Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 13 การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง, นางสาวอรณิชา ไชยเดช 36/2 เลขที่ 58…
บทที่ 13
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง
การจำแนกประเภทของทารกแรกเกิด
การจำแนกตามน้ำหนัก
Low birth weight infant (LBWinfant)
ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่า 2,500 กรัม
Normal birth weight infant(NBWinfant)
ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิด 2,500 กรัม ถึงประมาณ 3,800 –4,000 กรัม
การจำแนกตามอายุครรภ์
ทารกแรกเกิดครบกำหนด (Termormatureinfant)
ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์ มากกว่า 37 - 41 สัปดาห์
ทารกแรกเกิดหลังกำหนด (Posterminfant)
ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์มากกว่า 41 สัปดาห์
ทารกเกิดก่อนกำหนด (Preterminfant)
ทารกแรกเกิดที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์
ทารกคลอดก่อนกำหนด
สาเหตุ/ปัจจัยเสริม
มารดามีภาวะแทรกซ้อน เช่น ความดันโลหิตสูง รกลอกตัวก่อนกำหนด
แท้งคุกคามในไตรมาสแรก มีเลือดออก ไตรมาสที่ 2 หรือ 3
มารดาป่วยเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ไต ติดเชื้อ
ตั้งครรภ์แฝด มารดาติดยาเสพติด
เศรษฐานะไม่ดี
อายุน้อยกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
ลักษณะของทารกเกิดก่อนกำหนด
ผิวหนังบางสีแดงและเหี่ยวย่น
ลายฝ่ามือฝ่าเท้ามีน้อยและเรียบ เล็บมือเล็บเท้าอ่อนนิ่มและสั้น
น้ำหนักน้อย รูปร่างรวมทั้งแขนขามีขนาดเล็ก ศีรษะจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว
มีกล้ามเนื้อ และไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat) น้อย
หายใจไม่สม่ำเสมอ มีการกลั้นหายใจเป็นระยะ (Periodicbreathing)
เขียว และหยุดหายใจได้ง่าย (Apnea)
ความตึงตัวของกล้ามเนื้อไม่ดี
เสียงร้องเบา และร้องน้อยกว่าทารกแรกเกิดครบกำหนด
หัวนมมีขนาดเล็ก หรือมองไม่เห็นหัวนม
ท้องป่อง
ขนาดของอวัยวะเพศค่อนข้างเล็ก
ปัญหาที่พบได้ในทารกคลอดก่อนกำหนด
1.ปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิ
Hypothermia อุณหภูมิ < 36.5 องศาเซลเซียส
ผลกระทบ
น้ำหนักลด (Poor Weight Gain)
ภาวะลำไส้เน่า(NEC)
ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
ภาวะหยุดหายใจ(Apnea)
น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)
ภาวะเลือดออก (Bleeding Disorder)
การเพิ่มการเผาผลาญและภาวะกรด
อัตราการตายเพิ่มขึ้น
ภาวะอุณหภูมิกายต่ำ
อุณหภูมิกายแกนกลางของทารก < 36.5 ºC (วัดทางทวารหนัก)
อาการและอาการแสดง
ใบหน้าแดงผิวหนังเย็น เขียวคล้ำ หยุดหายใจ หายใจลำบาก ปลายมือ ปลายเท้าเย็น
ภาวะแทรกซ้อน
น้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะเลือดเป็นกรด ความต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น น้ำหนักไม่ขึ้น
ท้องอืด เลือดออกในโพรงสมอง เลือดออกในปอด ไตวาย DIC และ PPHN
การวัดอุณหภูมิทารก
ทางทวารหนัก
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 2.5 cm
ทารกครบกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 3.0 cm
ทางรักแร้
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 5 นาที
ทารกครบกำหนด วัดนาน 8 นาที
การดูแล
จัดให้อยู่ในที่อุณภูมิเหมาะสม (NTE) 32 - 34 องศาเซลเซียส
วัดอุณภูมิเด็ก Body temperature เด็ก 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
ใช้ warmer, incubator หรือผ้าห่มห่อตัว
หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้แอร์ พัดลม
ระวัง Cold stress
การพยาบาลทารกที่ได้รับการรักษาในตู้อบ
1.ไม่เปิดตู้อบโดยไม่จำเป็นให้การ พยาบาลโดยสอดมือเข้าทาง หน้าต่างตู้อบ
2.ป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกายทารก 4 ทาง
3.ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุก4 ชั่วโมงและปรับให้เหมาะสมกับสภาพของทารก
4.เช็ดทำความสะอาดตู้ทุกวัน
การควบคุมอุณหภูมิทารกที่อยู่ใน Incubator
