำยาทำลายเชื้อ การทำลายเชื้อมีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้
2.การต้ม
เป็นวิธีการทำลายเชื้อที่ดีที่สุด ทำง่าย ประหยัด และมีประสิทธิภาพดี วิธีการต้มโดยทั่วไปแนะนำต้มเดือดนาน 20 นาที
3.การใช้สารเคมี
เป็นวิธีการสุดท้ายที่จะใช้ถ้าไม่มีวิธีอื่น เนื่องจากฤทธิ์ของการทำลายเชื้อของสารเคมีเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยต่างๆ เช่นเชื้อโรค
1.การล้าง
ผู้ล้างต้องระมัดระวังมิให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ โดยการสวมถุงมือยาง ผ้ากันเปื้อน และแว่นป้องกันตา การจับของแหลมคมต้องระมัดระวังอย่าให้ถูกตามหรือบาทได้
4.การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ
4.การทำแผล
ล้างแผลให้สะอาดด้วย Steriled normal saline สกปรกเช็ดผิวหนังรอบๆแผลด้วย Alcohol 70% หรือ Tr.iodine 2% หรือ lodophor 10% ถ้ามีหนองมากให้ทำ Wet dressing ด้วย Steriled normal saline ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทางในบาดแผลเพราะน้ำยาจะไปทำลายและขัดขวางการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ
5.การทำความสะอาดฝีเย็บก่อนคลอดหรือก่อนการตรวจภายใน
ใช้ Centrimide 15% + Chlorhexidine 1.5% เจือจาง 1:200
3.การเตรียมผิวหนัง
-ผ่าตัดเล็กใช้ แอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือ Tr.iodine 2 เปอร์เซ็นต์
-ผ่าตัดใหญ่ใช้ฟอกให้เป็นบริเวณกว้างด้วย Chlorhxidie 4 เปอร์เซ็น หรือ lodophor 7.5 เปอร์เซ็นต์
เช็ดน้ำยาออก แล้วทาด้วย Alcohol 70%+Clorhexidine 0.5% หรือ lodophor 10%
-เพื่อการฉีดยาใช้ แอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์
6.การสวนล้างช่องคลอด
ใช้ Cetrimide 15% + Chlorhexidine 1.5% เจือจาง 1:100 หรือ Chloroxylenol 1:100 หรือ 1:200
2.การล้างมือก่อนทำหัตถการ (Surgical handwashing)
เช่นการผ่าตัด การทำคลอด เป็นต้น ถ้าเป็นการทำหัตถการครั้งแรกของวันให้แปลงและแสนถึงข้อสอบให้ทั่วทุกซอกทุกมุมด้วย Chlorhexidine 4% หรือ lodophor 7.5% เป็นเวลาอย่างน้อย 5 นาที ครั้งต่อไปพวกมึงให้ทั่วด้วยน้ำยาข้างต้นนาน 3 ถึง 5 นาที
7.การทาช่องคลอดก่อนผ่าตัดใช้ Iodophor 10% และแบ่งระดับการทำลายออกมาดังนี้
2. การทำลายเชื้อระดับกลาง
Do not destroy bacteria spores
3. การทำลายเชื้อระดับต่ำ
สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และ เชื้อรา บางชนิด
แต่ไม่สามารถทำลายเชื้อ TB
1.การทำลายเชื้อระดับสูง
สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และ เชื้อรา ทุกชนิด รวมถึง TB
1.การล้างมือธรรมดา (Normal hand washing)
ใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลว การล้างมือหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อโรคและการล้างมือก่อนสัมผัสผู้ป่วยภูมิคุ้มกันโรคต่ำ
1.4.2 การทำให้ปราศจากเชื้อ (Sterilization)
กระบวนการในการทำลายหรือขจัดเชื้อจุลชีพทุกชนิดรวมทั้งสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียจากเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ที่ต้องผ่านเข้าสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ปราศจากเชื้อ กระแสเลือดหรือเนื้อเยื่อ
