Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง - Coggle Diagram
การพยาบาลทารกที่มีภาวะเสี่ยง
การพยาบาลทารกครบกำหนดที่มีปัญหา
ภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด (Hyperbilirubinemia)
เกิดจากบิลลิรูบิน (bilirubin) ในเลือดสูงกว่าปกติ
ถ้าระดับบิลิรูบินสูงมากอาจจะท้าให้เกิดภาวะ Kernicterrus
2 ชนิด
ภาวะตัวเหลืองจากสรีรภาวะ (Physiological jaundice)
ทารกแรกเกิดมีการสร้างบิลิรูบินมากกว่าผู้ใหญ่
เม็ดเลือดแดงอายุสั้นกว่า
ความไม่สมบูรณ์ในการทำงานของตับ
กระบวนการในการขับบิริลูบินออกยังทำได้ช้า
พบในช่วงวันที่ 2 – 4 หลังคลอด หายไปเองใน 1 – 2 สัปดาห์
ภาวะตัวเหลืองจากพยาธิภาวะ ( Pathological jaundice)
เป็นภาวะที่ทารกมีบิลลิรูบินในเลือดสูงมากผิดปกติ และเหลืองเร็ว
ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด
สาเหตุ
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้เพิ่มขึ้น
ทารกดูดนมได้น้อย
ภาวะลำไส้อุดตัน
ตับกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลงเนื่องจากภาวะต่างๆ
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
G6PD deficiency ABO incompatability
RH incompatability cephallhematoma
polycythemia
thalassemia
สาเหตุ
มีการสร้างบิลลิรูบินเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ จากภาวะต่างๆที่มีการทำลายเม็ดเลือดแดง
มีการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดงจากหมู่เลือดของแม่ลูกไม่เข้ากัน
ที่พบบ่อย ABO incompatability
แม่มีเลือกลุ่ม Oลูกมีเลือดกลุ่ม Aหรือ B
มีความผิดปกติเยื่อหุ้มเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายกว่าปกติ
congenital spherocytosis
มีความผิดปกติของเอนไซด์ในเม็ดเลือดแดง
G6PD deficiency
มีเลือดออกในร่างกาย
cephalhematoma ecchymosis hemangioma
เม็ดเลือดแดงเกิน (polycythemia ) จากการที่ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจนเรื้อรัง
โรคธาลัสซีเมีย
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะต่างๆ
ภาวะลำไส้อุดตัน
มีการกำจัดบิลิรูบินได้น้อยลง จากท่อน้ำดีอุดตัน การขาดเอนไซด์บางชนิดแต่กำเนิด
มีการสร้างบิลิรูบินเพิ่มมากขึ้น ร่วมกับการกำจัดได้น้อยลง
มีการดูดซึมของบิลิรูบินจากลำไส้มากขึ้น จากภาวะที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
Breastfeeding jaundice
เกิดจากได้รับน้ำนมช้าไม่เพียงพอ การกำจัดขี้เทาช้ำ ทำให้มีการดูดซึมกลับของบิลิรุบิน
Breastmilk jaundice syndrome
พบในทารกอายุ 4-7 วัน สาเหตุที่ชัดเจนยังไม่ทราบแน่นอน
อันตรายจากการมีบิลิรูบินสูง
เกิด kernicterus เข้าสู่เซลล์สมอง
สมองได้รับบาดเจ็บ
การตายของเซลล์ประสาท
ทารกมีความพิการของสมองเกิดขึ้นอย่างถาวร
การวินิจฉัย
ประวัติ
การได้รับบาดเจ็บในระยะคลอด
ประวัติการคลอดของทารก คะแนน apgar
มีบุคคลในครอบครัวมีโรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายหรือไม่
มารดามีโรคประจำตัวการได้รับยาการติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่
การตรวจร่างกาย
มีจุดเลือดออกบริเวณใดหรือไม่
ตับ ม้ามโตหหรือไม่
เหลือง
ซีด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ระดับบิลิรูบิน direct bilirubin indirect bilirubin
หมู่เลือด ABO Rh
Direct Coombs’test เพื่อดู blood group incompatibility
CBC เพื่อดูการติดเชื้อ
peripheral blood smear เพื่อดูลักษณะของเม็ดเลือดแดง ที่ผิดปกติและดูการติดเชื้อ
Reticulocyte count เพื่อสนับสนุนว่ามีการแตกของเม็ดเลือดแดง
G-6-PD เพื่อดูภาวะพร่องเอนไซด์
การรักษา
การส่องไฟ (phototherapy)
ภาวะแทรกซ้อนของการรักษาด้วยการส่องไฟ
Increases metabolic rate พบว่าทารกอาจมีน้ำหนักตัวลดลง
Increased water loss / dehydration ทารกมีภาวะเสียน้ำมากจากการระเหยของน้ำ
Diarrhea ทารกอาจถ่ายเหลวจากการที่แสงที่ใช้ในการรักษา
Retinal damage ถ้าไม่ได้ปิดตาทารกให้มิดชิด อาจมีการบาดเจ็บเนื่องจากถูกแสงส่องนานทำให้ตาบอดได้
Bronze baby หรือ tanning ทารกอาจจะมีสีผิวคลำขึ้นจากการที่ต้องถูกแสงอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานาน
Disturb of mother-infant interaction เนื่องจากต้องให้ทารกรักษาด้วยการส่องไฟอาจทำให้มารดามีโอกาสได้อุ้มและสัมผัสทารกน้อยลง
Thermodynamic unstable ทารกอาจมีอุณหภูมิร่างกายสูงหรือต่ำกว่าปกติ ประเมินสัญญาณชีพอย่างสม่ำเสมอทุก 4 ชั่วโมง
non-specific erythrematous rash อาจมีผื่นขึ้นตามตัวเป็นการชั่วคราว
การเปลี่ยนถ่ายเลือด (exchange transfusion)
แนวปฏิบัติการส่องไฟรักษาและเปลี่ยนถ่ายเลือดทารกอายุครรภ์น้อยกว่า 35 สัปดาห์
อายุครรภ์ <28 0/7
ส่องไฟรักษา ระดับบิลิรูบิน เริ่มต้น 5-6 (มก./ดล.)
เปลี่ยนถ่ายเลือด ระดับบิลิรูบิน 11-14 (มก./ดล.)
อายุครรภ์ 28 0/7 - 29 6/7
เปลี่ยนถ่ายเลือด ระดับบิลิรูบิน 12-14 (มก./ดล.)
ส่องไฟรักษา ระดับบิลิรูบิน เริ่มต้น 6-8 (มก./ดล.)
อายุครรภ์ 32 0/7 - 33 6/7
เปลี่ยนถ่ายเลือด ระดับบิลิรูบิน 15-18 (มก./ดล.)
ส่องไฟรักษา ระดับบิลิรูบิน เริ่มต้น 10-12 (มก./ดล.)
อายุครรภ์ 33 0/7 - 34 6/7
เปลี่ยนถ่ายเลือด ระดับบิลิรูบิน 17-19 (มก./ดล.)
ส่องไฟรักษา ระดับบิลิรูบิน เริ่มต้น 12-14 (มก./ดล.)
อายุครรภ์ 30 0/7 - 31 6/7
เปลี่ยนถ่ายเลือด ระดับบิลิรูบิน 13-16 (มก./ดล.)