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิด้วยมือ หรือ ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ (Air Servocontrolmode)
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่36 ºC
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.2 ºCทุก 15 –30 นาที
ลดการสูญเสียความร้อน เช่น ครอบพลาสติกที่ตัวทารก
กรณีไม่ได้ใช้ตู้อบผนัง2 ชั้น
สวมหมวกไหมพรม หรือหมวกที่หนา 2 ชั้น พันร่างกายด้วย plastic wrap
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้36.8ºC -37.2ºCเป็นเวลา2ครั้งติดกันให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE)
แล้วติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาทีอีก 2 ครั้งและต่อไป ทุก 4 ชั่วโมง
ควรใส่ปรอทสำหรับวัดอุณหภูมิตู้อบ
เป้าหมายให้อุณหภูมิกายทารกอยู่ในเกณฑ์ปรกติคือ 37 ºC (+/-0.2ºC)
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ Skin Servocontrolmode
ติด Skin probe บริเวณหน้าท้อง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่36.5ºC
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.1ºCทุก 15 –30 นาที
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้36.8ºC -37.2ºC เป็นเวลา2ครั้งติดกัน ให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE) แล้วติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15-30นาทีอีก 2ครั้งและต่อไปทุก 4ชั่วโมง
2.ปัญหาทางระบบทางเดินหายใจและพิษออกซิเจน
ประเมิน APGAR Score
Respiratory Distress Syndrome (RDS)
ภาวะหายใจลำบากเนื่องจากการขาดสารลดแรงตึงผิว (surfactant) ของถุงลม
อาการและอาการแสดง
หายใจลำบาก(Dyspnea) หายใจเร็วกว่า 60 ครั้ง/นาที มีปีกจมูกบาน
อาการเขียว (Cyanosis)
ภาพถ่ายรังสีปอด มีลักษณะ ground glass appearance
มีภาวะเลือดเป็นกรด
อาจมีอันตรายจากการหายใจล้มเหลวได้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกเกิด
การป้องกัน
มารดาที่มีความเสี่ยงจะคลอดก่อนกำหนดแต่ถุงน้ำคร่ำ ยังไม่แตก โดยเฉพาะอายุครรภ์ 24-34 สัปดาห์ ควรได้ antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24ชั่วโมงก่อนคลอด
การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด
การรักษา
ให้ออกซิเจนตามความต้องการของทารก
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น
รักษาแบบประคับประคองตามอาการ
Apnea of prematurity
หยุดหายใจนานกว่า 20 วินาทีมี cyanosis
central apnea
ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม และไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก
obstruction apnea
ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม แต่ไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก
สาเหตุ
Prematurity
Drug
CNS problems
-IVH
-seizures
Gastroesophageal reflux
Impaired oxygenation
Metabolic disorder
Infection
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
จัดท่านอนศีรษะสูง เงยคอเล็กน้อย
สังเกตอาการขาดออกซิเจน หายใจเร็ว เขียว ปีกจมูกบาน อกบุ๋ม (chest wall retraction) , ABG
suction เมื่อจำเป็น
ระวังการสำลัก
ให้การพยาบาลทารกขณะใช้เครื่องช่วยหายใจ
Retinopathy of PrematurityRetinopathy(ROP)
เป็นความผิดปกติในทารกในทารกคลอดก่อนกำหนดที่ มีน้ำหนักน้อยโดยมีลักษณะสำคัญคือ การงอกผิดปกติของเส้นเลือด (neovascularization) บริเวณรอยต่อระหว่างจอประสาทตาที่มีเลือดไปเลี้ยงและจอประสาทตาที่ขาดเลือด
ระยะเวลาการตรวจหาROP
ครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4 – 6สัปดาห์
ถ้าไม่พบการดำเนินของโรคตรวจซ้ำทุก 4 สัปดาห์
ถ้าพบว่ามีการดำเนินของโรคอยู่ตรวจซ้ำทุกอาทิตย์หรือตามแผนการติดตามประเมินของแพทย์
หลังจากทารกกลับบ้านแล้วถ้าไม่มีการดำเนินของโรค นัดมาตรวจซ้ำ
ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ้ำทุก ๆ 1 – 2สัปดาห์
การวินิจฉัย
ตำแหน่ง (Zone)มี 3 zone
Zone I ระยะวงกลมซึ่งมีรัศมีเป็นสองเท่าของระยะทางระหว่างขั้ว ประสาทตา(optic disc)
และศูนย์กลางจอประสาทตา (macula)โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ขั้วประสาทตา
