Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การป้องกันและการควบคุมการติดเชื้อ, คือ, คือ, หมายถึง - Coggle Diagram
การป้องกันและการควบคุมการติดเชื้อ
1.1 วงจรการติดเชื้อ
การติดเชื้อจะเกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบต่าง ๆ ได้แก่ เชื้อก่อโรค แหล่งกักเก็บเชื้อโรค ทางออกของเชื้อ หนทางการแพร่กระจายเชื้อ ทางเข้าของเชื้อความไวของบุคคลในการรับเชื้อเรียกว่า
“วงจรการติดเชื้อ” (Chain of infection)
1.1.1 เชื้อก่อโรค (Infectious agent)
เชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ
ขึ้นอยู่กับความสามารถของเชื้อในการเพิ่มจำนวนและเจริญเติบโต
แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด คือ
1) แบคทีเรีย ได้แก่ แบคทีเรียทั้งแกรมบวก (Gram positive) และแกรมลบ (Gram negative)
2) โปรโตซัว เช่น Entamoeba histolytica ทำให้เกิดโรคบิด
3) เชื้อรา เช่น Candida albicans และ Canduda glabrata
4) ไวรัส เช่น เชื้อหัด อีสุกอีใส
5) พยาธิ เช่น พยาธิเส้นด้าย (พบมากในเด็ก)
1.1.2 แหล่งกักเก็บเชื้อโรค (Reservoir)
แหล่งของเชื้อโรคเป็นที่ให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและมี
การขยายตัว
แหล่งเชื้อโรคอาจเป็นคน สัตว์
พืช ดิน และแมลงต่าง ๆ อาทิ เหา เห็บ หมัด
เชื้อที่ทำให้เกิดบาดทะยักเจริญได้ดีในดิน คนหรือสัตว์
ที่มีเชื้อก่อโรคอยู่ในตัวและตนเองไม่เกิดโรคแต่สามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนอื่นได้เรียกว่า Carrier
1.1.3 ทางออกของเชื้อ (Portal of exit)
เชื้อจุลชีพออกจากร่างกายของคนซึ่งเป็นโรคได้หลาย
ทางทั้งระบบทางเดินหายใจ โดยเชื้อออกมาพร้อมน้ำมูก ลมหายใจ เชื้อออกทางระบบสืบพันธุ์ ระบบทางเดินปัสสาวะ
1.1.4 หนทางการแพร่กระจายเชื้อ (Mode of transmission)
เชื้อจุลชีพแต่ละชนิดมีวิธีการแพร่กระจายที่แตกต่างกันซึ่งสามารถแบ่ง
ออกได้เป็น การสัมผัส การหายใจ การแพร่กระจายโดยมีตัวนำ
1.1.5 ทางเข้าของเชื้อ (Portal of entry)
โดยมากทางเข้ามักเป็นทางเดียวกับที่ออกมา ที่
พบบ่อยๆ ได้แก่ ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร อวัยวะสืบพันธุ์ และผิวหนังที่ฉีดขาด
1.1.6 ความไวในการรับเชื้อของบุคคล (Susceptible host)
โดยธรรมชาติร่างกายมีกลไกและสิ่งที่จะต่อสู้กับ
จุลชีพที่มารุกรานอยู่แล้วอาทิ มีผิวหนังป้องกันการรุกรานของจุลชีพ ขนอ่อนในจมูกช่วยกรองอากาศที่หายใจเข้าไป
มีขบวนการอักเสบ มี Enzyme ที่ชื่อ Lysozyme ทำลาย Bacteria มี Antibody ที่คอย
ต่อสู้กับสารติดเชื้อหรือพิษของมัน
1.2 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเสี่ยงต่อการติดเชื้อในแต่ละบุคคล
1.2.1 ความเครียด (Stress)
ถ้าบุคคลมีความเครียดเกิดขึ้น จะมีความไวต่อการติดเชื้อได้ง่าย เช่น คนที่เพิ่งฟื้นจากการผ่าตัดใหม่ๆ
1.2.2 ภาวะโภชนาการ
บุคคลที่ได้รับอาหารครบถ้วนความไวต่อการติดเชื้อจะน้อยกว่าคนที่ขาดอาหาร มักพบว่าคนที่ขาดอาหารมักติดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น วัณโรค
1.2.3 ความอ่อนเพลีย
เช่น คนที่ทำงานหนักเกินไป
1.2.4 ความร้อนหรือเย็น
คนที่ได้รับความร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไปมีความไวต่อการติดเชื้อ
มากกว่า เนื่องจากร่างกายต้องปรับตัวต่อความร้อนหรือความเย็นมาก
1.2.5 โรคภูมิแพ้หรือโรคเรื้อรัง
คนที่มีอาการแพ้ต่าง ๆ หรือมีโรคเรื้อรัง
จึงทำให้ความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคที่รุกรานเข้ามาน้อยลง
1.2.6 เพศ
เช่น มักพบโรคปอดบวมในผู้ชายมากกว่า และพบโรคอีดำอีแดงในผู้หญิงมากกว่า
1.2.7 กรรมพันธุ์
บางคนขาดสาร Immunoglobulin ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการสร้าง
ภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
1.2.8 อายุ