ส่องไฟรักษา ระดับบิลิรูบิน เริ่มต้น 8-10 (มก./ดล.)
การพยาบาล
ปิดตาทารกด้วยผ้าปิดตา (eyes patches)
เพื่อป้องกันการกระคายเคืองของแสงต่อตา
เช็ดทำความสะอาดตา และตรวจตาของทารกทุกวัน
ควรเปิดตาทุก 4 ชม.และเปลี่ยนผ้าปิดตาทุก 8-12 ชม.ระหว่างให้นมควรเปิดผ้าปิดตาเพื่อให้ทารกได้สบตากับมารดา
ถอดเสื้อผ้าทารกออกและจัดให้ทารกอยู่ในท่านอนหงาย หรือนอนคว่ำ
เปลี่ยนท่านอนทุก 2-4 ชม.เพื่อให้ผิวทุกส่วนได้สัมผัสแสง
ดูแลให้ทารกได้นอนอยู่บริเวณตรงกลางของแผงหลอดไฟ
ในระยะห่างจากหลอดไฟ ประมาณ 35-50 เซนติเมตร
บันทึกและรายงานการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพทุก 2-4 ชม.
สังเกตลักษณะอุจจาระ ระหว่างการส่องไฟทารกอาจถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้นอาจจะมีอาการถ่ายเหลวสีเขียวปนเหลืองจากบิลิรูบินและน้ำดี
ให้บันทึกลักษณะและจำนวนอุจจาระอย่างละเอียดเพื่อประเมินภาวะสูญเสียน้ำ และดูแลอย่างเหมาะสม
ดูแลให้ทารกได้รับการตรวจเลือดหาระดับบิลิรูบินในเลือดอย่างน้อยทุก 12 ชม.
สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับการส่องไฟรักษา
การพยาบาลExchange transfusion
อธิบายให้บิดามารดาทราบ
เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
ดูแลให้ร่างกายทารกอบอุ่น
ในขณะเปลี่ยนถ่ายเลือดต้องบันทึกปริมาณเลือดเข้า ออก ตรวจวัดสัญญาณชีพ
สังเกตภาวะแทรกซ้อน
หัวใจวาย
แคลเซียมในเลือดต่ำ
น้ำตาลในเลือดต่ำ
ตัวเย็น
ติดเชื้อ
ภายหลังการเปลี่ยนถ่ายเลือดตรวจวัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที ทุก 30 นาที จนกระทั่งคงที่
ข้อบ่งชี้การรักษาทารกคลอดครบก้าหนดสุขภาพดี
อายุ(ชั่วโมง) <24
ค่า MB Phototherapy 12
ค่า MB Exchange transfusion 20
อายุ(ชั่วโมง) 25-48
ค่า MB Phototherapy 15
ค่า MB Exchange transfusion 25
อายุ(ชั่วโมง) 49-7
ค่า MB Phototherapy 15
ค่า MB Exchange transfusion 25
อายุ(ชั่วโมง) >72
ค่า MB Phototherapy 17
ค่า MB Exchange transfusion 25
ปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ
น้ำตาลในพลาสมาต่ำกว่า 40 mg%
อาการแสดง
ซึม
ไม่ดูดนม
มีสะดุ้งผวา
อาการสั่น
ซีดหรือเขียว
หยุดหายใจ
ตัวอ่อนปวกเปียก
อุณหภูมิกายต่ำ
ชักกระตุก
สาเหตุ
ไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีกต่อไป
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จ้ากัด รวมทั งการสร้างกลูโคส (glucogenesis) เองที่ตับก็ท้าได้น้อย
มีภาวะเครียดทั้ขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
การขาดออกซิเจนอุณหภูมิกายต่ำทำให้มีการใช้น้ำตาลมาก
การรักษา
ทารกครบกำหนดที่มีอาการ่วมกับระดับน าตาลน้อยกว่า 40 มก./ดล.ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด
ทารกไม่มีอาการ
แรกเกิด-อายุ 4 ชั่วโมง ให้นมภายใน 1 ชั่วโมงแรก
ติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 30 นาทีหลังให้นมมื้อแรกถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 25 มก/ดล.
ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
ถ้าน้อยกว่า 25 มก/ดล. ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด*
25-40 มก/ดล. ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด*
อายุ 4-24 ชั่วโมง ให้นมทุก 2-3 ชั่วโมง
ติดตามระดับน้ำตาลในเลือดก่อนมื้อนม
ถ้าระดับน้ำตาลน้อยกว่า 35 มก/ดล.
ให้นมและติดตามระดับน้ำตาลในเลือด 1 ชั่วโมง
ถ้าน้อยกว่า 35 มก/ดล. ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด*
35-45 มก/ดล. ให้นมหรือสารละลายกลูโคสทางหลอดเลือด*
*10% D/W 2มก/กก.และ/หรือ glucose infusion rate (GIR) 5-8 มก/กก/นาที โดยให้ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ในช่วง 40-50 มก./ดล.
การดูแล
กรณีทารกเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
ตรวจหาระดับน้ำตาล ภายใน 1-2 ชม. หลังคลอด
ติดตามทุก 1-2 ชม.ใน 6-8 ชม.แรกชม.หรือจนระดับน้ำตาลจะปกติ
รีบให้5,10 %D/W ทางปาก หรือ NG tube ใน 1-2 มื้อแรก แล้วให้นม
กรณีที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำ
ตรวจติดตามทุก 30 นาที
ในรายไม่แสดงอาการให้กินนม หรือสารละลายกลูโคส
ถ้ากินไม่ได้ให้สารละลายกลูโคสทางหลอดเลือดดำ
ควบคุมอุณหภูมิห้องและดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารก
สังเกตอาการเปลี่ยนแปลง
MAS
ภาวะตื่นตัวของทารกเมื่อแรกเกิด
vigorous
ทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลทารกแรกเกิดเมื่อ 10 ถึง 15 วินาทีหลังเกิด
อาการ
มีแรงหายใจด้วยตนเองได้ดี
มีกำลังกล้ามเนื้อดี
อัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที
ทารกแรกเกิดมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งในข้อที่กล่าวมา
non vigorous
ทารกที่ไม่ตื่นตัวเมื่อแรกเกิดเสี่ยงต่อการสูดสำลักขี้เทา
ต้องการการกู้ชีพโดยเฉพาะการ ช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก(positive pressure ventilation; PPV)
เพื่อให้มีการหายใจที่เพียงพอต่อการนำออกซิเจน และเลือดไปยังอวัยวะ
หัวใจ
สมอง
ต่อมหมวกไต
กลไกของร่างกายทารกในครรภ์
ลักษณะทางพยาธิสรีรวิทยาปกติที่เกิดจาก การเคลื่อนตัวของลำไส้ที่พัฒนาสมบูรณ์แล้วของทารกในครรภ์
ทารกในครรภ์ที่มีอายุครรภ์เกินกำหนด ทำให้เกิดการถ่ายขี้เทาออกมาปนในน้ำคร่ำ
ลักษณะความผิดปกติทางพยาธิสภาพของ รกและทารกในครรภ์ที่ตอบสนองต่อความเครียดที่เกิด จากความผิดปกติ
ภาวะน้ำคร่ำน้อย (oligohydramnios)
ภาวะติดเชื้อในครรภ์(intra-amniotic infection)
โรคในมารดาที่เกิดจากการตั้งครรภ์
มารดาที่สูบบุหรี่เรื้อรังหรือใช้สารเสพติดชนิดโคเคน
ทารกในครรภ์เติบโตไม่สมวัย (intrauterine growth retardation; IUGR)