Zone II จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone I จนถึง nasal oraserrata
Zone III จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone IIจนถึง temporal oraserrata
ความรุนแรง
stage1 Demarcation line between vascularized and avascular retina
Stage 2 Ridge between vascularized and avascular retina
Stage 3 Ridge with extraretinalfibrovascularproliferation
Stage 4 Subtotal retinal detachment: (a) extrafovealdetachment (b) foveal detachment
Stage 5 Total retinal detachment
Bronchopulmonary Dysplasia
3.ปัญหาการติดเชื้อ
Necrotizing Enterocolitis
เป็นผลมาจากภาวะพร่องออกซิเจน
การได้รับอาหารไม่เหมาะสม เร็วเกินไป
ลำไส้ขาดเลือดมาเลี้ยง
การย่อยและการดูดซึมไม่ดี
การพยาบาล
NPO
ห้ามวัดปรอททางทวารหนัก
แยกจากเด็กติดเชื้อ/ แยกผู้ดูแล
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก aseptic technique
เฝ้าระวังสังเกตภาวะติดเชื้อ เฝ้าระวังภาวะล้าไส้ทะลุ
Sepsis
4.ปัญหาระบบหัวใจ, เลือด
Anemia
PDA(Patent Ductus Ateriosus)
รักษาPDA โดยใช้ยา Indomethacin
ข้อห้ามใช้
BUN > 30 mg/dl , Cr > 1.8 mg/dl
Plt. < 60,000 /mm3
urine < 0.5 cc/Kg/hrนานกว่า 8hr
มีภาวะ NEC
รักษาPDA โดยใช้ยา ibuprofen
เพื่อช่วยยับยั้งการสร้างprostaglandin ซึ่งจะทำให้ PDA ปิด
ให้ทุก 12-24 ชั่วโมง จำนวน 3-4ครั้ง
สามารถปิดได้ร้อยละ 70
ได้ผลดีในทารกน้ำหนักตัว 500-1500 กรัม อายุครรภ์น้อยกว่า 32สัปดาห์ และอายุไม่เกิน 10 วัน
ภาวะแทรกซ้อน NEC ไตวาย
Neonatal Jaundice หรือ Hyperbilirubinemia
5.ปัญหาเลือดออกในช่องสมอง
IVH(Intraventricular Hemorrhage)
Hydrocephalus
6.ปัญหาทางโภชนาการและการดูดกลืน
Hypoglycemia
NEC (Necrotizing Enterocolitis)
GER (Gastroesophageal Reflux)
การพยาบาล
ให้อาหารอย่างเหมาะสมกับสภาพของทารก
gavagefeeding(OGtube) ในเด็กเหนื่อยง่าย ดูด กลืนไม่ดี
IVF ให้ได้ตามแผนการรักษา
ระวังภาวะ NEC : observeอาการท้องอืด contentที่เหลือ
ประเมินการเจริญเติบโตชั่งน้ำหนักทุกวัน (เพิ่มวันละ 15-30กรัม)
7.ปัญหาพัฒนาการล้าช้า
ส่งเสริมสายสัมพันธ์พ่อแม่ลูก
Eye to eye contact
Skin to skin contact
การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนด
6.การป้องกันการเกิดเลือดออกและโลหิตจาง
7.การคงไว้ซึ่งความสมดุลของน้ำ กรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์
5.การป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
8.การป้องกันการเกิดการแตกทำลายของผิวหนัง
4.การป้องกันการติดเชื้อ
9.การป้องกันการเกิด Retinopathy of Prematurity (ROP)
3.การให้สารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
10.การดูแลการได้รับวิตามินและเกลือแร่
2.การดูแลด้านการหายใจให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของทารกแรกเกิด (Developmental care)
1.การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ (36.8 - 37.2 ºC)
12.ส่งเสริมสัมพันธภาพบิดามารดา-ทารก (bonding, attachment)
ทารกคลอดครบกำหนด
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Hyperbilirubinemia)
เกิดจากบิลลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดสูงกว่าปกติ
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice)
ทารกแรกเกิดมีการสร้างบิลิรูบิน มากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่า
และความไม่สมบูรณ์ในการทำงานของตับจึงทำให้ กระบวนการในการขับบิริลูบินออกยังทำได้ช้า
พบในช่วงวันที่ 2 –4 หลังคลอด หายไปเองใน 1 –2 สัปดาห์
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice)
สาเหตุ
ตับกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลงเนื่องจากภาวะต่างๆ
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มขึ้นกว่าปกติ เช่น G6PD deficiency ABO incompatability,
RH incompatability cephallhematoma, polycythemia,thalassemia
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้เพิ่มขึ้น เช่น ทารกดูดนมได้น้อย ภาวะลำไส้อุดตัน