การเลือกวิธีการทำปราศจากเชื้ออยู่กับลักษณะและประเภทของอุปกรณ์ที่ต้องการทำให้ปราศจากเชื้อระยะเวลาที่ใช้ในการทำลายสปอร์ของเชื้อแบคทีเรีย วิธีการทำให้อุปกรณ์ปราศจากเชื้อแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี
1.วิธีทำกายภาพ (Physical method)
2.วิธีทางเคมี(Chemical method)
การทำลายเชื้อและการทำให้ปราศจากเชื้อเป็นองค์ประกอบสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล ดังนั้นการปฏิบัติในการทำลายเชื้อและการทำให้ปราศจากเชื้อจะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย
1.6 กระบวนการพยาบาลในการป้องกันและควบคุมเชื้อ
1.6.2 การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
เมื่อรวบรวมข้อมูลจากการประเมินมาแล้วนำข้อมูลที่ได้มากำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล ตัวอย่าง ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลในการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ เช่น
มีโอกาสเกิดการระบาดของโรคในชุมชน
เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
1.6.3 การวางแผนและการให้การพยาบาล (Planning and Implementation)
เมื่อได้ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล จากข้อมูลสนับสนุนที่ประเมินได้ ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ เกณฑ์การประเมิน และ การพยาบาลตามปัญหาของผู้ป่วย เพื่อให้สามารถแก้ไข บรรเทาผู้ป่วยได้
กิจกรรมการพยาบาลเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นมีดังนี้
ใช้หลัก เทคนิคปลอดเชื้อ
ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วยและญาติ
ล้างมือก่อนและหลังการให้การพยาบาลผู้ป่วย
รายงานอุบัติการการเฝ้าระวังการเกิดโรคต่อคณะกรรมการการติดเชื้อของโรงพยาบาล
1.6.1 การประเมินความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของผู้ป่วย(Assessment)
โดยการซักประวัติและตรวจร่างกายเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วย การรักษาที่ได้รับ ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ เป็นต้น
1.6.4 การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
ไม่มีการแพร่กระจายเชื้อสู่ญาติและบุคลากรในหอผู้ป่วย
พยาบาลเป็นผู้ปฏิบัติงานที่ใกล้ที่สุดผู้ป่วยมากที่สุด และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ เพราะทุกกิจกรรมการพยาบาลสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อได้ทั้งสิ้น ดังนั้นพยาบาลควรจะต้องการหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติเพื่อป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในขณะปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลอยู่เสมอโดยยึดหลักเทคนิคปลอดเชื้อ
1.3 การติดเชื้อในโรงพยาบาล
1.3.1 องค์ประกอบของการติดเชื้อในโรงพยาบาล
การติดเชื้อในโรงพยาบาลมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องเหมือนการติดเชื้อทั่วไป
2.คน