ทารกที่คลอดท่าผิดปกติ
คลอดท่าก้น(breech presentation)
ภาวะขี้เทาปนในน้ำคร่ำจึงอาจเป็นได้ทั้งข้อบ่งชี้และสาเหตุความผิดปกติของทารกในครรภ์(fetal distress)
ภาวะขาดออกซิเจนของทารกในครรภ์และเมื่อแรกเกิด (perinatal asphyxia)
ความรุนแรง
อาการรุนแรงน้อย
ทารกมีอาการหายใจเร็วระยะสั้นๆ เพียง24-72ชั่วโมง
ทำให้แรงดันลดลง และมีค่าความเป็นกรด-ด่างปกติ
อาการมักหายไปใน 24-72ชั่วโมง
อาการรุนแรงปานกลาง
อาการหายใจเร็วมีความรุนแรงมากขึ้น มีการดึงรั้งของช่องซี่โครง
ความรุนแรงสูงสุดเมื่ออายุ 24ชั่วโมง
อาการรุนแรงมาก
ทารกจะมีระบบหายใจล้มเหลวทันที หรือภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังเกิด
การพยาบาล
เป้าหมายที่สำคัญเพื่อให้ทารกได้รับออกซิเจนเพียงพอ เฝ้าระวังการติดเชื้อ
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ติดตามอาการแสดงของการขาดออกซิเจน
หายใจเร็ว
อกบุ๋ม
ปีกจมูกบาน
ใช้กล้ามเนื้อช่วยในการหายใจมากขึ้น
เขียว
วัดความดันโลหิตทุก2- 4 ชั่วโมง เฝ้าระวังการเกิดความดันต่ำจาก PPHN
รบกวนทารกให้น้อยที่สุด
สังเกตอาการติดเชื้อ ดูแลตามอาการ
การดูแลที่จำเป็นสำหรับทารก
การควบคุมและการป้องกันการติดเชื้อ
การควบคุมอุณหภูมิอย่างเหมาะสม
การช่วยการดูแลทางเดินหายใจและการรักษาระบบทางเดินหายใจอย่างเหมาะสม
ดูแลภาวะน้ำหนักตัวแรกเกิดลด
ประเมินการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
ประเมินการแหวะนมและการอาเจียน
เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
ภาวะตัวเหลือง
การดูแลทางโภชนาการ
การติดตามภาวะความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ประเภทของทารกแรกเกิด
น้ำหนัก
Low birth weight infant
ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดต่ ากว่า 2,500 กรัม
Very low birth weight
น้ำหนักต่ำกว่า 1,500 กรัม
Extremely low birth weight (ELBW)
น้ำหนักต่ำกว่า 1,000 กรัม
Normal birth weight infant
ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิด 2,500 กรัม ถึง 3,800 - 4,000 กรัม
ทารกที่เสียชีวิตในระยะ 28 วันแรก (Neonatal period)
ทารกที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 2,500 กรัม
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
อายุครรภ์
ทารกเกิดก่อนกำหนด (Preterm infant)
อายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์
ทารกแรกเกิดครบกำหนด (Term or mature infant)
อายุครรภ์ มากกว่า 37 สัปดาห์ ถึง 41 สัปดาห์
ทารกแรกเกิดหลังกำหนด (Posterm infant)
อายุครรภ์มากกว่า 41 สัปดาห์
สาเหตุ / ปัจจัยส่งเสริม
มารดามีภาวะแทรกซ้อน
ความดันโลหิตสูง
รกลอกตัวก่อนก้าหนด
แท้งคุกคามในไตรมาสแรก
มีเลือดออกไตรมาสที่ 2 หรือ 3
การติดเชื้อในครรภ์
มารดาป่วย
โรคหัวใจ
เบาหวาน
ไต
ติดเชื้อ
ตั้งครรภ์แฝด
มารดาติดยาเสพติด
เศรษฐานะไม่ดี
อายุน้อยกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
การพยาบาลทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีปัญหา
ปัญหาที่พบ
ปัญหาพัฒนาการล้าช้า
ส่งเสริมสายสัมพันธ์พ่อแม่ลูก
Skin to skin contact
Eye to eye contact
ปัญหาทางโภชนาการและการดูดกลืน
แนวทางการให้อาหารในทารกคลอดก่อนกำหนด
น้ำหนักตัว > 2500
มื้อแรกSterile water0.5-1 cc/kg
มื้อต่อๆไปนม 5 cc/kg ทุก3 hrแล้วค่อยๆเพิ่ม
ดูดจากขวด
น้ำหนักตัว 2000-2500
มื้อแรกSterile water0.5-1 cc/kg
มื้อต่อๆไปนม 5 cc/kg ทุก3 hrแล้วค่อยๆเพิ่ม
ดูดจากขวด
น้ำหนักตัว 1500-2000
มื้อแรกSterile water0.5-1 cc/kg
มื้อต่อๆไปนม 5 cc/kg ทุก3 hrแล้วค่อยๆเพิ่ม
NG tube,ขวด
น้ำหนักตัว 1200-1500
มื้อแรกSterile water0.5-1 cc/kg
นม 5 cc/kg ทุก2 hr เพิ่ม 1 cc ทุก 8 hr จนได้ 20 cc จึงเปลี่ยนเป็นทุก 3 hr
วิธีให้NG tube
น้ำหนักตัว < 1200
มื้อแรกSterile water0.5-1 cc/hr
มื้อต่อๆไป นม 0.5-1 cc/hr เพิ่มจนถึง 10 cc/hr จึงให้ ทุก2 hr
วิธีให้NG tube
การพยาบาล
ประเมินการเจริญเติบโตชั่งน ้าหนักทุกวัน (เพิ่มวันละ 15-30กรัม)
ระวังภาวะ NEC: observe อาการท้องอืด content ที่เหลือ
IVF ให้ได้ตามแผนการรักษา
gavage feeding (OG tube) ในเด็กเหนื่อยง่ายดูดกลืนไม่ดี
ให้อาหารอย่างเหมาะสมกับสภาพของทารก
GER(GastroesophagealReflux)
NEC(NecrotizingEnterocolitis)
Hypoglycemia
ปัญหาเลือดออกในช่องสมอง
Hydrocephalus
IVH (Intra- ventricular Hemorrhage)
ปัญหาระบบหัวใจ , เลือด
Anemia
Neonatal Jaundice หรือ Hyperbilirubinemia
PDA (Patent Ductus Ateriosus)
รักษา PDA โดยใช้ยา ibuprofen
ภาวะแทรกซ้อน NEC ไตวาย
BUNมากกว่า20 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ไม่ให้ยาในทารกที่มี มากกว่า serum creatinine 1.6 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ได้ผลดีในทารกน้ำหนักตัว 500-1500 กรัม
อายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ และอายุไม่เกิน 10 วัน
สามารถปิดได้ร้อยละ 70
ให้ทุก 12-24 ชั่วโมง จำนวน 3-4 ครั้ง
เพื่อช่วยยับยั้งการสร้างprostaglandin ซึ่งจะทำให้ PDA ปิด
รักษา PDA โดยใช้ยา Indomethacin
ขนาดที่ให้ 0.1-0.2 มก./กก.ทุก 8 ชม. X 3 ครั้ง
ข้อห้ามใช้
มีภาวะ NEC
urine < 0.5 cc/Kg/hr นานกว่า 8 hr
Plt. < 60,000 /mm3
BUN > 30 mg/dl , Cr > 1.8 mg/dl
ปัญหาการติดเชื้อ
NEC (Necrotizing Enterocolitis)
การพยาบาล
เฝ้าระวังสังเกตภาวะติดเชื้อ เฝ้าระวังภาวะล้าไส้ทะลุ
ให้การพยาบาลโดยยึดหลัก aseptic technique
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
แยกจากเด็กติดเชื้อ / แยกผู้ดูแล
ห้ามวัดปรอททางทวารหนัก
NPO
การย่อยและการดูดซึมไม่ดี
ลำไส้ขาดเลือดมาเลี้ยง