ในเด็กมีความไวต่อการติดเชื้อง่ายกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายไม่ได้ดีเท่าผู้ใหญ่ คนสูงอายุมีภูมิต้านทานน้อยกว่าคนสูงอายุมเพราะมีโรคเรื้อรังร่วมอยู่ด้วย
1.2.9 การรักษาทางการแพทย์บางชนิด
เช่น คนที่ได้รับการรักษา
ด้วยการฉายรังสี มีการทำลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้น
1.2.10 อาชีพ
เช่น คนเลี้ยงนกพิราบมีโอกาสติดเชื้อไวรัส H1N1
1.3 การติดเชื้อในโรงพยาบาล
การติดเชื้ออันเป็นผลจากการที่
ผู้ป่วยได้รับเชื้อจุลชีพขณะอยู่ในโรงพยาบาล
อาจเป็นเชื้อที่มีอยู่ในตัวผู้ป่วยเอง
(Endogenous organism) หรือเป็นเชื้อจากภายนอกร่างกายผู้ป่วย (Exogenous organism)ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้ออยู่และไม่ได้อยู่ในระยะฟักตัวของเชื้อ
โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลไม่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ป่วยเท่านั้นบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลก็อาจติดโรคได้ เช่น แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์อื่น
1.3.1 องค์ประกอบของการติดเชื้อในโรงพยาบาล
1) เชื้อโรค
ส่วนใหญ่เป็นเชื้อประจำถิ่น หรือเชื้อที่พบบนร่างกายผู้ป่วยเอง
(Normal flora) ที่พบมากที่สุด คือ เชื้อแบคทีเรียกรัมลบทรงแท่ง
(Gram negative bacilli)
2) คน
ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วย แต่อาจจะเป็นบุคลากรใน
โรงพยาบาลได้ จะพบได้มาก
ในผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ
3) สิ่งแวดล้อม
อาคาร สถานที่ เครื่องมือ
เครื่องใช้ บุคลากรในโรงพยาบาล และญาติที่มาเยี่ยม
1.3.2 การแพร่กระจายเชื้อ
1) การแพ ร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัส (Contact transmission)
การแพร่กระจายเชื้อด้วยวิธีการสัมผัสระหว่างเชื้อก่อโรคกับบุคคลที่ไวต่อการติดเชื้อ มีอยู่ 2 วิธี
(1) การแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัสโดยตรง (Direct–contact transmission) เกิดจากการที่มือไปสัมผัสแหล่งโรค
แล้วสัมผัสผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือของบุคลากรผู้ให้การพยาบาลผู้ป่วย เช่น การทำแผล
(2) การแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัสโดยอ้อม (Indirect–contact transmission)
เป็นการแพร่กระจายเชื้อโดยการสัมผัสกับสิ่งของหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อก่อโรค
2) การแพร่กระจายเชื้อโดยฝอยละออง (Droplet spread)
เกิดจากการสัมผัสกับฝอย
ละอองน้ำมูกน้ำลายที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน มักเกิดขึ้นในระยะไม่เกิน 3 ฟุต เกิดขึ้นขณะที่ผู้ป่วย ไอ จาม พูด
3) การแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ (Airborne transmission)
โดยการสูดหายใจเอาเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ
เชื้อจุลชีพที่แพร่กระจายโดยวิธีนี้ เช่น เชื้อสุกใส เชื้อวัณโรค งูสวัด
4) การแพร่กระจายเชื้อโดยการผ่านสื่อนำ (Vehicle transmission)
เกิดจากการที่มีเชื้อจุลชีพปนเปื้อนอยู่ในเลือด ผลิตภัณฑ์ของเลือด อาหาร น้ำ ยา สารน้ำที่ให้ทางหลอดเลือดดำแก่ผู้ป่วย
5) การแพร่กระจายเชื้อโดยสัตว์พาหนะ (Vector-Borne transmission)
เช่น การถูกยุงที่มีไวรัสเด็งกี่กัด ถูกยุงที่มีเชื้อมาลาเรียกัด
1.5 การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
การ
ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในโรงพยาบาลและสถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข 2 ประเภท
1.5.1 Standard precautions
ซึ่งเป็นการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากเลือด สารน้ำของร่างกาย
สารคัดหลั่งทุกชนิด
การปฏิบัติตามหลัก Standard precautions ประกอบด้วย
1) ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือสบู่ยาฆ่าเชื้อทุกครั้ง โดยล้างมือก่อนสัมผัสผู้ป่วยการล้างมือออกเป็น 3 ประเภท
(1) การล้างมือธรรมดา (Normal hand washing)
(2) การล้างมือภายหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งปนเปื้อนเชื้อโรค
(Hygienic hand
washing)
(3) การล้างมือก่อนทำหัตถการ (Surgical hand washing)
2) สวมเครื่องป้องกันเมื่อคาดว่าจะสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งผู้ป่วย
(1) ถุงมือ
(2) เสื้อคลุม
ใช้เมื่อจะสัมผัสกับสิ่งที่มีเชื้อโรค
(3) ผ้าปิดปากและจมูก
3) หยิบจับอุปกรณ์ที่มีคมที่ใช้กับผู้ป่วยด้วยความระมัดระวัง
4) ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมที่เปื้อนเลือดหรือสารคัดหลั่งอย่างถูกวิธี
1.5.2 Transmission-base precautions
การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อที่ทำให้
เกิดโรคตามทางที่เชื้อออกจากตัวผู้ป่วย และทางที่จะเข้าสู่บุคคลประกอบด้วยวิธีป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ 3 วิธี
1) การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ (Airborne precautions)
เป็นการป้องกัน
การแพร่กระจายเชื้อที่มีอนุภาคขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน
2) ก ารป้องกัน การแพร่กระจายเชื้อจากฝอยละอองน้ำมูกน้ำลาย (Droplet precautions)
เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจุลชีพที่มีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน
3) การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัส (Contact precautions)
การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อ
1) กำจัดเชื้อโรค
2) ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันโรคน้อย ควรจะแยกจากแหล่งของเชื้อโรค
3) สิ่งแวดล้อม อาคาร สถานที่ ควรให้สะอาดและแห้ง
4) การทำลายเชื้อและการทำให้ปราศจากเชื้อต้องกระทำอย่างถูกต้อง
1.4 การทำลายเชื้อ และการทำให้ปราศจากเชื้อ
1.4.1 การทำลายเชื้อ (Disinfection)
การกำจัดเชื้อจุลชีพบางชนิดที่แปดเปื้อน
ผิวหนัง อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้ทางการแพทย์ หรือพื้นผิวต่างๆ โดยใช้สารเคมีเรียกว่า น้ำยาทำลาย
เชื้อ (Disinfectants)การทำลายเชื้อ มีด้วยกันหลายวิธี ดังนี้
1) การล้าง ผู้ล้างต้องระมัดระวังมิให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้
2) การต้ม เป็นวิธีการทำลายเชื้อที่ดีที่สุด
โดยทั่วไปแนะนำต้มเดือดนาน 20 นาที
3) การใช้สารเคมี
เป็นวิธีการสุดท้ายที่จะใช้ถ้าไม่มีวิธีอื่น
4) การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ
จำแนกตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
(1) การล้างมือธรรมดา (Normal hand washing)
ใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลว การ
ล้างมือหลังสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
(2) การล้างมือก่อนทำหัตถการ (Surgical handwashing)
เช่น การผ่าตัด การทำ
คลอด
(3) การเตรียมผิวหนัง
เพื่อการฉีดยาใช้ Alcohol 70%
ผ่าตัดเล็กใช้ Alcohol 70% หรือ Tr.iodine 2%
(4) การทำแผล ล้างแผลให้สะอาดด้วย Steriled normal saline
ถ้าแผลสกปรกเช็ดผิวหนังรอบ ๆ แผลด้วย Alcohol 70%
(5) การทำความสะอาดฝีเย็บก่อนคลอดหรือก่อนการตรวจภายใน
ใช้ Cetrimide15% + Chlorhexidine 1.5% เจือจาง 1:100
(6) การสวนล้างช่องคลอดใช้ Cetrimide 15% + Chlorhexidine 1.5%
(7) การทาช่องคลอดก่อนผ่าตัดใช้ Iodophor 10%
การทำลายเชื้อแบ่งได้เป็น 3 ระดับ
การทำลายเชื้อระดับสูง (High-level disinfection)
สามารถทำลายจุลชีพก่อโรคได้
ทุกชนิด รวมทั้งสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียและสามารถทำลายเชื้อใน
อุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลารวดเร็ว