ผู้ที่ติดเชื้อในโรงพยาบาลส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วย แต่อาจจะเป็นบุคลากรในโรงพยาบาลได้ ความแข็งแรงหรือภูมิต้านทานโรคเป็นปัจจัยสำคัญ โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลจะพบได้มากในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เด็กเล็กที่มีภูมิต้านทานยังพัฒนาไม่เต็มที่ ผู้สูงอายุ เป็นต้น
3.สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมผู้ป่วยในโรงพยาบาลครอบคลุมถึง อาคาร สถานที่ เครื่องมือเครื่องใช้ บุคลากรในโรงพยาบาล และญาติที่มาเยี่ยม ในอนาคตเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ตรวจหรือรักษาโดยการสอดสายเข้าร่างกายผู้ป่วยจะมีมากขึ้นการใช้เครื่องมือเหล่านี้จะเลือกให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
1.เชื้อโรค
ส่วนใหญ่เป็นเชื้อประจำถิ่น เชื้อที่พบบนร่างกายผู้ป่วยเอง (Normal flora หรือ Colonization) ในประเทศไทยเชื้อก่อโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลที่พบมากที่สุด คือ แบคทีเรียแกรมลบทรงแท่ง เชื้อก่อโรคเหล่านี้เป็นเชื้อที่อยู่ในโรงพยาบาล อัตราดื้อต่อยาปฏิชีวนะในอัตราสูง
1.3.2 การแพร่กระจายเชื้อ
การแพร่กระจายเชื้อจากแหล่งของเชื้อโรคเข้สู่ผู้ป่วยเกิดขึ้นได้ หลายวิธี ดังต่อไปนี้
3.การแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ (Airborne transmision)
เป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ
4.การแพร่กระจายเชื้อโดยการผ่านสื่อนำ (Vehicle transmission)
เป็นการแพร่กระจายเชื้อซึ่งเกิดจากการที่มีเชื้อจุลชีพปนเปื้อนอยู่ในเลือด ผลิตภัณฑ์ของเลือด อาหาร น้ำ ยา แม่น้ำที่ให้ทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วย
2.การแพร่กระจายเชื้อโดยฝอยละออง (Droplet spread)
เกิดจากการสัมผัสกับฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน เมื่อเกิดขึ้นในระยะไม่เกิน 3 ฟุต ดูฝนละอองอาจเกิดขึ้นขณะที่ผู้ป่วย ไอ จาม พูด และร้องเพลง รวมทั้งการให้กิจกรรมการรักษา เช่น การดูดเสมหะ
5.การแพร่กระจายเชื้อโดยสัตว์พาหนะ (Vector-Borne trasmission)
เป็นการแพร่เชื้อโดยแมลง หรือสัตว์นำโรค คุณได้รับเชื้อจากการถูกแมลงหรือสัตว์กัด และเชื้อที่มีอยู่ในตัวแมลงถูกถ่ายทอดสู่คน เช่น ถูกยุงที่มีเชื้อมาลาเรียกัด
1.การแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัส (Contact trnsmission)
หมายถึงการแพร่เชื้อด้วยวิธีการสัมผัสระหว่างเชื้อก่อโรคกับบุคคลที่ไวต่อการติดเชื้อ การแพร่กระจายเชื้อวิธีนี้มักเกิดขึ้นระหว่างการดูแลรักษาผู้ป่วย แบ่งได้เป็น 2 วิธี
1.การแพร่เชื้อโดยการสัมผัสโดยตรง Direct contact trnsmission
เป็นการแพร่กระจายเชื้อที่มีการสัมผัสกันโดยตรงระหว่างคนต่อคน เกิดจากการที่มือไปสัมผัสแหล่งโลกและสัมผัสผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือของบุคลากรผู้ให้การพยาบาลผู้ป่วย เช่น การพลิกตะแคงตัวผู้ป่วย การอาบน้ำเช็ดตัวผู้ป่วย การทำแผล เป็นต้น
2การแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัสโดยอ้อม Indirect contact trnsmission
เป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัสกับสิ่งของหรือปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อก่อโรค เช่น ของเล่นในแผนกเด็กป่วย ลูกบิดประตู ผ้าปูที่นอน เครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น