การได้รับอาหารไม่เหมาะสม เร็วเกินไป
เป็นผลมาจากภาวะพร่องออกซิเจน
ปัญหาระบบทางเดินอาหาร
Sepsis
ปัญหาทางระบบทางเดินหายใจและพิษออกซิเจน
Bronchopulmonary Dysplasia
Retinopathy of PrematurityRetinopathy(ROP)
ความรุนแรง
Stage 5 Total retinal detachment
Stage 4 Subtotal retinal detachment: (a) extrafoveal detachment (b) foveal detachment
Stage 3 Ridge with extraretinal fibrovascular proliferation
Stage 2 Ridge between vascularized and avascular retina
stage1 Demarcation line between vascularized and avascular retina
การวินิจฉัย
ตำแหน่ง (Zone)
Zone III
จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone IIจนถึง temporal ora serrata
Zone II
จอประสาทตาจากขอบนอกของ Zone Iจนถึง nasal ora serrata
Zone I
รัศมีเป็นสองเท่าของระยะทางระหว่างขั้วประสาทตา(optic disc) และศูนย์กลางจอประสาทตา (macula)โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ขั้วประสาทตา
ระยะเวลาการตรวจหาROP
ถ้าพบ ROP ควรนัดมาตรวจซ ้าทุก ๆ 1 – 2 สัปดาห์
หลังจากทารกกลับบ้านแล้วถ้าไม่มีการด้าเนินของโรค
นัดมาตรวจซ้ำ
มีการดำเนินของโรคอยู่ตรวจซ้ำทุกอาทิตย์หรือตามแผนการติดตามประเมินของแพทย์
ถ้าไม่พบการด้าเนินของโรค ตรวจซ้ำทุก 4 สัปดาห์
ตรวจครั้งแรกเมื่อทารกอายุ 4 – 6 สัปดาห์
หรือเมื่อทารกอายุครรภ์รวมอายุหลังเกิด 32 สัปดาห์
การงอกผิดปกติของเส้นเลือด (neovascularization) บริเวณรอยต่อระหว่างจอประสาทตาที่มีเลือดไปเลี ยงและจอประสาทตา ที่ขาดเลือด(หลอดเลือดจอประสาทตาเริ่มสร้างเมื่ออายุครรภ์
apnea of prematurity
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
สังเกตอาการขาดออกซิเจน
ให้การพยาบาลทารกขณะใช้เครื่องช่วยหายใจ
ระวัง การสำลัก
suction เมื่อจ้าเป็น
ABG
อกบุ๋ม (chest wall retraction)
ปีกจมูกบาน
เขียว
หายใจเร็ว
จัดท่านอนที่เหมาะสม ศีรษะสูง เงยคอเล็กน้อย
สาเหตุ
Drug
CNS problems
seizures
IVH
Gastroesophageal reflux
Impaired oxygenation
Metabolic disorder
Prematurity
Infection
obstruction apnea
สาเหตุ
เกิดจากการงอหรือการเหยียดลำคอเกิน ทำให้ช่องภายในหลอดคอ ไม่เปิดกว้าง เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ
ภาวะหยุดหายใจที่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม แต่ไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก
central apnea
สาเหตุ
ศูนย์การหายใจที่บริเวณก้านสมองทำงานได้ไม่ดี
ภาวะหยุดหายใจที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของทรวงอกหรือกะบังลม และไม่มีอากาศไหลผ่านรูจมูก
หยุดหายใจนานกว่า 20 วินาที มี cyanosis
Respiratory Distress Syndrome
การรักษา
รักษาแบบประคับประคองตามอาการ
ทารกบางรายอาจจ้าเป็นต้องปิด PDA ด้วย indomethacin หรือ ibuprofen
ให้ยาปฏิชีวนะในรายที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อร่วมด้วย
รักษาระดับฮีโมโกลบินในเลือดและความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
รักษาสมดุลน้ำ อิเลคโตรไลท์สมดุลกรด-ด่างในเลือด
ให้ได้รับสารน้ำอย่างเพียงพอ
ให้สารลดแรงตึงผิวเพื่อทำให้ความยืดหยุ่นของปอดดีขึ้น ลดความรุนแรงของภาวะหายใจลำบาก
ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน โดยการปรับลดความเข้มข้นและอัตราไหลของออกซิเจน
ภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับออกซิเจน
ภาวะจอประสาทตาพิการจากการเกิดก่อนกำหนด `(ROP)
ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง (BPD)
การให้ออกซิเจน ตามความต้องการของทารก
การให้โดยใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือ CPAP
การป้องกัน
การป้องกันไม่ให้ทารกขาดออกซิเจนในระยะแรกเกิด
จะทำให้เลือดเป็นกรด ขัดขวางการทำงานของการสร้างสารลดแรงตึงผิว
มารดาที่มีความเสี่ยงจะคลอดก่อนกำหนดแต่ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตก
ควรได้ antenatal corticosteroids อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนคลอด
เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างสารลดแรงตึงผิว และปอดมีความสมบูรณ์มากขึ้น
Dexamethazone 6 มิลลิกรัมทางกล้ามเนื้อทุก 12 ชั่วโมงจนครบ 4 ครั้ง
Betamethazone 12 มิลลิกรัมทางกล้ามเนื้อทุก 24 ชั่วโมงจนครบ 2 ครั้ง
โดยเฉพาะอายุครรภ์ 24-34 สัปดาห์
อาการและอาการแสดง
อาจมีอันตรายจากการหายใจล้มเหลวได้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกเกิด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่ามีภาวะเลือดเป็นกรด
ภาพถ่ายรังสีปอด มีลักษณะ ground glass appearance
อาการเขียว (Cyanosis)
หายใจมีเสียง Grunting
มีปีกจมูกบาน หายใจมีการดึงรั้งของกล้ามเนื้อทรวงอก (retraction)
มีอาการหายใจลำบาก (Dyspnea) หายใจเร็วกว่า 60 ครั้ง/ นาที
ความหมาย
ภาวะหายใจลำบากเนื่องจากการขาดสารลดแรงตึงผิว (surfactant) ของถุงลม
Perinatal asphyxia
Severe asphyxia คะแนนแอพการ์0-2
Moderate asphyxia คะแนนแอพการ์ 3 – 4
Mild asphyxia คะแนนแอพการ์ 5 – 7
No asphyxia คะแนน แอพการ์ 8 –10
APGAR Score
คะแนน ตั้งแต่ 0-2
การหายใจ(Respiration)
การเคลื่อนไหว/การตึง ตัวของกล้ามเนืhอ (Activity/Muscle tone)
สีหน้าเมื่อถูกกระตุ้น (Grimace)
ชีพจร/การเต้นของ หัวใจ (Pluse/Heart rate)
ลักษณะสีผิว(Appearance)
ปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมอุณหภูมิ
การวัดอุณหภูมิทารก
ทางรักแร้
ทารกครบกำหนด วัดนาน 8 นาที
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 5 นาที
ทางทวารหนัก
ทารกครบกหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 3.0 ซม.