การทำลายเชื้อระดับกลาง (Intermediate-level disinfection)
การทำลายเชื้อวิธีนี้สามารถทำให้เชื้อ Mycobacterium tuberculosis เชื้อแบคทีเรียเชื้อไวรัส และเชื้อราอ่อน
การทำลายเชื้อระดับต่ำ (Low-level disinfection)
สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรีย
เชื้อไวรัส และเชื้อราบางชนิดน้ำยาทำ ลายเชื้อในกลุ่มนี้ได้แก่Quaternary ammonium compounds, Iodophors
1.4.2 การทำให้ปราศจากเชื้อ (Sterilization)
กระบวนการในการทำลายหรือขจัด
เชื้อจุลชีพทุกชนิดรวมทั้งสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียจากเครื่องมือทางการแพทย์เช่น เครื่องมือผ่าตัด เข็มฉีดยา สารน้ำที่ใช้
ฉีดเข้าเส้นเลือด
สำหรับวิธีการทำให้อุปกรณ์
ปราศจากเชื้อแบ่งออกได้เป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ
1) วิธีการทางกายภาพ (Physical method) ได้แก่
(1) การใช้ความร้อน (Thermal or Heat sterilization)
เป็นวิธีที่ปฏิบัติได้ง่ายและมี
ประสิทธิภาพสูงสุด
การเผา (Incineration)
ใช้ในการทำลายอุปกรณ์ที่จะไม่นำกลับมาใช้อีกต่อไป
การใช้ความร้อนแห้ง (Dry heat)
ในเตาอบโดยใช้อุณหภูมิสูง 160-180 องศาเซลเซียสเป็นเวลานาน
1-2 ชั่วโมง
การต้ม (Boiling)
ต้มในน้ำเดือด 100 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที
การใช้ความร้อนชื้น (Moist heat)
การนึ่งไอน้ำภายใต้ความดัน (Autoclave)
(2) การใช้รังสี (Ionizing radiation)
การใช้รังสีคลื่นสั้นในการทำให้อุปกรณ์ปราศจาก
เชื้อเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ
-รังสีเอกซ์ (X-ray)
-รังสีแกมมา (Gamma rays)
2) วิธีการทางเคมี (Chemical method)
(1) การใช้แก๊ส
Ethylene oxide gas (EO)
เป็นวิธีทำให้ปราศจากเชื้อที่ได้รับความนิยมมากใน
ปัจจุบันเหมาะสำหรับวัสดุที่ไม่สามารถทนความร้อนและความชื้นได้วิธีนี้มีข้อเสียคือ ต้องใช้เวลานาน เสียค่าใช้จ่ายสูง อาจทำให้เกิดสารพิษตกค้างหากใช้บ่อยๆ
Formaldehyde
มีฤทธิ์ทำลายเชื้อจุลชีพได้อย่างกว้างขวาง สามารถอบให้ปราศจากเชื้อได้ภายใน 6-12 ชั่วโมง
(2) การใช้ High-level disinfectant
ห่ออุปกรณ์ที่ผ่านการทำให้ปราศจากเชื้อแล้วจะมีระยะเวลาในการคงสภาพปราศจากเชื้อ หรือที่
เรียกว่า Shelf life
ดังนั้นการเก็บห่ออุปกรณ์ปราศจากเชื้อต้องเก็บอย่างถูกต้องและใช้ในเวลาที่กำหนด
ระยะเวลาเก็บอุปกรณ์ที่ผ่านการทำให้ปราศจากเชื้อ เมื่อเก็บในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมคืออุณหภูมิ 18-22 องศาเซลเซียสความชื้นสัมพัทธ์ 35-70% และไม่มีลมผัดผ่าน
1.6 กระบวนการพยาบาลในการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
พยาบาลควรจะต้องตระหนักและให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติ
เพื่อป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในขณะปฏิบัติกิจกรรมการพยาบาลอยู่เสมอโดยยึดหลักปฏิบัติ
Aseptic technique หรือ เทคนิคปลอดเชื้อ
กระบวนการพยาบาลในการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
1.6.1 การประเมินความเสี่ยงต่อการติดเชื้อของผู้ป่วย (Assessment)
โดยการซักประวัติ
และตรวจร่างกายเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วย
1.6.2 การวินิจฉัยทางการพยาบาล (Nursing diagnosis)
เช่น
1) เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
2) มีโอกาสเกิดการระบาดของโรคในชุมชน
1.6.3 การวางแผนและให้การพยาบาล (Planning and Implementation)
1) ล้างมือก่อนและหลังการให้การพยาบาลผู้ป่วย
2) ใช้หลัก Airborne precautions
3) ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องแก่ผู้ป่วยและญาติ
4) รายงานอุบัติการณ์การเฝ้าระวังการเกิดโรคต่อคณะกรรมการการติดเชื้อของ
โรงพยาบาล
1.6.4 การประเมินผลการพยาบาล (Evaluation)
1) ไม่มีการแพร่กระจายเชื้อสู่ญาติและบุคลากรในหอผู้ป่วย
คือ
คือ
หมายถึง