ความหมาย
การติดเชื้ออันเป็นผลจากการที่ผู้ป่วยได้รับจุลินทรีย์ขณะอยู่ในโรงพยาบาล เชื้อจุลินทรีย์ อาจเป็นเชื้อที่มีอยู่ในตัวของผู้ป่วยเองหรือเป็นเชื้อจากภายนอกร่างกายผู้ป่วย
โดยขณะที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้ออยู่และไม่ได้อยู่ในระยะฟักตัวของเชื้อ หากไม่ทราบระยะฟักตัวของเชื้อนานเท่าไหร่ให้ถือว่าเป็นการติดเชื้อในโรงพยาบาล หากพบว่าการติดเชื้อนั้นปรากฏอาการหลังจากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 48 ชั่วโมง
1.2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
1.2.5 โรคภูมิแพ้หรือโรคเรื้อรัง
คนที่มีอาการแพ้ต่างๆหรือมีโรคเรื้อรัง มีความต้านทานต่ำกว่าคนปกติ จึงทำให้ความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่รุกรานเข้ามาน้อย
1.2.6 เพศ
เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการรับการติดเชื้อเหมือนกัน พบว่าโรคบางชนิดพบมากในแต่ละเพศไม่เท่ากัน เช่น มักพบโรคปอดบวมในผู้ชายมากกว่า และพบโรคอีดําอีแดงในผู้หญิงมากกว่า เป็นต้น
1.2.4 ความร้อนหรือเย็น
คนที่ได้รับความร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไปมีความไวต่อการติดเชื้อมากกว่า เนื่องจากร่างกายต้องปรับตัวต่อความร้อนหรือความเย็นมากเกินไป
1.2.7 กรรมพันธุ์
เช่น บางคนขาดสารอาหาร Immunoglobulin ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายเป็นต้น
1.2.3 ความอ่อนเพลีย
พบว่าคนที่อ่อนเพลีย พักผ่อนไม่เพียงพอจะติดเชื้อง่ายกว่า มีความต้านทานต่อเชื้อโรคน้อยกว่า เช่น คนที่ทำงานหนักเกินไป เป็นต้น
1.2.8 อายุ
ในเด็กมีความไวต่อการติดเชื้อมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ได้ดีเท่าผู้ใหญ่ นอกจากนี้คนสูงอายุมีภูมิต้านทานน้อยกว่า เนื่องจากร่างกายได้รับอาหารไม่เพียงพอและผู้สูงอายุมักมีโรคเรื้อรังร่วมด้วย
1.2.2 ภาวะโภชนาการ
บุคคลที่ได้รับอาหารครบถ้วนความไวต่อการติดเชื้อจะน้อยกว่าคนที่ขาดอาหาร เชื่อกันว่าโปรตีนเป็นสารอาหารที่ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อและช่วยให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโต ดังนั้นมักพบว่าคนที่ขาดอาหารติดโรคต่างๆได้ง่าย เช่น วัณโรค เป็นต้น
1.2.9 การรักษาทางการแพทย์บางชนิด
ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย เช่น คนที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงรังสี มีการทำลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้น ลดการสร้างเม็ดเลือดขาวและแอนติบอดี ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ หรือคนที่ได้รับยาที่กดการสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
1.2.1 ความเครียด (Stress)
ถ้าบุคคลมีความเครียดเกิดขึ้น จะมีความไวต่อการติดเชื้อได้ง่ายกว่า เช่น คนที่พึ่งฟื้นจากการผ่าตัดใหม่ๆ ยอมรับการติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนที่มีสุขภาพแข็งแรง เป็นต้น
1.2.10 อาชีพ
อาชีพมีโอกาสที่จะสัมผัสกับเชื้อได้ง่าย หรือลดประสิทธิภาพของกลไกการป้องกันตนเอง เช่น คนเลี้ยงนกพิราบมีโอกาสติดเชื้อไวรัส H1N1 เป็นต้น