ทารกเกิดก่อนกำหนด วัดนาน 3 นาที ลึก 2.5 ซม.
Hypothermia อุณหภูมิ < 36.5 องศาเซลเซียส
การควบคุมอุณหภูมิทารกที่อยู่ใน Incubator
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ Skin Servocontrol mode
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้36.8 C -37.2 C เป็นเวลา2ครั้งติดกันให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE)
ติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาทีอีก 2 ครั งและต่อไปทุก 4 ชม.
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.1 ๐ C ทุก 15 – 30 นาที (max 38๐ C)
ลดการสูญเสียความร้อน เช่น ครอบพลาสติกที่ตัวทารก (กรณีไม่ได้ใช้ตู้อบผนัง2 ชั้น ) สวมหมวกไหม พรม หรือหมวกที่หนา 2 ชั้น พันร่างกายดว้ย plastic wrap
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่36.5 C
ติด Skin probe บริเวณหน้าท้อง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณตับและ bony prominence
กรณีไม่ได้ใช้ตู้อบผนัง2 ชั้น
ควรใส่ปรอทสำหรับวัดอุณหภูมิตู้อบ
ถ้าวัดอุณหภูมิกายได้36.8 C -37.2 C เป็นเวลา2ครั้งติดกันให้ปรับอุณหภูมิตู้อบตาม Neutral thermal environment (NTE)
ติดตามอุณหภูมิกายต่อทุก 15 -30 นาทีอีก 2 ครั งและต่อไปทุก 4 ชม.
สวมหมวกไหม พรม หรือหมวกที่หนา 2 ชั น พันร่างกายด้วย plastic wrap
กรณีทารกอยู่ในตู้อบปรับอุณหภูมิด้วยมือ หรือ ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ (Air Servocontrol mode)
ปรับอุณหภูมิตู้อบเพิ่มขึ นครั งละ 0.2 C ทุก 15 – 30 นาที (max 38 C)
ลดการสูญเสียความร้อน เช่น ครอบพลาสติกที่ตัวทารก
ปรับอุณหภูมิตู้อบเริ่มที่36 C
เป้าหมายให้อุณหภูมิกายทารกอยู่ในเกณฑ์ปรกติคือ 37 o C (+/-0.2o C)
การพยาบาลทารกที่ได้รับการรักษาในตู้อบ
เช็ดทาความสะอาดตู้ทุกวัน
ตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายทุก 4 ชม.และปรับให้เหมาะสมกับสภาพของทารก
ป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกายทารก 4 ทาง
ไม่เปิดตู้อบโดยไม่จำเป็นให้การพยาบาลโดยสอดมือเข้าทางหน้าต่างตู้อบ
การดูแล
หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้แอร์ พัดลม ระวัง “Cold stress”
ใช้ warmer, incubator หรือผ้าห่มห่อตัว
วัดอุณภูมิเด็ก Body temperature เด็ก 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
จัดให้อยู่ในที่อุณภูมิเหมาะสม (NTE) 32 - 34 องศาเซลเซียส
ภาวะแทรกซ้อน
DIC และ PPHN
ไตวาย
เลือดออก
เลือดออกในปอด
ในโพรงสมอง
ท้องอืด
น้ำหนักไม่ขึ้น
ความต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น
ภาวะเลือดเป็นกรด
น้ำตาลในเลือดต่ำ
อาการและอาการแสดง
ปลายมือ ปลายเท้าเย็น
หยุดหายใจ หายใจลำบาก
เขียวคล้ำ
ใบหน้าแดงผิวหนังเย็น
การวินิจฉัย
อุณหภูมิกายแกนกลางของทารก < 36.5 C (วัดทางทวารหนัก)
ผลกระทบ
อัตราการตายเพิ่มขึ้น
ภาวะเลือดออก (Bleeding Disorder)
ภาวะหยุดหายใจ(Apnea)
ภาวะล้าไส้เน่า (NEC)
น้ำหนักลด (Poor Weight Gain)
ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
น้ำตาลในเลือดต่้า (Hypoglycemia)
การเพิ่มการเผาผลาญและภาวะกรด
ลักษณะของทารกเกิดก่อนกำหนด
ขนาดของอวัยวะเพศค่อนข้างเล็ก ในเพศชายลูกอัณฑะยังไม่ลงในถุงอัณฑะ รอยย่นบริเวณถุง (Rugae) มีน้อย ในเพศหญิงเห็นแคมเล็กชัดเจน
หัวนมมีขนาดเล็ก หรือมองไม่เห็นหัวนม
เสียงร้องเบา และร้องน้อยกว่าทารกแรกเกิดครบกำหนด Reflex ต่าง ๆ มีน้อยหรือไม่มี
หายใจไม่สม่ำเสมอ
หยุดหายใจได้ง่าย (Apnea)
เขียว
มีการกลั้นหายใจเป็นระยะ (Periodic breathing)
กล้ามเนื้อ และไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous fat) น้อย
ท้องป่อง เพราะกล้ามเนื อหน้าท้องไม่แข็งแรง
มีการเคลื่อนไหวน้อย การเคลื่อนไหวสองข้างไม่พร้อมกัน และมักเป็นแบบกระตุก
ความตึงตัวของกล้ามเนื้อไม่ดี ทารกมักจะเหยียดแขนและขาขณะนอนหงาย
กระดูกซี่โครงค่อนข้างอ่อนนิ่ม
ขณะหายใจอาจถูกกระบังลมดึงรั้งเข้าไปเกิด Intercostal retraction
ผิวหนังเหี่ยวย่นกล้ามเนื อระหว่างกระดูกซี่โครงยังเจริญไม่ดี
เล็บมือเล็บเท้าอ่อนนิ่มและสั้น
ลายฝ่ามือฝ่าเท้ามีน้อยและเรียบ
ผิวหนังบางสีแดงและเหี่ยวย่น
พบขนอ่อน (Lanugo hair) ได้ที่บริเวณใบหน้า หลังและแขน ส่วนผมมีน้อย
ไขมันคลุมตัว (Vernix caseosa) มีน้อยหรือไม่มีเลย
บวมตามมือและเท้า
มองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังได้ชัดเจน
การเจริญของกระดูกหูมีน้อย
ใบหูอ่อนนิ่มเป็นแผ่นเรียบ งอพับได้ง่าย
ตามักปิดตลอดเวลา
ศีรษะจะมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว
ศีรษะและขม่อมกว้างเปลือกตาบวมและนูนออกมา
รอยต่อกะโหลก
กะโหลกศีรษะนุ่ม
รูปร่างรวมทั้งแขนขามีขนาดเล็ก
น้ำหนักน้อย
การพยาบาล
การควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับปกติ(36.8 - 37.2 .)