เป็นภาวะที่ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมากผิดปกติ และเหลืองเร็ว ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด
สาเหตุ
1.มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จากภาวะต่างๆที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดง
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะต่างๆ เช่น ภาวะลำไส้อุดตัน
3.มีการกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลง จากท่อน้ำดีอุดตัน การขาดเอนไซด์บางชนิดแต่กำเนิด
4.มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้น ร่วมกับการกำจัดได้น้อยลง ได้แก่ การติดเชื้อ
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
อันตรายจากการมีบิลริูบินสูง
ทำให้เกิด kernicterus เข้าสู่เซลล์สมอง และทำให้สมองได้รับบาดเจ็บและมีการตายของเซลล์ประสาท ทำให้ทารกมีความพิการของสมองเกิดขึ้นอย่างถาวร
การวินิจฉัย
ประวัติมีบุคคลในครอบครัวมีโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายหรือไม่ มารดามีโรคประจำตัวการได้รับยา การติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
ประวัติการคลอดของทารก คะแนน apgar การได้รับบาดเจ็บในระยะคลอด
การตรวจร่างกาย ซีด เหลือง ตับ ม้ามโตหหรือไม่ มีจุดเลือดออก บริเวณใดหรือไม่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับบิลิรูบิน direct bilirubin indirect bilirubin
หมู่เลือด ABO Rh
Direct Coombs’test เพื่อดู blood group incompatibility
CBC เพื่อดูการติดเชื้อ
peripheral blood smear เพื่อดูลักษณะของเม็ดเลือดแดง ที่ผิดปกติและดูการติดเชื้อ
Reticulocyte count เพื่อสนับสนุนว่ามีการแตกของเม็ดเลือดแดง
G-6-PD เพื่อดูภาวะพร่องเอนไซด์
การรักษา
การส่องไฟ (phototherapy)
ภาวะแทรกซ้อน
Increases metabolic rate พบว่าทารกอาจมีน้ำหนักตัวลดลง
Increased water loss / dehydration ทารกมีภาวะเสียน้ำมากจากการระเหยของน้ำ
Diarrhea ทารกอาจถ่ายเหลว
Retinal damage ถ้าไม่ได้ปิดตาทารกให้มิดชิด อาจมีการบาดเจ็บเนื่องจากถูกแสงส่องนานทำให้ตาบอดได้
Bronze baby หรือ tanning ทารกอาจจะมีสีผิวคล้ำขึ้น
Disturb of mother-infant interaction ทำให้มารดามี โอกาสได้อุ้มและ สัมผัสทารกน้อยลง
Thermodynamic unstable ทารกอาจมีอุณหภูมิร่างกายสูงหรือต่ำกว่าปกติ
non-specific erythrematous rash อาจมีผื่นขึ้นตามตัวเป็นการชั่วคราว
การพยาบาล
ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches)เพื่อป้องกันการระคายเคืองของแสงต่อตา
ถอดเสื้อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่ำและเปลี่ยนท่านอนทุก 2-4 ชม.เพื่อให้ผิวทุกส่วนได้สัมผัสแสง
ดูแลให้ทารกได้นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟ ในระยะห่างจากหลอดไฟ ประมาณ 35-50เซนติเมตร
บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 2-4 ชั่วโมง
สังเกตลักษณะอุจจาระ
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชั่วโมง
สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับการส่องไฟรักษา ได้แก่ ภาวะขาดน้ำ ถ่ายเหลว ดูดนมไม่ดี มีผื่น ที่ผิวหนัง หรือภาวะแทรกซ้อนที่ตา
การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
การพยาบาล
อธิบายให้บิดามารดาทราบ
เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
ดูแลให้ร่างกายทารกอบอุ่น
ในขณะเปลี่ยนถ่ายเลือดต้องบันทึกปริมาณเลือดเข้า ออก ตรวจวัดสัญญาณชีพ
สังเกตภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจวาย แคลเซียมในเลือดต่ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวเย็น ติดเชื้อ
ภายหลังการเปลี่ยนถ่ายเลือดตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที ทุก 30 นาที จนกระทั่งคงที่
ปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ
ระดับน้ำตาลในพลาสมาต่ำกว่า 40 mg%
อาการแสดง
ซึม ไม่ดูดนม มีสะดุ้งผวา อาการสั่น ซีดหรือเขียว หยุดหายใจ ตัวอ่อนปวกเปียก อุณหภูมิกายต่ำ ชักกระตุก
สาเหตุ
ไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จ้ากัด รวมทั้งการสร้างกลูโคส (glucogenesis) เอง ที่ตับก็ท้าได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
การรักษา
ทารกครบกำหนดที่มีอาการ่วมกับระดับน้ำตาลน้อยกว่า 40 มก./ดล.ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
ทารกไม่มีอาการ
แรกเกิด-อายุ 4 ชั่วโมง ให้นมภายใน 1 ชั่วโมงแรก ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30 นาทีหลังให้นมมื้อแรก
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25มก/ดล ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1ชั่วโมง
ถ้าน้อยกว่า 25 มก/ดล ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
25-40 มก/ดล ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
อายุ 4-24 ชั่วโมง ให้นมทุก 2-3ชั่วโมง ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/ดล ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
ถ้าน้อยกว่า 35 มก/ดล ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
35-45 มก/ดล ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
การดูแล
กรณีที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำ ตรวจติดตามทุก 30 นาที ในรายไม่แสดงอาการ ให้กินนม
หรือสารละลายกลูโคส ถ้ากินไม่ได้ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือดดำ
ควบคุมอุณหภูมิห้องและดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารก
กรณีทารกเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ จะต้องตรวจหาระดับน้ำตาล ภายใน 1-2 ชั่วโมง หลังคลอด
และติดตามทุก 1-2 ชั่วโมง ใน 6-8 ชั่วโมง แรกหรือจนระดับน้ำตาลจะปกติ รีบให้ 5,10 %D/W ทางปาก
หรือ NG tube ใน 1-2 มื้อแรก แล้วให้นม
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
MAS
ภาวะตื่นตัวของทารกเมื่อ แรกเกิดเรียกว่า vigorous
ประเมินทารกโดยทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลทารกแรกเกิดเมื่อ 10 ถึง 15 วินาทีหลังเกิด
ทารกต้องมีอาการดังต่อไปนี้คือ
มีกำลังกล้ามเนื้อดี
อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
มีแรงหายใจด้วยตนเองได้ดี
หาก ทารกแรกเกิดมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อที่กล่าวมาทารกจะได้รับการประเมินว่าไม่ ตื่นตัวเรียกว่า non vigorous ทารกที่ไม่ตื่นตัวเมื่อแรกเกิดเสี่ยงต่อการ สูดสำลักขี้เทา ต้องการกู้ชีพโดยเฉพาะการช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก(positive pressure ventilation; PPV)
การถ่ายขี้เทาออกมาปนใน น้ำคร่ำขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์เกิดได้2ลักษณะ
ลักษณะทางพยาธิสรีรวิทยาปกติที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของลำไส้ที่พัฒนาสมบูรณ์แล้วของทารกในครรภ์
เช่น ทารกในครรภ์ที่มีอายุครรภ์เกินกำหนด ทำให้เกิดการถ่ายขี้เทาออกมาปนในน้ำคร่ำ
ลักษณะความผิดปกติทางพยาธิสภาพของ รกและทารกในครรภ์ที่ตอบสนองต่อความเครียดที่เกิดจากความผิดปกตินั้น เช่น ภาวะรกทำงานผิดปกติ ภาวะน้ำคร่ำน้อย
ความรุนแรงแบ่ง ได้เป็น 3 ระดับ
อาการรุนแรงปานกลาง อาการหายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้น มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง และมีความรุนแรงสูงสุดเมื่ออาย 24ชั่วโมง
อาการรุนแรงมาก ทารกจะมีระบบหายใจล้มเหลวทันที หรือภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังเกิด
อาการรุนแรงน้อย ทารกมีอาการหายใจเร็วระยะสั้นๆ เพียง24-72ชั่วโมง ทำให้แรงดันลดลง
และมีค่าความเป็นกรด-ด่างปกติ อาการมักหายไปใน 24-72ชั่วโมง
การพยาบาล
เป้าหมายที่สำคัญเพื่อให้ทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอ เฝ้าระวังการติดเชื้อ
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน
วัดความดันโลหิตทุก 2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่ำจาก PPHN
รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
สังเกตอาการติดเชื้อ
ดูแลตามอาการ
นางสาวอรณิชา ไชยเดช 36/2 เลขที่ 58
รหัสนักศึกษา 612001139
อ้างอิง : เอกสารประกอบการเรียนการสอนอาจารย์วิภารัตน์ ยมดิษฐ์