1.5 การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
1.5.1Standara precaution
1.ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือสบู่ยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง
การล้างมือแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
2.การล้างมือภายหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งปนเปื้อนเชื้อโรค (Hygienic hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อขจัดเชื้อจุลชีพที่อยู่ชั่วคราวการปฏิบัติการรักษาที่ใช้เทคนิคปราศจากเชื้อ
3.การล้างมือก่อนทำหัตถการ (Surgical hand washing)
เป็นการล้างมือเพื่อขจัดหรือทำลายเชื้อหรือทำจุลชีพซึ่งอยู่ชั่วคราวบนมือ และลดจำนวนจุลชีพประจำถิ่นบนมือเพื่อเตรียมหัตถการ
1.การล้างมือธรรมดา (Normal hand washing)
เป็นการล้างเพื่อขจัดสิ่งเปรอะเปื้อน
ปัจจุบันการล้างมือมีวิธีการทั้งหมด 7 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 3
ฝ่ามือถูฝ่ามือและกางนิ้วมือ เพื่อถูง่ามนิ้ว
ขั้นตอนที่ 4
มือสองข้างจับล็อคกัน ให้ฝ่ามืออีกข้างถูหลังนิ้วมือ และนิ้วมือถูนิ้วมือ
ขั้นตอนที่ 2
ฝ่ามือถูหลังมือและกางนิ้วมือ เพื่อถูง่ามนิ้วมือ
ขั้นตอนที่ 5
หัวแม่มือโดยรอบ ด้วยฝ่ามือ
ขั้นตอนที่ 6
ใช้ปลายนิ้วมือถูฝ่ามือ ทำสลับกันทั้ง 2 ข้าง
ขั้นตอนที่ 7
ถูรอบข้อมือทั้งสองข้าง
ขั้นตอนที่ 1
เปิดน้ำให้ราดมือทั้งสองข้าง ฟอกด้วยสบู่ให้ทั่วมือ โดยหันฝ่ามือถูฝ่ามือ
4.การใช้ Alcohol hand rubs
กรณีที่มือไม่ได้เปื้อนสิ่งสกปรก เลือดหรือคัดหลั่ง
ใช้ Alcohol 3-5 ม.ล ใช้ฝ่ามือไม่ทั่วฝ่ามือ
ทดแทนการล้างมือในกรณีเร่งด่วน
2.เครื่องมือป้องกันเมื่อคาดว่าจะสัมผัสเลือดหรือจะคัดหลั่งผู้ป่วย
การใช้เครื่องป้องกันร่างกาย
แต่ละชนิด มีรายละเอียดดังนี้
4. หยิบจับอุปกรณ์ที่มีคมที่ใช้กับผู้ป่วยด้วยความระมัดระวัง
ทิ้งอุปกรณ์มีคมที่ใช้แล้วในพาหนะที่เหมาะสม
5.ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนเลือดหรือสารคัดหลั่งอย่างถูกวิธี
3.ผ้าปิดปากและจมูก
ใช้ป้องกันการแพร่เชื้อจากจมูกและปากจากผู้สวมสู่คนที่อยู่ใกล้เคียง แต่ในบางกรณีผ้าปิดปากและจมูก ก็สามารถช่วยลดละอองน้ำหรือเลือดที่กระเด็นในขณะทำการผ่าตัดไม่ให้มาสัมผัสกับปาก จมูกได้
6.บรรจุภาคเพื่อนในถุงพลาสติกผูกปากถุงให้แน่น
เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อและการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง
7.ทำความสะอาดและทำลายเชื้อ
หรือทำให้ปราศจากเชื้ออุปกรณ์การแพทย์ทุกชนิดที่ใช้กับผู้ป่วยแล้ว
8.หลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผลขณะปฏิบัติงาน
โดยเฉพาะถูกเข็มที่ใช้กับผู้ป่วย
2.เสื้อคลุม
ใช้เมื่อจะสัมผัสกับสิ่งที่มีเชื้อโรค เช่น การอุ้มเด็กที่มีแผลพุพองตามลำตัว เป็นต้น
1.ถุงมือ มี 2 ประเภท
-ถุงมือปราศจากเชื้อ ใช้เมื่อจะหยิบ จับ เครื่องมือที่ปราศจากเชื้อ หรือเมื่อจะทำหัตถการ เช่น การเจาะ การผ่าตัด
-ถุงมือสะอาด ใช้เมื่อจะหยิบ จับ สิ่งของสกปรก น่ารังเกียจ มีสารพิษ หรือมีเชื้อโรคการจับต้องผู้ป่วย