ศูนย์ควบคุมความร้อนในสมองส่วน Hypothalamus ยังท้าหน้าที่ไม่สมบูรณ์
ร่างกายผลิตความร้อนได้น้อย จากไขมันสีน้ำตาล (Brown fat) มีน้อย
พัฒนาการกล้ามเนื้อไม่ดีจึงมีการเคลื่อนไหวน้อย
การสะสมของไกลโคเจนที่ตับน้อย
ไม่มีการสั่นของกล้ามเนื้อ (shivering)
ต่อมเหงื่อไม่เจริญจึงระบายความร้อนออกทางผิวหนังไม่ได้
พื้นที่ผิวของร่างกายมากเมื่อเทียบกับน ้าหนักตัว, ไขมันใต้ผิวหนังมีน้อย ท้าให้สูญเสียความร้อนออกจากร่างกายได้ง่าย
การมีอุณหภูมิร่างกายต่ำมากๆ "Cold stress"
เกิดภาวะแทรกซ้อน
Hypoxia
Hypoglycemia,
Metabolic acidosis
PFC
Right to left shunt
Intraventricular hemorrhage (IVH)
การพยาบาล
จัดให้อยูในสิ่งแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่ทำให้ทารกมีการใช้ออกซิเจนและสารอาหารน้อยที่สุดโดยที่อุณหภูมิของร่างกายไม่เปลี่ยนแปลง
ในตู้อบ (incubator)
การใช้เครื่องให้รังสีความอบอุ่น(Radiant heat warmer)
ป้องกันการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายทั้งโดยการนำ การพาความร้อน การแผ่รังสีและการระเหย
ประเมินอุณหภูมิร่างกายตามอาการของทารก
สังเกตอาการทางคลินิกของการมีอุณหภูมิร่างกายต่ำหรือสูงกว่าปกติ
เขียวตามปลายมือปลายเท้า
สีผิวแดงร้อน หายใจเร็ว
การดูแลด้านการหายใจให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
ทารกเกิดก่อนกำหนดมีความไม่สมบูรณ์ของการหายใจ
ศูนย์ควบคุมการหายใจใน medulla ยังไม่เจริญเต็มที่
Apnea
กลั้นหายใจเกิน 20 วินาที
หัวใจเต้นช้าลง
เขียว
มักจะเกิดในระยะหลับ ชนิด Rapid Eye movement หรือ Active sleep
ปอดพัฒนาไม่เต็มที่
เส้นเลือดฝอยมีน้อย Surfactant ยังสร้างไม่สมบูรณ์
ทำให้ถุงลมขยายตัวได้น้อยและช้า
เมื่อหายใจเข้า แฟบได้ง่ายเมื่อหายใจออก มีอาการหายใจลำบาก
ฮีโมโกลบินของทารกเป็น Hb-F ซึ่งรับออกซิเจนได้ดี แต่ปล่อยให้เซลได้น้อย
รีเฟล็กซ์เกี่ยวกับการไอมีน้อย และหายใจทางปากยังไม่ได้
การพยาบาล
ประเมินการหายใจอัตราการใช้แรงretraction สีผิวปีกจมูก และการกลั้นหายใจบ่อยครั้งตามอาการของทารก
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่งดูดเสมหะ (ถ้ามี) จัดท่านอนให้คอ ตรงไม่ก้มหรือเงยเกินไป
ขณะมีการกลั้นหายใจ ควรกระตุ้นโดยการเขี่ยหรือเขย่าที่ ใบหน้าหรือลำตัว ถ้ากลั้นหายใจบ่อยๆ รายงานให้แพทย์ทราบ
ดูแลให้ได้รับยา Theophylline ตามแผนการรักษาเพื่อลดอัตราการเกิดภาวะ Apnea
ดูแลให้ได้รับออกซเิจนตามแผนการรักษา
ให้ความอบอุ่นแก่ทารกป้องกันการเกิด cold stress
ให้ทารกได้พัก หลีกเลี่ยงการจับต้องทารกเกินความจำเป็น (over handling)
การให้สารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
ความต้องการสารอาหารประจำวัน (daily requirement) สูงกว่าทารกเกิดครบกำหนด
มีการสะสมอาหารขณะอยู่ในครรภ์มารดาน้อย
อาการทั่วไปไม่เอื อให้ได้รับสารอาหารจ้านวนตามต้องการ
หายใจล้าบาก
ท้องอืด
ความสมบูรณ์ของระบบทางเดินอาหารมีน้อย
รีเฟล็กซ์ของการดูดและกลืนมีน้อยหรือไม่มี
Cardiac sphincter ไม่ดี ปิดไม่สนิท ทารกเกิดการสำรอก อาเจียนได้ง่าย
น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีน้อย ตับสร้างน้ำดีได้น้อย การย่อยอาหารโดยเฉพาะพวกไขมันทำได้ไม่ดีจึงท้องอืดได้ง่าย
เกิดภาวะที่ท้าให้มีการใช้พลังงานในร่างกายมากกว่าปกติ
ภาวะหายใจลำบาก
อุณหภูมิร่างกายต่ำ
น้ำตาลในเลือดต่ำ
การพยาบาล
ใน 1 –2 วันแรกหลังเกิดดูแลให้งดน้ำและนม
ให้สารน้ำและสารอาหารรทางหลอดเลือดดำ
ดูแลการให้อาหารทางปาก
ทารกเมื่อภาวะการหายใจค่อนข้างคงที่
โดยจะเริ่มด้วยนมจำนวนน้อยๆ ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่ม
โดยแพทย์จะยังคงให้สารน้ำและะสารอาหารทางหลอดเลือดดำร่วมด้วย
การให้นมแก่ทารก
ส่งเสริมให้ทารกได้รับนมมารดาให้มากที่สุด
มารดาไม่สามารถให้นมได้
ให้นมชนิด Premature formula
ประเมินความสามารถในการรับนมได้ของทารก
ดูแลการได้รับสารน้ำและสารอาหารทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
ชั่งน้ำหนักทุกวัน
สัปดาห์แรกทารกจะมี physiological weight loss ประมาณ 10- 20% ของน้ำหนักแรกเกิด
น้ำหนักของทารกจะเพิ่มขึ้นวันละ 20-30 กรัม
เมื่อทารกอาการดีขึ้นจะสามารถรับนมได้มากขึ้น
เหลือแต่การให้นมทางปากอย่างเดียว
ทารกต้องการสารอาหารประมาณ 130 แคลอรี่ / กก. / วัน
ได้จากนมมารดาไม่เพียงพอ แพทย์มักจะให้เติมนมผง premature formula ลงในนมมารดา
ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงภาวะที่จะท าให้ทารกมีการใช้พลังงานในร่างกายมากกว่าปกติ
การป้องกันการติดเชื้อ
ทารกเกิดก่อนกำหนดมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
การสร้าง IgM ยังไม่สมบูรณ์
และได้รับ IgG จากมารดา มาน้อย ไม่ได้รับ Ig A จากน้ำนมมารดา
เม็ดเลือดขาวมีน้อยและทาหน้าที่ไม่สมบูรณ์
ผิวหนังและเยื่อบุปกป้องการติดเชื้อได้น้อย
การพยาบาล
ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนและหลังให้การพยาบาลทุกครั้ง
เครื่องมือและสิ่งของที่ใช้กับทารกต้องสะอาดหรือผ่านการทำลายเชื้อโรค
อุปกรณ์ที่ใช้กับทารกต้องใช้เฉพาะคน
ดูแลความสะอาดทั่วไปของร่างกายและสิ่งแวดล้อม
รายที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อ
ช่วยเหลือฟื้นคืนชีพ(CPR) เป็ นเวลานาน
มารดามีถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
คลอดในสถานที่ไม่สะอาด
ช่วยแพทย์ทำ Septic work up และติดตามผล
สังเกตอาการของการติดเชื้อ
ดูแลให้ยาปฏิชีวนะ
การป้องกันการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
น้ำตาลในพลาสมาต่ำกว่า 40 mg%
สาเหตุ
ไม่ได้รับกลูโคสจากมารดาอีก
glycogen ที่ตับสะสมไว้น้อยจึงสร้างกลูโคสได้จำกัด
มีภาวะเครียดทั้งขณะอยู่ในครรภ์ ขณะคลอดและหลังคลอด
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับน้ำและนมทางปาก และ/หรือสารน้ำสารอาหารทางหลอดเลือดดำ ตามแผนการรักษา
แก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดสาเหตุส่งเสริมให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ติดตามผล dextrostix หรือ blood sugar และประเมินอาการทางคลินิกของการมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
มีสั่นระรัวของมือและเท้า (Prolonged tremor) ซึม
กลั้นหายใจ
เขียว
ชักเกร็ง
การป้องกันการเกิดเลือดออกและโลหิตจาง
มีเส้นเลือดมาเลี ยงที่ ventricle ของสมองมากมาย
เสี่ยงต่อการเกิด Intra ventricularhemorrhage (IVH)
เมื่อทารกมีภาวะความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหรือเมื่อทารกมีภาวะการเป็นกรด
ผนังเส้นเลือดพัฒนาไม่สมบูรณ์และขาด connective tissuse จึงเปราะบางง่าย
Prothrombin และ Hematogenous-factor ต่ำ ขาดวิตามินเค เลือดจึงแข็งตัวได้ยาก
เหล็กที่ได้รับจากมารดาใน 3 เดือนสุดท้ายของการตั งครรภ์มีจ้านวนน้อย
Hb-F ของทารกมีชีวิตสั้น
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกได้รับการฉีด Vit K1 เข้ากล้ามเนื้อตามแผนการรักษา
หลีกเลี่ยงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ
ควรจะฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ
ถ้าจ้าเป็นต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อควรใช้เข็มที่คม
หลังฉีดยาหรือ off IV.fluid ควรกดบริเวณที่แทงเข็มไว้นานๆ
ดูแลการได้รับ Vit. E และ FeSO4 ทางปากตามแผนการรักษา
ขณะดูดเสมหะหรือขณะใส่สายยางเข้าไปในทางเดินอาหาร ควรจะใส่อย่างระมัดระวัง นุ่มนวล
สังเกตและรายงานอาการที่แสดงว่ามีเลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ
ดูแลให้ทารกได้รับธาตุเหล็กตามแผนการรักษา
อุจจาระมีเลือดปน
มีอาการซึม
ชัก
ในรายที่เลือดออกในสมอง (IVH)
ดูแลให้ทารกได้รับธาตุเหล็กตามแผนการรักษา
ติดตามและรายงานผล CBC ดูแลการได้รับเลือดในรายที่มี platelet หรือ Hematocrit ต่ำ
การคงไว้ซึ่งความสมดุลของน้ำ กรด-ด่าง และอิเลคโทรลัยต์
ไตยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ Glomerular filtration rate ต่ำทำให้ความสามารถในการควบคุมสมดุลออกจากร่างกายมีขีดจำกัด
การพยาบาล
ดูแลการได้รับสารน้ำและอิเลคโทรลัยต์ให้เพียงพอตามแผนการรักษา
จดบันทึก Intake และ output อย่างละเอียดและถูกต้อง
ควรบันทึกปัสสาวะเป็นซีซี.
มากกว่านับจำนวนครั้งในทารกที่ต้องการติดตามอย่างใกล้ชิด
ทารกแรกเกิดควรจะมีปัสสาวะ 2 – 3 มล. / กก. /ชม.
ปัสสาวะออกมากกว่า 4 มล. / กก. / ชม. ถือว่าปัสสาวะออกมาก
หากน้อยกว่า 1 มล. / กก. /ชม. ถือว่าปัสสาวะออกน้อย
ติดตามผล blood gas BUN electrolyte urine specific gravity
สังเกตอาการและอาการแสดงของการมีภาวะไม่สมดุลย์ของน้ำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทารกที่อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเกิด
ได้รับการส่องไฟ
มีอาการท้องอืดต้องดูด gastric content ออกทิ้งบ่อย ๆ
การป้องกันการเกิดการแตกทำลายของผิวหนัง
ผิวหนังของทารกเกิดก่อนก้าหนดยังพัฒนาไม่สมบูรณ์
มีชั้น stratum corneum น้อยชั นกว่าทารกครบกำหนด
ผิวหนงชั้น epidermis และ dermis อยู่กันอย่างหลวม ๆ
keratin เคลือบผิวหนังน้อยท้าให้มีผิวหนังบาง เพิ่มการซึมซ่านผ่าน ( permeability ) ของผิวหนังและเพิ่มการสูญเสีย
การพยาบาล
หลีกเลี่ยงการใช้พลาสเตอร์กับทารกเกินความจำเป็น
การแกะพลาสเตอร์ หรือ เทปออกจากผิวหนัง
ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ไม่ติดแน่นจนเกินไป
สังเกตอาการแพ้ หรือการแตกท้าลายของผิวหนังจากการใช้พลาสเตอร์
ระมัดระวังการรั่วของสารน้ำออกจากหลอดเลือดในรายที่ได้รับสารน้ำ
การติด probe หรือ electrode ต่างๆ
ไม่ควรติดแน่นเกินไปและเปลี่ยนตำแหน่งการติดรวมทั้งเปลี่ยนท่านอนบ่อย ๆ
ระมัดระวังการใช้สารละลาย สารเคมี กับผิวหนังทารก
การป้องกันการเกิด Retinopathy of Prematurity (ROP)
ปัจจัยส้าคัญ
พัฒนาการของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยง retina ยังไม่สมบูรณ์
ปัจจัยส่งเสริม
การได้รับออกซิเจนมากเกินไป
มีการเกิดหลอดเลือดใหม่ (neovascularization) ที่ผิดปกติส่งผลให้เกิดการหลุดลอกของจอตา ( retinal detachment )
ทำให้ทารกมีสายตาเลือนราง หรือตาบอด
การพยาบาล
ดูแลให้ทารกรับออกซิเจนเท่าที่จำเป็น
ในทารกที่ได้รับออกซิเจน
ควรใช้ pulse oximeter ติดตามO2 saturation
ให้ทารกมีระดับ O2 saturation อยู่ระหว่าง 88 – 95 % ส้าหรับโรคทั่วๆไป
O2 saturation 98 – 99 % สำหรับทารกที่มีภาวะสูดส้าลักขี้เทา
ดูแลให้ทารกได้รับยาวิตามินอีตามแผนการรักษา
เตรียมทารกแรกเกิดที่มีอายุในครรภ์น้อยกว่า 35 สัปดาห์ หรือน้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่า 1,800กรัม
ที่ได้รับการรักษาโดยออกซิเจน
ให้ได้รับการตรวจหาภาวะ ROP
ทารกแรกเกิดที่ไม่ได้รับการรักษาโดยออกซิเจนแต่มีอายุในครรภ์น้อยกว่า 30 สัปดาห์ น้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่า 1,300 กรัม
ดูแลให้ทารกมีภาวะ ROP รุนแรงและอยู่ในเกณฑ์บ่งชี ให้ได้รับการรักษาโดย ใช้แสงเลเซอร์
การดูแลการได้รับวิตามินและเกลือแร่
มีการสะสมแคลเซียม ฟอสฟอรัส และ วิตามินอีน้อย
ความสามารถในการดูดซึมวิตามินที่ละลายในน้ำมีน้อย จึงมีโอกาสขาดวิตามิน และเกลือแร่ได้
การดูแลเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของทารกแรกเกิด (Developmental care)
สาเหตุ
ช่วงเวลาที่อยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งมีความเหมาะสมต่อพัฒนาการด้านต่างๆ มีน้อย
ความเจ็บป่วยของทารกท้าให้ได้รับการรักษาที่ส่งผลต่อพัฒนาการ
สิ่งแวดล้อมในหอผู้ป่วยไม่เหมาะสม