การนำแนวปฏิบัติของ Universal precautions และ Body subtance isolation ซึ่งเป็นการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากเลือด สารน้ำของร่างกาย สารคัดหลั่งทุกชนิด และสารขับถ่าย ยกเว้น มาใช้กับผู้ป่วยทุกรายที่เข้ารับโรงพยาบาล
1.5.2 Transmission-base precautions
1.การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ (Airborne precaution)
เป็นการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อที่มีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน ซึ่งเราอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน ดูฝุ่นละอองที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ หากมีอาการผิดปกติของปอดโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรปฏิบัติตามแนวทางการปฏิบัติดังนี้
3.อากาศภายในห้องแยกควรถูกดูดออกภายนอกโดยตรงหรือผ่านเครื่องกรองที่มีประสิทธิภาพ
4.ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผู้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องใส่ผ้าปิดปากจมูก ชนิด n95
2.ผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกัน จะให้อยู่ห้องเดียวกันได้
จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
1.แยกผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อไว้ในห้องแยกพิเศษ แม่ปิดประตูทุกครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
2.การป้องกันการแพร่กนะจายเชื้อจากฝอยละอองน้ำมูกน้ำลาย (Droplet precautions)
เป็นการปฏิบัติเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจุลชีพที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน อนุภาคปล่อยละอองน้ำมูกน้ำลายเกิดจากการ ไอ จาม พูด การดูดเสมหะ การส่องกล้อง
3.หากไม่มีห้องแยกและไม่สามารถตัดให้ผู้ป่วยต้องกันได้ ผ้าปิดปาก-จมูก เมื่อให้การดูแลผู้ป่วยในระยะ 3 ฟุต
4.ผู้ที่จะเข้าไปในห้องผุ้ป่วยหรือดูแลผู้ป่วยต้องใส่ ผ้าปิดปาก-จมูก เมื่อให้การดูแล ผู้ป่วยในระยะ 3 ฟุต
2.ผู้ป่วยด้วยโรคเดียวกัน จัดให้อยู๋ห้องเดียวกันได้
5.จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หากจำเป้นควรให้ผู้ป่วยใส่ผ้าปิดปาก-จมูกชนิดชนิดใช้แล้ว
1.แยกผู้ป่วยไว้ในห้องแยก และปิดประตูทุกครั้งหลังเข้าหรือออกจากห้องผู้ป่วย
การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อที่ทำให้เกิดโรคตามทางที่เชื้อออกจากตัวผู้ป่วยและทางที่จะเข้าสู่บุคคล ซึ่งการแพร่กระจายเชื้อของผู้ป่วยจะต้องทราบทางออกและทางเข้าของเชื้อโรคแต่ละชนิด และประกอบด้วยวิธีการแพร่กระจายเชื้อทั้งหมด 3 วิธี
3.การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัส (Contact precautions)
เป็นการปฏิบัติเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อที่เกิดจากการสัมผัสทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อหรือมีเชื้อเจริญอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย
3.สวมเสื้อคลุม หากคาดว่าอาจสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หนอง อุจจาระของผู้ป่วย
4.จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย หากจำเป็นต้องเคลื่อนย้าย ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการแปดเปื้อนเชื้อในสิ่งแวดล้อม