การพยาบาล
โดยพยายามลดสิ่งกระตุ้นจากสภาวะแวดล้อมที่จะทำให้เกิดอันตราย
ดูแลตามสื่อสัญญาณของทารก
การจัดท่า
หลีกเลี่ยงการเหยียดแขนขา (extension)
พยายามให้ทารกอยู่ในท่าแขน ขางอเข้าหากลางล้าตัว (flexion)ไม่ว่าในขณะอุ้ม เคลื่อนย้ายและนอน ล้าคอตรงไม่ก้มหรือเงยมากเกินไป
ห่อตัวทารกให้แขนงอ มือสองข้างอยู่ใกล้ๆ ปาก
เพื่อให้ทารกสามารถปลอบโยนตนเองได้
ใช้ผ้าอ้อมหรือผ้าห่มผืนเล็กม้วนๆ วางรอบๆ กายของทารกเสมือนเป็นรังนก
การจับต้องทารก
จับต้องทารกเท่าที่จำเป็น
พยายามจัดกิจกรรมการพยาบาลต่างๆ ให้อยู่ในเวลาเดียวกัน (cluster nursing care)
ควรสัมผัสทารกก่อนการจับต้องเพื่อให้การรักษาพยาบาล
การเคลื่อนย้ายทารก ควรจัดให้อยู่ในทางแขน ขา งอ และอยู่ในแนวกลางล้าตัว
จัดสภาพแวดล้อมในหอผู้ป่วยให้มีการกระตุ้นทางแสงและเสียงน้อยที่สุด
ก่อน ขณะ และหลังให้การพยาบาลควรประเมิน สัญญาณ (cues) ของทารกว่าทารกอยู่ในภาวะเครียด สงบและผ่อนคลาย หรืออยากมีปฏิสัมพันธ์ และตอบสนองตามสื่อสัญญาณที่ประเมินได้
tucking
ในทารกที่มีภาวะเครียดอาจช่วยโดยให้ดูดจุกนมหลอก (pacifier) ซึ่งเป็นการดูดที่ไม่ได้สารอาหาร ( non- nutritive sucking ) หรือใช้สองมือของ ผู้ดูแลรวบแขน ขา ของทารกเข้าหากึ่งกลางลำตัว มืออยู่ใกล้ปาก
ถ้าทารกแสดงสื่อสัญญาณว่าอยากมีปฏิสัมพันธ์ พูดคุยด้วยเสียงเบา นุ่มนวล (soft voice) มองสบตา (eye contact)
ส่งเสริมสัมพันธภาพบิดามารดา-ทารก (bonding, attachment)
ส่งเสริม, กระตุ้นให้มารดามาเยี่ยมทารกให้เร็วที่สุด
เมื่อบิดามารดาเข้าเยี่ยมทารก ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย
กระตุ้นให้บิดามารดาอุ้มชู หรือสัมผัสทารกไม่บังคับหรือต้าหนิถ้ามารดายังไม่พร้อมที่จะท้า
ให้บิดามารดมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือดูแลทารกตามความเหมาะสม
เปิดโอกาสให้บิดามารดาซักถาม ระบายความรู้สึก
ส่งเสริมการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
นมมารดาที่ให้กับทารกเมักก่อนก้าหนดมากกว่านมมารดาปกติเพราะมีโปรตีนและเกลือแร่สูงกว่า
พยายามให้นมมมารดาที่เป็นนมที่ออกมาทีหลัง ( hind milk ) เพราะมีไขมันสูงกว่านมที่ออกมาช่วงแรกของการบีบ ( fore milk )
ในกรณีที่ให้นมแก่ทารกทางสายยาง
ให้ใช้สายยางขนาดสั นเพื่อลดการสูญเสียไขมันในนมไปเกาะติดกับสายยาง
ปลายกระบอก syringe ชี้ขึ้นให้ไขมันที่แยกชั้นและลอยอยู่ส่วนบนเข้าสู่ทารกก่อน
ข้อบ่งชี้ การรักษาทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีภาวะตัวเหลือง
น้ำหนักตัว 500-749 (กรัม)
Phototherapy
standard risk MB 6 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
high risk MB 5 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
Exchange transfusion
standard risk MB 12 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
high risk MB 12 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
น้ำหนักตัว 750-999 (กรัม)
Phototherapy
standard risk MB 6 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
high risk MB 5 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
Exchange transfusion
standard risk MB 12 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
high risk MB 12 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
น้ำหนักตัว 1000-1249 (กรัม)
Phototherapy
standard risk MB 7 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
high risk MB 6 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
Exchange transfusion
standard risk MB 12 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
high risk MB 12 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
น้ำหนักตัว1250-1499 (กรัม)
Phototherapy
high risk MB 7 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
standard risk MB 8(มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
Exchange transfusion
high risk MB 13 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
standard risk MB 15 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
น้ำหนักตัว 1500-1999 (กรัม)
Phototherapy
high risk MB 8 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
standard risk MB 10 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
Exchange transfusion
high risk MB 15 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
standard risk MB 17(มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
น้ำหนักตัว 2000-2499 (กรัม)
Phototherapy
high risk MB 10 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
standard risk MB 11 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
Exchange transfusion
high risk MB 17(มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
standard risk MB 18 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
น้ำหนักตัว > 2500 (กรัม)
Phototherapy
high risk MB 1 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
standard risk MB 12 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
Exchange transfusion
high risk MB 18 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
standard risk MB 20 (มิลลิกรัม/เดซิลิตร)
ผู้จัดทำ
นางสาว พิมพิศา รักษาสิทธิ์ 36-2 เลขที่ 7 612001087
อ้างอิง
VIPARAT YOMDIT.(2563).บทที่ 13 การพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงสูง. สืบค้น 30 มิถุนายน 2563.จาก
https://classroom.google.com/u/1/w/NzMzNjU4Njc4NDla/tc/NTc1NjI3NTkyODFa