2.ถอดถุงมือและล้างมือด้วยสบู่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนออกจากห้องผู็ป่วย
5.หากสามารถทำได้แยกอึปกรณ์ชนิด Non-critical items สำหรับผู้ป่วยโดยเฉพาะ หากไม่สามารถแยกอุปกรณ์ได้ต้องทำความสะอาดและทำลายเชื้อก่อนนำไปใช้กับผู้ป่วยอื่น
1.สวมถุงมือเมื่อให้การดูแลผู้ป่วย และเปลี่ยนถุงมือคู่ใหม่เมื่อสัมผัสสิ่งคัดหลั่งหรือส่วนของร่างกายที่น่าจะมีเชื้อโรคจำนวนมากขณะให้การพยาบาลผู้ป่วยรายเดิม
ปฏิบัติเอากันไม่ให้เชื้อจุลชีพผู้ป่วยที่มีเชื้อราจะไม่ปรากฏอาการผู้ป่วย แพร่ไปสู่ผู้ป่วยอื่น บุคลากรหรือญาตืผู้ป่วย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี
การควบคุมการแพรกระจายเชื้อ
4.การทำลายเชื้อและการทำให้ปราศจากเชื้อต้องกระทำอย่างถูกต้อง
เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้ อาคาร สถานที่ ปราศจากเชื้อโรคที่จะทำอันตรายต่อผู้ป่วยและบุคลากร
5.การใช้ยาต้านจุลชีพอย่างถูกต้องและมีนโยบายที่แน่นอน
การใช้ยาต้านจุลชีพมากเกินไปหรือใช้อย่างพร่ำเพรื่อจะทำให้มีเชื้อดื้อยามาก แต่ถ้าโรงพยาบาลควรมีคณะกรรมการควบคุมการใช้ยาต้านจุลชีพเพื่อให้การรักษาโรคติดเชื้อได้ดี ประหยัด และป้องกันหรือชะลอการเกิดการดื้อยาของจุลชีพ
3.สิ่งแวดล้อม อาคาร สถานที่
ควรให้สะอาดและแห้ง ไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคหรืออยู่ที่ของสัตว์พาหนะน้ำดื้ม น้ำใช้ สะอาดได้มาตรฐาน
1.การทำลายขยะ
ขยะพวกที่เป็นเลือด หนอง หรือน้ำสามารถเทลงโถส้วมได้ สำหรับกระดาษ ผ้าต่างๆทิ้งแบบขยะธรรมดาได้
ยกเว้นพวกที่เป็นเข็ม ใบมีด เชื้อโรคจากห้องปฏิบัติการ ถ้าทิ้งจะต้องส่งไปทำลายเชื้อจุลินทรีย์โดย Autoclave ก่อนทิ้ง วิธีการทำลายขยะโดยการเผาในปัจจุบันต่างประเทศได้เลือกใช้วิธีนี้ เพราะราคาแพงให้เกิดสิ่งแวดล้อม
2.การแยกขยะในโรงพยาบาล
-ขยะทั่วไป
แยกเป็นขยะแห้งและขยะเปียก ใส่ถุงสีดำ
-ขยะเป็นพิษ
เช่น แผ่นแก๊ส โซดาลามของนางวิสัญญี ถ่านไฟฉาย อุปกรณ์ที่ใช้ในการให้เคมีบำบัด
-ขยะติดเชื้อ
ใส่ถุงสีแดง ถ้าดป็นของมีคมแยกใส่ภาชนะที่ไม่ทะลุได้ง่าย วิธีที่ดีที่สุดซื้อกางเกงในกระป๋องโลหะที่มีปากแคบและเมื่อเต็มก็ปิดฝาแล้วส่งทำลาย
-ขยะที่นำกลับไปใช้ใหม่
ใส่ถุงสีขาว เช่น ขวดน้ำเกลือ
6.การเฝ้าระวังการติดเชื้อในโรงพยาบาล
เพื่อให้ทราบลักษณะการเกิดและการกระจายของการติดเชื้อในโรงพยาบาล สถานการณ์หรือแนวโน้มของการติดเชื้อในโลกโดยมีจุดมุ่งหมาย ดูการลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
2.ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันโรคน้อย
ควรจะแยกจากแหล่งของเชื้อโรค และพยายามรักษาสาเหตุที่ทำให้ภุมิคุ้มกันโรคเสียไป
7.การติดเชื้อของบุคลากรในขณะปฏิบัติงานในโรงพยาบาล
บุคลากรทางการแพทย์อาจจะได้รับเชื้อในขณะปฏิบัติงานได้ 3 ทาง
มึงมีบาดแผลหรือผิวหนังแตกเป็นรอย
เลือดหรือสารคัดหลั่งกระเด็นเข้าตา ปาก จมูก
เข็มตำหรือของมีคมบาด
1.กำจัดเชื้อโรค
แหล่งของเชื้อโรคอาจจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรืออาคารสถานที่ ต้องกำจัดให้มากที่สุดเท่ามี่จะทำได้